พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,368 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1362/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องละเมิด: เริ่มนับเมื่อใด? ศาลฎีกาย้อนสำนวนให้พิจารณาความรับผิดของจำเลยที่ 2
คณะกรรมการสอบสวนซึ่งโจทก์ที่2แต่งตั้งให้สอบสวนหาตัวผู้รับผิดชอบได้ทำการสอบสวนและรายงานผลการสอบสวนต่อผู้แทนของโจทก์ที่2สรุปว่าจำเลยที่1เท่านั้นเป็นผู้รับผิดชอบในการละเมิดจึงจะถือว่าโจทก์ที่2รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวจำเลยที่2ผู้จะพึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตั้งแต่วันดังกล่าวหาได้ไม่แต่ถือว่าโจทก์ทั้งสองรู้ตัวจำเลยที่2ผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อกรมอัยการมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทั้งสองทราบว่าสมควรจะฟ้องเรียกร้องให้จำเลยที่2รับผิดชอบร่วมกับจำเลยที่1ด้วยเมื่อโจทก์ทั้งสองฟ้องคดีภายใน1ปีนับแต่ทราบหนังสือของกรมอัยการดังกล่าวคดีสำหรับจำเลยที่2จึงไม่ขาดอายุความ ปัญหาว่าจำเลยที่2ต้องรับผิดฐานละเมิดหรือไม่เพียงใดนั้นศาลล่างทั้งสองยังมิได้วินิจฉัยเพื่อให้คดีเป็นไปตามลำดับชั้นศาลทั้งผลการวินิจฉัยของศาลล่างอาจนำไปสู่การจำกัดสิทธิในการฎีกาของคู่ความศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาปัญหาดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1362/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรู้ตัวผู้รับผิดชอบและอายุความในคดีละเมิด: การย้อนสำนวนเพื่อพิจารณาความรับผิดของจำเลยที่ 2
คณะกรรมการสอบสวนซึ่งโจทก์ที่ 2 แต่งตั้งให้สอบสวนหาตัวผู้รับผิดชอบ ได้ทำการสอบสวนและรายงานผลการสอบสวนต่อผู้แทนของโจทก์ที่ 2สรุปว่า จำเลยที่ 1 เท่านั้นเป็นผู้รับผิดชอบในการละเมิด จึงจะถือว่าโจทก์ที่ 2รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวจำเลยที่ 2 ผู้จะพึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตั้งแต่วันดังกล่าวหาได้ไม่ แต่ถือว่าโจทก์ทั้งสองรู้ตัวจำเลยที่ 2 ผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน เมื่อกรมอัยการมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทั้งสองทราบว่า สมควรจะฟ้องเรียกร้องให้จำเลยที่ 2 รับผิดชอบร่วมกับจำเลยที่ 1 ด้วย เมื่อโจทก์ทั้งสองฟ้องคดีภายใน 1 ปี นับแต่ทราบหนังสือของกรมอัยการดังกล่าว คดีสำหรับจำเลยที่ 2จึงไม่ขาดอายุความ
ปัญหาว่า จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดฐานละเมิดหรือไม่ เพียงใดนั้น ศาลล่างทั้งสองยังมิได้วินิจฉัย เพื่อให้คดีเป็นไปตามลำดับชั้นศาล ทั้งผลการวินิจฉัยของศาลล่างอาจนำไปสู่การจำกัดสิทธิในการฎีกาของคู่ความ ศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาปัญหาดังกล่าว
ปัญหาว่า จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดฐานละเมิดหรือไม่ เพียงใดนั้น ศาลล่างทั้งสองยังมิได้วินิจฉัย เพื่อให้คดีเป็นไปตามลำดับชั้นศาล ทั้งผลการวินิจฉัยของศาลล่างอาจนำไปสู่การจำกัดสิทธิในการฎีกาของคู่ความ ศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาปัญหาดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1352/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์: การคำนวณระยะเวลาครอบครองที่ถูกต้องตามวันถึงแก่กรรมของผู้ถือกรรมสิทธิ์เดิม
การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าบิดาผู้ร้องถึงแก่กรรมเมื่อวันที่22กันยายน2528เมื่อนับถึงวันยื่นคำร้องขอวันที่27สิงหาคม2535จึงยังไม่ครบ10ปีผู้ร้องจึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382แสดงว่าหากนับจากวันที่บิดาผู้ร้องถึงแก่กรรมถึงวันที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเป็นเวลาครบ10ปีคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์จะเปลี่ยนไปเมื่อปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ฟังพยานหลักฐานในสำนวนผิดพลาดเพราะความจริงบิดาผู้ร้องถึงแก่กรรมเมื่อวันที่16สิงหาคม2516เป็นเวลาก่อนที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอประมาณ19ปีไม่ใช่วันที่22กันยายน2528อันเป็นผลให้คำวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายคลาดเคลื่อนไปศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1331/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้รับขนส่งและผู้มอบหมายการขนส่ง กรณีสินค้าสูญหาย
จำเลยที่ 3 ลงชื่อจะมาทราบคำสั่งศาลในวันที่ 30 ตุลาคม2534 ถ้าไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 3เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2534 ถือว่าจำเลยที่ 3 ทราบคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยที่ 3นำส่งสำเนาฎีกาแก่โจทก์และกรณีส่งไม่ได้ให้แถลงภายใน 15 วัน นับแต่วันส่งไม่ได้มิฉะนั้นถือว่าทิ้งฎีกาแล้ว เมื่อส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์ไม่ได้ จำเลยที่ 3มิได้แถลงตามคำสั่งศาลชั้นต้น ถือว่าจำเลยที่ 3 ทิ้งฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174 (2) ประกอบมาตรา 246, 247
จำเลยที่ 1 มีวัตถุประสงค์ในการขนส่งและรับขนสินค้า ได้รับจ้างโจทก์จัดหารถไปบรรทุกสินค้าจากโรงงานของโจทก์ไปที่ท่าเรือของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ในวันที่มีการขนสินค้าจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ไปดูการบรรจุสินค้าเข้าตู้บรรจุสินค้าที่โรงงานของโจทก์และเป็นผู้ส่งมอบตู้บรรจุสินค้าของโจทก์ให้แก่บริษัท น. ที่ท่าเรือของการท่าเรือแห่งประเทศไทยและเป็นผู้รับเงินค่าจ้างขนส่งทั้งหมดจากโจทก์ โดยในใบเสร็จรับเงินของจำเลยที่ 1ระบุว่าเป็นค่าบริการลากจูงตู้บรรจุสินค้าที่จำเลยที่ 1 รับจากโจทก์ ทั้งก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เคยว่าจ้างจำเลยที่ 3 ขนส่งสินค้าให้แก่โจทก์มาแล้วหลายครั้ง ตามพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ประกอบการเป็นผู้รับขนส่งของเพื่อบำเหน็จเป็นทางค้าโดยปกติและได้รับค่าระวางพาหนะจากโจทก์ แม้จำเลยที่ 1ไม่มีใบอนุญาตให้ประกอบการขนส่งและไม่มีรถบรรทุกเป็นของตนเอง จำเลยที่ 1ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ขนส่ง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 608 และการที่จำเลยที่ 1 ว่าจ้างให้จำเลยที่ 3 เป็นผู้นำรถไปลากจูงตู้บรรจุสินค้าของโจทก์ ย่อมเป็นการมอบหมายของนั้นไปอีกทอดหนึ่ง เมื่อของที่รับขนสูญหายไปเพราะความผิดของจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบุคคลที่จำเลยที่ 1 มอบหมายของนั้นไป จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 3 รับผิดต่อโจทก์ด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 617
จำเลยที่ 1 มีวัตถุประสงค์ในการขนส่งและรับขนสินค้า ได้รับจ้างโจทก์จัดหารถไปบรรทุกสินค้าจากโรงงานของโจทก์ไปที่ท่าเรือของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ในวันที่มีการขนสินค้าจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ไปดูการบรรจุสินค้าเข้าตู้บรรจุสินค้าที่โรงงานของโจทก์และเป็นผู้ส่งมอบตู้บรรจุสินค้าของโจทก์ให้แก่บริษัท น. ที่ท่าเรือของการท่าเรือแห่งประเทศไทยและเป็นผู้รับเงินค่าจ้างขนส่งทั้งหมดจากโจทก์ โดยในใบเสร็จรับเงินของจำเลยที่ 1ระบุว่าเป็นค่าบริการลากจูงตู้บรรจุสินค้าที่จำเลยที่ 1 รับจากโจทก์ ทั้งก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เคยว่าจ้างจำเลยที่ 3 ขนส่งสินค้าให้แก่โจทก์มาแล้วหลายครั้ง ตามพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ประกอบการเป็นผู้รับขนส่งของเพื่อบำเหน็จเป็นทางค้าโดยปกติและได้รับค่าระวางพาหนะจากโจทก์ แม้จำเลยที่ 1ไม่มีใบอนุญาตให้ประกอบการขนส่งและไม่มีรถบรรทุกเป็นของตนเอง จำเลยที่ 1ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ขนส่ง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 608 และการที่จำเลยที่ 1 ว่าจ้างให้จำเลยที่ 3 เป็นผู้นำรถไปลากจูงตู้บรรจุสินค้าของโจทก์ ย่อมเป็นการมอบหมายของนั้นไปอีกทอดหนึ่ง เมื่อของที่รับขนสูญหายไปเพราะความผิดของจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบุคคลที่จำเลยที่ 1 มอบหมายของนั้นไป จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 3 รับผิดต่อโจทก์ด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 617
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1049/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทนายความขาดใบอนุญาตดำเนินคดี กระบวนการพิจารณาไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาสั่งเพิกถอนและเริ่มใหม่
การที่ทนายจำเลยซึ่งขาดจากการเป็นทนายความอยู่ก่อนแล้วตามพระราชบัญญัติ ทนายความพ.ศ.2528มาตรา44(3)ทำการเป็นทนายความโดยเรียงคำให้การยื่นต่อศาลและดำเนินกระบวนพิจารณาว่าความอย่างทนายความในศาลชั้นต้นนั้นย่อมเป็นการฝ่าฝืนต่อมาตรา33การดำเนินกระบวนพิจารณาดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลชั้นต้นได้ดำเนินกระบวนพิจารณามาจนกระทั่งพิพากษาคดีแต่ไม่ปรากฏว่าทนายจำเลยได้รับใบอนุญาตเป็นทนายความของสภาทนายความและจำเลยได้ยื่นใบแต่งทนายความตั้งทนายความของตนเข้ามาในคดีให้ถูกต้องกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายศาลฎีกามีอำนาจสั่งให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นให้จำเลยยื่นใบแต่งทนายความที่ถูกต้องตามกฎหมายและยื่นคำให้การเข้ามาใหม่แล้วให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ต่อไปตามวิธีพิจารณาความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 936/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรุกล้ำที่ดินและการครอบครองปรปักษ์: จำเลยไม่ต้องรับผิดละเมิดหากไม่ได้เป็นผู้สร้างสิ่งรุกล้ำ และไม่ขอให้ศาลตัดสินเรื่องการครอบครองปรปักษ์
ฟ้องโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยเป็นผู้สร้างกันสาดรุกล้ำที่ดินของโจทก์แต่กลับนำสืบว่าว. เป็นผู้สร้างกันสาดนั้นในขณะที่ดินยังเป็นของส. และโจทก์เพิ่งซื้อที่ดินดังกล่าวในภายหลังจึงฟังได้ว่าจำเลยไม่ได้เป็นผู้ก่อสร้างกันสาดรุกล้ำที่ดินของโจทก์ทั้งจำเลยรับโอนอาคารในสภาพที่มีกันสาดรุกล้ำที่ดินอยู่ก่อนแล้วจำเลยจึงมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ แม้ตามคำฟ้องฎีกาจำเลยจะยกเหตุผลกล่าวอ้างว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินของโจทก์โดยการครอบครองที่ดินส่วนที่กันสาดรุกล้ำเป็นเวลากว่าสิบปีแล้วแต่คำขอของจำเลยในคำฟ้องฎีกาไม่ได้ขอให้พิพากษาว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่อาคารรุกล้ำโดยการครอบครองปรปักษ์คงมีคำขอเพียงว่าให้พิพากษายกฟ้องโจทก์เท่านั้นศาลฎีกาจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้อนี้ของจำเลยเพราะหากพิพากษาว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวย่อมจะเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142ประกอบมาตรา246และมาตรา247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 936/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรุกล้ำที่ดินและกรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ ศาลไม่วินิจฉัยเรื่องกรรมสิทธิ์หากจำเลยขอเพียงยกฟ้อง
ฟ้องโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยเป็นผู้สร้างกันสาดรุกล้ำที่ดินของโจทก์ แต่กลับนำสืบว่า ว. เป็นผู้สร้างกันสาดนั้นในขณะที่ดินยังเป็นของ ส. และโจทก์เพิ่งมาซื้อที่ดินดังกล่าวในภายหลัง จึงฟังได้ว่าจำเลยไม่ได้เป็นผู้ก่อสร้างกันสาดรุกล้ำที่ดินของโจทก์ ทั้งจำเลยรับโอนอาคารในสภาพที่มีกันสาดรุกล้ำที่ดินอยู่ก่อนแล้ว จำเลยจึงมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์
แม้ตามคำฟ้องฎีกาจำเลยจะยกเหตุผลกล่าวอ้างว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินของโจทก์โดยการครอบครองที่ดินส่วนที่กันสาดรุกล้ำเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว แต่คำขอของจำเลยในคำฟ้องฎีกาไม่ได้ขอให้พิพากษาว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่อาคารรุกล้ำโดยการครอบครองปรปักษ์ คงมีคำขอเพียงว่าให้พิพากษายกฟ้องโจทก์เท่านั้น ศาลฎีกาจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้อนี้ของจำเลยเพราะหากพิพากษาว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวย่อมจะเป็นการต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247
แม้ตามคำฟ้องฎีกาจำเลยจะยกเหตุผลกล่าวอ้างว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินของโจทก์โดยการครอบครองที่ดินส่วนที่กันสาดรุกล้ำเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว แต่คำขอของจำเลยในคำฟ้องฎีกาไม่ได้ขอให้พิพากษาว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่อาคารรุกล้ำโดยการครอบครองปรปักษ์ คงมีคำขอเพียงว่าให้พิพากษายกฟ้องโจทก์เท่านั้น ศาลฎีกาจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้อนี้ของจำเลยเพราะหากพิพากษาว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวย่อมจะเป็นการต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 914/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องเรียกเงินจากบัตรเครดิต: ผู้ค้าเรียกค่าทดรองจ่าย - สิทธิเรียกร้องขาดอายุความเมื่อฟ้องพ้น 2 ปี
โจทก์มีวัตถุประสงค์ในการให้บริการสินเชื่อในรูปของบัตรเครดิตโดยโจทก์ออกบัตรให้แก่สมาชิกแล้วสมาชิกของโจทก์สามารถนำบัตรไปใช้บริการซื้อสินค้าจากร้านค้าที่ตกลงรับบัตรของโจทก์โดยสมาชิกไม่ต้องชำระราคาสินค้าเป็นเงินสดโจทก์เป็นผู้ชำระเงินแทนสมาชิกไปก่อนแล้วจึงเรียกเก็บเงินจากสมาชิกภายหลังและสมาชิกสามารถนำบัตรไปถอนเงินสดจากบัญชีเงินฝากของโจทก์ที่ธนาคารโดยผ่านเครื่องฝากถอนเงินอัตโนมัติการให้บริการดังกล่าวแก่สมาชิกของโจทก์โจทก์ได้เรียกเก็บค่าบริการหรือค่าธรรมเนียมรายปีด้วยโจทก์จึงเป็นผู้ค้ารับทำการงานต่างๆให้แก่สมาชิกและการที่โจทก์ได้ชำระเงินแก่เจ้าหนี้ของสมาชิกแทนสมาชิกไปก่อนแล้วจึงเรียกเก็บเงินจากสมาชิกภายหลังเป็นการเรียกเอาค่าที่โจทก์ได้ออกเงินทดรองไปดังนั้นที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินดังกล่าวจากจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นสมาชิกของโจทก์ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ค้ารับทำการงานต่างๆเรียกเอาค่าที่ได้ออกเงินทดรองไปสิทธิเรียกร้องดังกล่าวจึงมีอายุความ2ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา165(7)เดิมที่ใช้อยู่ในขณะที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้จำเลยทั้งสองชำระหนี้แก่โจทก์ครั้งสุดท้ายเป็นบางส่วนเมื่อวันที่23มีนาคม2530อันเป็นการรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงและเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่ตั้งแต่วันดังกล่าวโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่19ตุลาคม2532พ้นกำหนด2ปีแล้วสิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงขาดอายุความ จำเลยทั้งสองเป็นลูกหนี้ร่วมมูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้จำเลยที่1เป็นสมาชิกบัตรเครดิตจำเลยที่2เป็นสมาชิกบัตรเสริมของโจทก์สิทธิเรียกร้องของโจทก์ต่อจำเลยทั้งสองเป็นอย่างเดียวกันการที่จำเลยที่2ยกอายุความขึ้นต่อสู้ถือได้ว่าจำเลยที่1ซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้แล้วเช่นกันแม้จำเลยที่1มิได้ฎีกาแต่เมื่อคดีของโจทก์ขาดอายุความศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่1ได้ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา245(1),247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 914/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความคดีบัตรเครดิต: การชำระหนี้บางส่วนและการเป็นลูกหนี้ร่วมทำให้เริ่มนับอายุความใหม่
โจทก์มีวัตถุประสงค์ให้บริการสินเชื่อแก่บุคคลทั่วไปในรูปของบัตรเครดิตโดยโจทก์ออกบัตรให้แก่สมาชิกแล้วสมาชิกสามารถนำบัตรไปซื้อสินค้าจากร้านค้าที่ตกลงรับบัตรโดยสมาชิกไม่ต้องชำระราคาสินค้าเป็นเงินสดโจทก์เป็นผู้ชำระเงินแทนสมาชิกไปก่อนแล้วจึงเรียกเก็บเงินจากสมาชิกภายหลังและสมาชิกสามารถนำบัตรไปถอนเงินสดจากบัญชีเงินฝากของโจทก์ที่ธนาคารโดยผ่านเครื่องฝากถอนเงินอัตโนมัติได้ซึ่งสมาชิกจะต้องเสียค่าบริการให้แก่โจทก์ด้วยและโจทก์ได้เรียกเก็บค่าบริการหรือค่าธรรมเนียมรายปีด้วยโจทก์จึงเป็นผู้ค้ารับทำการงานต่างๆให้แก่สมาชิกการที่โจทก์ชำระเงินแก่เจ้าหนี้ของสมาชิกแทนสมาชิกไปก่อนแล้วเรียกเก็บเงินจากสมาชิกภายหลังเป็นการเรียกเอาค่าที่โจทก์ได้ออกเงินทดรองไปมีอายุความ2ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา165(7)เดิมจำเลยทั้งสองชำระหนี้แก่โจทก์ครั้งสุดท้ายเป็นบางส่วนเป็นการรับสภาพหนี้ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงและเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่ตั้งแต่วันดังกล่าวโจทก์ฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนด2ปีแล้วจึงขาดอายุความ จำเลยทั้งสองเป็นลูกหนี้ร่วมมูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้ประกอบกับจำเลยที่1เป็นสมาชิกบัตรเครดิตจำเลยที่2เป็นสมาชิกบัตรเสริมของโจทก์สิทธิเรียกร้องต่อจำเลยทั้งสองเป็นอย่างเดียวกันการที่จำเลยที่2ยกอายุความขึ้นต่อสู้ถือได้ว่าจำเลยที่1ได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้แล้วเช่นกันแม้จำเลยที่1มิได้ฎีกาศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่1ได้ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา245(1),247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 801/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อนละเมิดสิทธิบัตร และความรับผิดของกรรมการในฐานะส่วนตัว
คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 5 และที่ 6 ในคดีนี้ว่าร่วมกันผลิตม่านเหล็กบังตาตามสิทธิบัตรของโจทก์ และร่วมกันขายหรือมีไว้เพื่อขายซึ่งผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตรของโจทก์ เป็นละเมิดต่อโจทก์ ดังนี้ เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้ในขณะที่คดีก่อนอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น โดยที่คดีก่อนกับคดีนี้มีประเด็นอย่างเดียวกันว่า จำเลยได้ร่วมกันผลิตและขายหรือมีไว้เพื่อขายซึ่งม่าน-เหล็กบังตา อันเป็นการกระทำเทียมหรือเลียนแบบละเมิดสิทธิบัตรของโจทก์หรือไม่แม้คดีนี้โจทก์จะมีคำขอเพิ่มเติมโดยเรียกค่าเสียหายมาด้วย แต่มูลคดีที่โจทก์ฟ้องก็เป็นเรื่องเดียวกัน มีประเด็นเกี่ยวข้องกันโดยตรง จำเลยผลิตและขายม่านบังตาก่อนเกิดเหตุและตลอดมา การที่จำเลยต้องหยุดการผลิตเนื่องจากถูกโจทก์แจ้งความกล่าวหาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดทางอาญาและเจ้าพนักงานตำรวจได้ยกเครื่องจักรไป ต่อมาเมื่อได้รับคืนเครื่องจักรที่ยึดจำเลยก็ได้ใช้เครื่องผลิตม่านบังตาตามปกติต่อมา ต้องถือว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำต่อเนื่องกัน จะถือว่าขาดตอนแล้วและเริ่มนับใหม่หาได้ไม่ ฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 5 และที่ 6 เป็นฟ้องซ้อน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173วรรคสอง (1) และกรณีที่จะเป็นฟ้องซ้อน นอกจากคดีจะต้องมีประเด็นอย่างเดียวกันแล้ว จำเลยยังจะต้องเป็นจำเลยที่ถูกฟ้องในคดีก่อนด้วย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 3 ที่ 4 เป็นกรรมการของจำเลยที่ 1ร่วมกับจำเลยที่ 1 และจำเลยอื่นกระทำละเมิดต่อสิทธิบัตรของโจทก์ แม้จะมิได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 3 ที่ 4 กระทำในฐานะส่วนตัวก็หาใช่ว่าจะไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว เพราะหากฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์ก็ต้องรับผิดต่อโจทก์ เมื่อศาลล่างทั้งสองยังมิได้วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 3และที่ 4 ร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ และโจทก์เสียหายเพียงใดศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยและพิพากษาตามลำดับชั้นศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 243 (1), 247
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 3 ที่ 4 เป็นกรรมการของจำเลยที่ 1ร่วมกับจำเลยที่ 1 และจำเลยอื่นกระทำละเมิดต่อสิทธิบัตรของโจทก์ แม้จะมิได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 3 ที่ 4 กระทำในฐานะส่วนตัวก็หาใช่ว่าจะไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว เพราะหากฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์ก็ต้องรับผิดต่อโจทก์ เมื่อศาลล่างทั้งสองยังมิได้วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 3และที่ 4 ร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ และโจทก์เสียหายเพียงใดศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยและพิพากษาตามลำดับชั้นศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 243 (1), 247