พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,368 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 359/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งทรัพย์สินจากการหย่าและการโอนสิทธิในที่ดินหลังการหย่า ไม่ถือเป็นการฉ้อฉลหรือทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ
บันทึกข้อตกลงต่อท้ายทะเบียนการหย่าซึ่งระบุว่าจำเลยที่1ในฐานะภริยายกที่พิพาทให้แก่ ม. ซึ่งเป็นสามีเป็นสัญญาแบ่งทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1532และเป็นเอกสารที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้จัดทำขึ้นเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนให้ประชาชนได้ตรวจดูและอ้างอิงเป็นพยานหลักฐานได้จึงเป็นเอกสารมหาชนต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา127ว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้องเมื่อโจทก์ไม่มีพยานมาสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่นจึงรับฟังได้ว่าได้มีการแบ่งทรัพย์สินกันเรียบร้อยแล้วที่พิพาทจึงตกเป็นสิทธิของ ม. นับแต่เวลาจดทะเบียนการหย่าการที่จำเลยที่1จดทะเบียนโอนที่พิพาทให้แก่จำเลยที่2และที่3ซึ่งเป็นทายาทของ ม. ในภายหลังมีผลเป็นเพียงการแก้ไขชื่อผู้มีสิทธิในที่พิพาทให้ตรงความจริงหาใช่เป็นการจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินอันจะเป็นทางให้โจทก์เจ้าหนี้เสียเปรียบและขอเพิกถอนตามมาตรา237ไม่แม้จำเลยที่1ที่3มิได้ฎีกาแต่เป็นคดีเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้จึงให้จำเลยที่1ที่3ได้รับผลจากคำพิพากษาด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา245(1),247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 350/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนชื่อจากน.ส.3ก. กรณีสิทธิร่วม และการยกคำขอเนื่องจากฎีกาต้องห้าม
คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค1แสดงให้เห็นว่าโจทก์ที่3มิได้มีสิทธิแต่ผู้เดียวในที่ดินพิพาทอันจะมีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนชื่อ ท. ออกจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาทตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ทั้งสามได้เท่านั้นหาได้เป็นการวินิจฉัยในเรื่องแบ่งปันที่ดินพิพาทจึงมิใช่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นแต่อย่างใด ส่วนที่โจทก์ทั้งสามขอให้ถอนชื่อ ท. ออกจากน.ส.3ก.สำหรับที่ดินพิพาทนั้นศาลอุทธรณ์ภาค1วินิจฉัยว่าโจทก์ที่3และท. มีสิทธิในที่ดินพิพาทคนละครึ่งกรณีจึงไม่อาจเพิกถอนชื่อ ท.ออกจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาทได้ย่อมมีผลเท่ากับยกคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ทั้งสามแต่ศาลอุทธรณ์ภาค1พิพากษายกฟ้องโจทก์ที่1และที่2เท่านั้นมิได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ที่3ด้วยศาลฎีกาจึงเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้องนอกจากนี้ที่โจทก์ทั้งสามขอให้พิพากษาว่าพินัยกรรม ท. ใช้บังคับไม่ได้นั้นศาลอุทธรณ์ภาค1วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของ จ.ย่อมมีผลเท่ากับพินัยกรรมใช้บังคับได้แต่ศาลอุทธรณ์ภาค1พิพากษายกคำขอเฉพาะโจทก์ที่3เท่านั้นมิได้พิพากษาให้ยกคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ที่1และที่2ด้วยศาลฎีกาจึงเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้องเช่นกัน ที่โจทก์ที่1และที่2ฎีกาว่าโจทก์ที่3ครอบครองที่ดินพิพาทแทนทายาทของ จ. ทุกคนคดีจึงไม่ขาดอายุความนั้นเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่าฟ้องโจทก์ที่3ขาดอายุความหรือไม่เพราะศาลต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงให้เป็นที่ยุติเสียก่อนว่าโจทก์ที่3ได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทแทนทายาทของ จ. หรือไม่จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงนอกจากนี้โจทก์ที่1และที่2ยังฎีกาอีกว่า ท. ไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทเพียงผู้เดียวจึงไม่อาจทำพินัยกรรมยกที่ดินทั้งแปลงให้แก่จำเลยอันเป็นการกระทำที่เกินกว่าสิทธิของตนที่พึงจะได้รับตามกฎหมายในฐานะทายาทของ จ. ขอให้ศาลพิพากษากลับและบังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้นก็เป็นฎีกาโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค1ฟังมาว่า ท.มีสิทธิในที่ดินพิพาทเพียงครึ่งหนึ่งจึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเช่นเดียวกันปรากฏว่าคดีนี้ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่งดังนั้นโจทก์ที่1และที่2จึงต้องห้ามฎีกา ที่จำเลยฎีกาว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ทรัพย์มรดกของ จ. การที่โจทก์ที่3ได้ร่วมทำกินกับ ท. ก็ไม่อาจก่อให้เกิดสิทธิใดๆแก่โจทก์ที่3และไม่อยู่ในฐานะที่จะขอแบ่งที่ดินพิพาทได้โจทก์ทั้งสามไม่เคยเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทฟ้องโจทก์ทั้งสามขาดอายุความมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1754วรรคหนึ่งเป็นฎีกาโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค1ฟังมาจึงต้องห้ามฎีกาเช่นเดียวกันกับโจทก์ที่1และที่2ส่วนที่จำเลยฎีกาอีกว่าท. ได้แย่งการครอบครองที่ดินพิพาทมาตั้งแต่พ.ศ.2519แล้วโจทก์ทั้งสามไม่ได้โต้แย้งหรือคัดค้านภายในกำหนด1ปีนับแต่ถูกแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1375วรรคสองนั้นปรากฏว่าจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 323/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์สถานะผู้ทรงเช็คพิพาทและการวินิจฉัยนอกเหนือคำให้การเป็นเรื่องความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ข้อเท็จจริงยุติตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นแล้วว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทและมิได้รับโอนมาโดยคบคิดกันฉ้อฉลให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ดังนี้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยว่า ว. เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทหาได้ไม่เพราะเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือไปจากคำให้การของจำเลยและเป็นข้อมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นเป็นการไม่ชอบ ปัญหาการฟังข้อเท็จจริงนอกเหนือจากคำให้การและการวินิจฉัยในข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้คู่ความไม่ฎีกาศาลฎีกาก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 265/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการขายทอดตลาดต้องพิสูจน์เจ้าพนักงานบังคับคดีฝ่าฝืนกฎหมายและเกิดความเสียหาย, ผู้ซื้อมีส่วนได้เสีย
จำเลยที่1ที่2อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นแต่ศาลอุทธรณ์ภาค1คงพิจารณาและพิพากษาเฉพาะอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่1เท่านั้นการพิจารณาคดีของศาลอุทธรณ์ภาค1จึงไม่ชอบแต่เมื่อคดีขึ้นมาสู่ศาลฎีกาแล้วเพื่อให้ขบวนการยุติธรรมดำเนินไปโดยรวดเร็วศาลฎีกาเห็นสมควรพิจารณาพิพากษาไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค1วินิจฉัยอีกได้ การที่ศาลจะสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดได้จะต้องเป็นกรณีต้องด้วยมาตรา296วรรคสองแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งกล่าวคือเจ้าพนักงานบังคับคดีต้องดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งลักษณะการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและเกิดการเสียหายแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบุคคลอื่นๆที่มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีบุคคลดังกล่าวจึงจะมีสิทธิยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลก่อนการบังคับคดีเสร็จลงขอให้งดการบังคับคดีไว้ก่อนได้ดังนั้นตามคำร้องของจำเลยที่1ที่อ้างว่าผู้เข้าสู้ราคาเป็นผู้มีส่วนได้เสียและรู้เห็นเป็นใจต่อกันทำให้ทรัพย์สินของจำเลยได้ราคาต่ำนั้นหากจะเป็นความจริงก็มิใช่เป็นการกระทำของเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงไม่อาจยกเหตุที่จำเลยที่1อ้างมาเพิกถอนการขายทอดตลาดได้ เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดและศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขายแล้วหากจำเลยที่2เห็นว่าการขายทอดตลาดเป็นไปโดยมิชอบจำเลยที่2จะต้องยื่นคำร้องคัดค้านต่อศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา296วรรคสองก่อนจึงจะใช้สิทธิอุทธรณ์หรือฎีกาได้ดังนั้นเมื่อจำเลยที่2มิได้ยื่นคำร้องคัดค้านการขายทอดตลาดต่อศาลชั้นต้นจำเลยที่2จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์หรือฎีกาคำสั่งดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 239/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปรับบทความผิดจากยักยอกเป็นฉ้อโกงประชาชน เกินกรอบการพิจารณาของศาลอุทธรณ์
โจทก์บรรยายฟ้องและมีคำขอให้ลงโทษจำเลยฐานฉ้อโกงประชาชน ตาม ป.อ. มาตรา 343 ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นการเบียดบังทรัพย์สินของผู้เสียหายโดยมีเจตนาทุจริตเป็นความผิดฐานยักยอกศาลลงโทษฐานยักยอกได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสาม พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 352 วรรคหนึ่ง จำคุก 3 ปี โจทก์ไม่อุทธรณ์จำเลยอุทธรณ์ว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานยักยอก ดังนี้ ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยได้หลอกลวงผู้เสียหายและประชาชนด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือไม่ จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ปัญหาในชั้นอุทธรณ์จึงมีตามอุทธรณ์ของจำเลย เพียงว่าจำเลยได้กระทำผิดฐานยักยอกหรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้วฟังว่า การกระทำของจำเลยเป็นการ-หลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชนและการหลอกลวงดังกล่าวทำให้จำเลยได้ไปซึ่งทรัพย์สิน จำเลยจึงมีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามฟ้องและพิพากษาลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 343 วรรคแรก ให้จำคุก 3 ปีตามที่ศาลชั้นต้นกำหนด จึงเป็นการวินิจฉัยและฟังข้อเท็จจริงในข้อที่โจทก์และจำเลยไม่ได้อุทธรณ์ ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยข้อเท็จจริงและปรับบทลงโทษจำเลยว่าเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน จึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการพิจารณาและพิพากษาคดี คดีนี้จำเลยอุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานยักยอก ซึ่งศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัย เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควร ย่อมย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิจารณาและพิพากษาใหม่ตามประเด็นที่จำเลยอุทธรณ์ดังกล่าวได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 243 และ 247ประกอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 15
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 239/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปรับบทลงโทษจากยักยอกเป็นฉ้อโกงโดยไม่ชอบตามกฎหมาย และการพิจารณาประเด็นที่จำเลยอุทธรณ์
โจทก์ บรรยายฟ้องและมีคำขอให้ลงโทษจำเลยฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา343ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นการเบียดบังทรัพย์สินของผู้เสียหายโดยมีเจตนาทุจริตเป็นความผิดฐานยักยอกศาลลงโทษฐานยักยอกได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคสามพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา352วรรคหนึ่งจำคุก3ปีโจทก์ไม่อุทธรณ์จำเลยอุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานยักยอกดังนี้ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยได้หลอกลวงผู้เสียหายและประชาชนด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือไม่จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นปัญหาในชั้นอุทธรณ์จึงมีตามอุทธรณ์ของจำเลยเพียงว่าจำเลยได้กระทำผิดฐานยักยอกหรือไม่การที่ศาลอุทธรณ์ภาค3วินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้วฟังว่าการกระทำของจำเลยเป็นการหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชนและการหลอกลวงดังกล่าวทำให้จำเลยได้ไปซึ่งทรัพย์สินจำเลยจึงมีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามฟ้องและพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา343วรรคแรกให้จำคุก3ปีตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดจึงเป็นการวินิจฉัยและฟังข้อเท็จจริงในข้อที่โจทก์และจำเลยไม่ได้อุทธรณ์ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค3วินิจฉัยข้อเท็จจริงและปรับบทลงโทษจำเลยว่าเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนจึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการพิจารณาและพิพากษาคดีคดีนี้จำเลยอุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานยักยอกซึ่งศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยเมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรย่อมย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์ภาค3พิจารณาและพิพากษาใหม่ตามประเด็นที่จำเลยอุทธรณ์ดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา243และ247ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา15
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 239/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคดีฉ้อโกงประชาชน: ศาลฎีกายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เนื่องจากขัดต่อหลักการพิจารณาคดีที่จำกัดเฉพาะประเด็นอุทธรณ์
โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา343ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา352วรรคหนึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคสามจำเลยอุทธรณ์ส่วนโจทก์ไม่อุทธรณ์ฉะนั้นข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยได้หลอกลวงผู้เสียหายและประชาชนด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือไม่จึงยุติตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยและปรับบทลงโทษจำเลยว่าเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนจึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาและพิพากษาคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 201/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์: จำเลยพิสูจน์เจตนาเป็นเจ้าของและระยะเวลาครอบครองไม่ได้ ศาลยืนตามกรรมสิทธิ์เดิม
ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทที่เป็นของโจทก์ด้านทิศตะวันตกซึ่งจำเลยอ้างว่าจำเลยได้ครอบครองปรปักษ์มีเฉพาะจากหลักหมุดที่1มาถึงหลักหมุดที่4ด้านทิศตะวันออกนั้นศาลอุทธรณ์ไปรับฟังเอาจากรายงานกระบวนพิจารณาการเดินเผชิญสืบของศาลชั้นต้นลงวันที่24สิงหาคม2531ซึ่งเป็นการรับฟังที่ผิดไปจากรายงานกระบวนพิจารณาเพราะรายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าวมิได้มีข้อความดังที่ศาลอุทธรณ์รับฟังการรับฟังพยานของศาลอุทธรณ์ในส่วนนี้จึงไม่ชอบซึ่งเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายแม้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน200,000บาทโจทก์ก็ฎีกาได้และศาลฎีกามีอำนาจฟังข้อเท็จจริงในประเด็นว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือของจำเลยและประเด็นว่าโจทก์ได้รับความเสียหายหรือไม่เพียงใดอันเป็นประเด็นที่เกี่ยวเนื่องมาจากประเด็นแรกเสียใหม่โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีกเพราะคู่ความได้นำสืบมาสิ้นกระแสความแล้วทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความมาตรา243ประกอบมาตรา247 ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่มีโฉนดที่ดินมาตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าซึ่งออกก่อนที่บิดามารดาจำเลยจะเข้ามาอยู่ในที่ดินพิพาทจำเลยอ้างว่าจำเลยสืบสิทธิการครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทต่อมาจากบิดามารดาจำเลยจนได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทจำเลยมีหน้าที่พิสูจน์ให้ได้ความแน่ชัดว่าบิดามารดาจำเลยและจำเลยได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลา10ปีแต่พยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบมายังฟังไม่ได้ว่าบิดามารดาจำเลยเข้ายึดถือครอบครองที่ดินพิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของโดยมิได้อาศัยสิทธิของเจ้าของที่ดินพิพาทแม้ครอบครองที่ดินพิพาทมานานเท่าใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382และแม้ว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทต่อจากบิดามารดาจำเลยก็หาทำให้จำเลยมีสิทธิเหนือกว่าบิดามารดาจำเลยไม่จำเลยจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 201/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์ต้องพิสูจน์เจตนาเป็นเจ้าของต่อเนื่อง 10 ปี แม้ครอบครองนานก็ไม่ทำให้ได้กรรมสิทธิ์หากไม่ได้มาด้วยเจตนาที่ถูกต้อง
ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทที่เป็นของโจทก์ด้านทิศตะวันตกซึ่งจำเลยอ้างว่าจำเลยได้ครอบครองปรปักษ์มีเฉพาะจากหลักหมุดที่ 1 มาถึงหลักหมุดที่ 4 ด้านทิศตะวันออกนั้น ศาลอุทธรณ์ไปรับฟังเอาจากรายงานกระบวนพิจารณาการเดินเผชิญสืบของศาลชั้นต้นลงวันที่ 24 สิงหาคม 2531 ซึ่งเป็นการรับฟังที่ผิดไปจากรายงานกระบวนพิจารณา เพราะรายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าวมิได้มีข้อความดังที่ศาลอุทธรณ์รับฟัง การรับฟังพยานของศาลอุทธรณ์ในส่วนนี้จึงไม่ชอบ ซึ่งเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย แม้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท โจทก์ก็ฎีกาได้ และศาลฎีกามีอำนาจฟังข้อเท็จจริงในประเด็นว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือของจำเลย และประเด็นว่าโจทก์ได้รับความเสียหายหรือไม่เพียงใดอันเป็นประเด็นที่เกี่ยวเนื่องมาจากประเด็นแรกเสียใหม่โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีกเพราะคู่ความได้นำสืบมาสิ้นกระแสความแล้ว ทั้งนี้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 243 ประกอบมาตรา 247
ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่มีโฉนดที่ดินมาตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าซึ่งออกก่อนที่บิดามารดาจำเลยจะเข้ามาอยู่ในที่ดินพิพาท จำเลยอ้างว่าจำเลยสืบสิทธิการครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทต่อมาจากบิดามารดาจำเลยจนได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท จำเลยมีหน้าที่พิสูจน์ให้ได้ความแน่ชัดว่าบิดามารดาจำเลยและจำเลยได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลา 10 ปี แต่พยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบมายังฟังไม่ได้ว่าบิดามารดาจำเลยเข้ายึดถือครอบครองที่ดินพิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของโดยมิได้อาศัยสิทธิของเจ้าของที่ดินพิพาท แม้ครอบครองที่ดินพิพาทมานานเท่าใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382และแม้ว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทต่อจากบิดามารดาจำเลยก็หาทำให้จำเลยมีสิทธิเหนือกว่าบิดามารดาจำเลยไม่ จำเลยจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท
ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่มีโฉนดที่ดินมาตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าซึ่งออกก่อนที่บิดามารดาจำเลยจะเข้ามาอยู่ในที่ดินพิพาท จำเลยอ้างว่าจำเลยสืบสิทธิการครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทต่อมาจากบิดามารดาจำเลยจนได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท จำเลยมีหน้าที่พิสูจน์ให้ได้ความแน่ชัดว่าบิดามารดาจำเลยและจำเลยได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลา 10 ปี แต่พยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบมายังฟังไม่ได้ว่าบิดามารดาจำเลยเข้ายึดถือครอบครองที่ดินพิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของโดยมิได้อาศัยสิทธิของเจ้าของที่ดินพิพาท แม้ครอบครองที่ดินพิพาทมานานเท่าใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382และแม้ว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทต่อจากบิดามารดาจำเลยก็หาทำให้จำเลยมีสิทธิเหนือกว่าบิดามารดาจำเลยไม่ จำเลยจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 191/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยประเด็นนอกฟ้อง: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันในศาลล่าง
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า (1) ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ (2) โจทก์หรือจำเลยทั้งหกเป็นฝ่ายผิดสัญญา (3) โจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายหรือไม่ เพียงใด โจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6มอบโฉนดที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขาย และตั้งหรือเชิดจำเลยที่ 1 หรือยอมให้จำเลยที่ 1 เชิดตัวเองเป็นตัวแทนขายที่ดินพิพาท จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ซึ่งเป็นตัวการต้องรับผิดต่อโจทก์ เป็นการฎีกาในข้อที่โจทก์มิได้บรรยายกล่าวอ้างมาในฟ้องและที่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ ที่ศาลล่างทั้งสองหยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัย จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นข้อพิพาท ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 142 ประกอบด้วย มาตรา 246 ถือว่าเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ทั้งไม่ใช่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามฎีกาตาม มาตรา 249 แห่งบทบัญญัติดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย