พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,368 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5392/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับอุทธรณ์คดีข้อเท็จจริง: ศาลชั้นต้นสั่งผิดพลาดและขัดต่อกฎหมาย
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงให้ยกคำร้อง แล้วมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ เมื่อปรากฏว่า คดีนี้เป็นคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว จึงเป็นการสั่งโดยผิดหลงและเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัย และย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องว่าจะรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงหรือไม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (1) และ27 ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5392/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับรองอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง: ศาลฎีกามีอำนาจเพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่ชอบ แม้เพิ่งยกขึ้นในชั้นฎีกา
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงให้ยกคำร้อง แล้วมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ เมื่อปรากฏว่า คดีนี้เป็นคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว จึงเป็นการสั่งโดยผิดหลงและเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัย และย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องว่าจะรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงหรือไม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(1) และ 27 ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5290/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลฎีกาชี้ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนอกประเด็นสัญญาประนีประนอมยอมความ มิชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ฟ้องเรียกเงินโดยอ้างว่าจำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความชำระเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ จำเลยให้การแต่เพียงว่าเงินที่โจทก์เรียกมานั้นสูงเกินความเป็นจริง จึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ และถือว่าจำเลยรับว่าได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1หยิบยกข้อเท็จจริงขึ้นวินิจฉัยว่า สัญญาประนีประนอมยอมความไม่ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือ แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น จึงเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือประเด็นที่จำเลยยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5285/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำท้าของผู้เชี่ยวชาญไม่ครบถ้วน ทำให้ศาลมิอาจพิพากษาตามคำท้าได้
คู่ความท้ากัน 2 ประการ แต่หนังสือของศาลชั้นต้นคงขอให้ผู้เชี่ยวชาญทำการตรวจพิสูจน์ปัญหาประการแรกว่า ตัวเลข 2 ได้เขียนขึ้นในคราวเดียวกัน หรือเขียนเติมขึ้นในภายหลังเท่านั้นปัญหาประการที่สองที่ว่าตัวเลข 2 เขียนด้วยหมึกจากปากกาคนละด้ามกันหรือไม่ ศาลชั้นต้นไม่ได้ขอให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ จึงยังไม่เป็นไปตามคำท้าที่จะถือว่าโจทก์แพ้คดีได้ กรณีเป็นเรื่องศาลชั้นต้นมิได้ดำเนินการให้เป็นไปตามคำท้าของคู่ความให้ครบถ้วนเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5285/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำท้าของผู้เชี่ยวชาญไม่สมบูรณ์ ศาลต้องดำเนินการตามคำท้าให้ครบถ้วน
คู่ความท้ากัน 2 ประการ แต่หนังสือของศาลชั้นต้นคงขอให้ผู้เชี่ยวชาญทำการตรวจพิสูจน์ปัญหาประการแรกว่า ตัวเลข 2 ได้เขียนขึ้นในคราว-เดียวกัน หรือเขียนเติมขึ้นในภายหลังเท่านั้น ปัญหาประการที่สองที่ว่าตัวเลข 2เขียนด้วยหมึกจากปากกาคนละด้ามกันหรือไม่ ศาลชั้นต้นไม่ได้ขอให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ จึงยังไม่เป็นไปตามคำท้าที่จะถือว่าโจทก์แพ้คดีได้ กรณีเป็นเรื่องศาลชั้นต้นมิได้ดำเนินการให้เป็นไปตามคำท้าของคู่ความให้ครบถ้วน เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4979/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นฎีกาล่าช้าและการขยายเวลายื่นคำร้อง จำเลยต้องแสดงเหตุสุดวิสัย
ตามคำร้องจำเลยอ้างว่า จำเลยย้ายออกจากบ้านที่เจ้าพนักงานศาลไปปิดหมาย โดยให้ญาติเป็นผู้ดูแลบ้านดังกล่าวจำเลยจึงไม่ทราบนัดและมิได้มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เพิ่งทราบการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาที่จะยื่นฎีกาแล้ว ขออนุญาตยื่นฎีกา โดยให้ศาลกำหนดเวลาตามที่เห็นสมควร แต่ในคำร้องจำเลยมิได้โต้แย้งว่า การส่งหมายนัดไม่ชอบแต่ประการใด เท่ากับเป็นการยอมรับว่าการส่งหมายนัดโดยวิธีปิดหมายชอบแล้ว การที่จำเลยมิได้อยู่บ้านจึงไม่ทราบวันนัด มาทราบภายหลังเมื่อพ้นระยะเวลาที่กำหนดยื่นฎีกา จึงขออนุญาตฎีกา ย่อมเห็นได้ชัดว่าจำเลยประสงค์ยื่นฎีกาโดยให้ศาลกำหนดเวลาให้จำเลย เท่ากับเป็นการขอขยายระยะเวลาในการยื่นฎีกา ซึ่งต้องพิจารณาคำร้องขอของจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ซึ่งกำหนดให้ศาลมีอำนาจขยายระยะเวลาได้ แต่พึงกระทำได้ต่อเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษและศาลได้มีคำสั่งหรือคู่ความมีคำขอขึ้นมาก่อนสิ้นระยะเวลานั้น เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัย สำหรับกรณีของจำเลยปรากฏว่าเมื่อมีการส่งหมายนัดโดยชอบแล้วถือว่าจำเลยทราบวันนัด ที่จำเลยอ้างมาว่าไม่ทราบวันนัดเป็นการอ้างในเรื่องส่วนตัวของจำเลยเอง มิใช่เหตุสุดวิสัยจึงไม่มีความจำเป็นอันใดที่ศาลจะต้องไต่สวนคำร้องของจำเลยและชอบที่จะยกคำร้องของจำเลยเสีย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4979/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นฎีกาเกินกำหนด - เหตุผลความไม่ทราบวันนัดเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ถือเป็นเหตุสุดวิสัย
ตามคำร้องจำเลยอ้างว่า จำเลยย้ายออกจากบ้านที่เจ้าพนักงานศาลไปปิดหมาย โดยให้ญาติเป็นผู้ดูแลบ้านดังกล่าว จำเลยจึงไม่ทราบนัดและมิได้มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เพิ่งทราบการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาที่จะยื่นฎีกาแล้ว ขออนุญาตยื่นฎีกา โดยให้ศาลกำหนดเวลาตามที่เห็นสมควร แต่ในคำร้องจำเลยมิได้โต้แย้งว่า การส่งหมายนัดไม่ชอบแต่ประการใด เท่ากับเป็นการยอมรับว่าการส่งหมายนัดโดยวิธีปิดหมายชอบแล้วการที่จำเลยมิได้อยู่บ้านจึงไม่ทราบวันนัด มาทราบภายหลังเมื่อพ้นระยะเวลาที่กำหนดยื่นฎีกา จึงขออนุญาตฎีกา ย่อมเห็นได้ชัดว่าจำเลยประสงค์ยื่นฎีกาโดยให้ศาลกำหนดเวลาให้จำเลย เท่ากับเป็นการขอขยายระยะเวลาในการยื่นฎีกา ซึ่งต้องพิจารณาคำร้องขอของจำเลยตาม ป.วิ.พ.มาตรา 23 ซึ่งกำหนดให้ศาลมีอำนาจขยายระยะเวลาได้ แต่พึงกระทำได้ต่อเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษและศาลได้มีคำสั่งหรือคู่ความมีคำขอขึ้นมาก่อนสิ้นระยะเวลานั้น เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัย สำหรับกรณีของจำเลยปรากฏว่าเมื่อมีการส่งหมายนัดโดยชอบแล้วถือว่าจำเลยทราบวันนัด ที่จำเลยอ้างมาว่าไม่ทราบวันนัดเป็นการอ้างในเรื่องส่วนตัวของจำเลยเอง ไม่ใช่เหตุสุดวิสัยจึงไม่มีความจำเป็นอันใดที่ศาลจะต้องไต่สวนคำร้องของจำเลยและชอบที่จะยกคำร้องของจำเลยเสีย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4947/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่เสียชีวิต: อำนาจศาลอุทธรณ์และกระบวนการที่ถูกต้อง
จำเลยที่ 4 ถึงแก่ความตายขณะคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ย่อมเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ที่จะมีคำสั่งเกี่ยวกับการเข้าเป็นคู่ความแทนที่ ศาลชั้นต้นจะต้องเลื่อนการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไปก่อน และทำการไต่สวนให้ได้ความว่าผู้ร้องเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 4จริงหรือไม่ แล้วส่งคำร้องดังกล่าวพร้อมสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณาสั่งการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่แล้วอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรให้ศาลล่างทั้งสองดำเนินกระบวนพิจารณาให้ถูกต้องก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4947/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเข้าเป็นคู่ความแทนที่หลังจำเลยเสียชีวิต: ศาลอุทธรณ์มีอำนาจสั่ง และศาลชั้นต้นต้องไต่สวนก่อนส่งสำนวน
จำเลยที่ 4 ถึงแก่ความตายขณะคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ย่อมเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ที่จะมีคำสั่งเกี่ยวกับการเข้าเป็นคู่ความแทนที่ ศาลชั้นต้นจะต้องเลื่อนการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไปก่อน และทำการไต่สวนให้ได้ความว่าผู้ร้องเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 4 จริงหรือไม่ แล้วส่งคำร้องดังกล่าวพร้อมสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณาสั่ง การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่แล้วอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรให้ศาลล่างทั้งสองดำเนินกระบวนพิจารณาให้ถูกต้องก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4912/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญากู้เพื่อหลักประกันการทำงานต่างประเทศ มิใช่การจัดการสินสมรส
โจทก์มอบเงินให้จำเลยเพื่อให้จำเลยจัดส่งโจทก์ไปทำงานต่างประเทศ จำเลยจึงทำสัญญากู้ให้โจทก์ โดยไม่มีการมอบเงินตามสัญญากู้การทำสัญญากู้ดังกล่าวเป็นการทำนิติกรรมเพื่อเป็นหลักประกันการที่จำเลยจะส่งโจทก์ไปทำงานต่างประเทศ มิได้ทำขึ้นเพื่อผูกพันสินสมรสของโจทก์โดยเฉพาะสัญญากู้ตามฟ้องจึงมิใช่การจัดการสินสมรส การที่โจทก์นำสัญญากู้มาฟ้องจึงมิใช่การจัดการสินสมรสอันจะต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรส