คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 390

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 107 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1770/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์วินิจฉัยบาดแผลเป็นคุณแก่จำเลย แม้มิได้อุทธรณ์ และการประเมินอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390 และพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2477 มาตรา 29(4), 66 ที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้ว จำเลยที่1 ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ว่าจำเลยที่ 2 กระทำประมาทฝ่ายเดียว ขอให้ยกฟ้อง แม้จำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์โต้แย้งในเรื่องบาดแผลมาด้วย ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้เป็นคุณแก่จำเลยได้
แม้การขับรถของจำเลยเป็นที่น่าหวาดเสียว เป็นเหตุให้เกิดชนกันอย่างแรง ต่างเสียหายมากอย่างไรก็ตาม เมื่อลักษณะบาดแผลของผู้เสียหายที่ได้รับมีเพียงเจ็บบริเวณข้อศอกและปลายแขนซ้ายมีรอยช้ำเล็กน้อย รักษาประมาณ 2 วัน เท่านี้ ยังไม่รุนแรงจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย อันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 390

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1770/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินความรุนแรงบาดแผลเพื่อพิจารณาความผิดฐานทำให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย แม้ผู้ขับขี่ขับรถประมาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390 และพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2477 มาตรา 29(4), 66 ที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้ว จำเลยที่1ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ว่าจำเลยที่ 2 กระทำประมาทฝ่ายเดียว ขอให้ยกฟ้องแม้จำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์โต้แย้งในเรื่องบาดแผลมาด้วย ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้เป็นคุณแก่จำเลยได้
แม้การขับรถของจำเลยเป็นที่น่าหวาดเสียว เป็นเหตุให้เกิดชนกันอย่างแรง ต่างเสียหายมากอย่างไรก็ตาม เมื่อลักษณะบาดแผลของผู้เสียหายที่ได้รับมีเพียงเจ็บบริเวณข้อศอกและปลายแขนซ้ายมีรอยช้ำเล็กน้อย รักษาประมาณ 2 วัน เท่านี้ ยังไม่รุนแรงจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย อันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 390

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 779-780/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงหมายเลขทะเบียนรถในคำฟ้องไม่เป็นสาระสำคัญหากข้อเท็จจริงหลักยังคงเดิม และการวินิจฉัยประเด็นความประมาท
ฟ้องหาว่าจำเลยขับรถยนต์ประมาทชนรถยนต์ของผู้อื่นเป็นเหตุให้มีคนบาดเจ็บและบาดเจ็บสาหัส ข้อสารสำคัญของคดีอยู่ที่ว่า รถของจำเลยชนกับรถของผู้อื่นจริงหรือไม่และฝ่ายใดเป็นฝ่ายประมาท แม้ในคำฟ้องจะกล่าวถึงหมายเลขทะเบียนรถยนต์คันที่ถูกชนไว้เป็นอย่างหนึ่ง แต่โจทก์นำสืบในทางพิจารณากลับได้ความเป็นหมายเลขทะเบียนอีกอย่างหนึ่งข้อแตกต่างซึ่งมีเฉพาะหมายเลขทะเบียนรถคันที่ถูกชนเท่านั้นจึงไม่ใช่ข้อสารสำคัญ เมื่ออุทธรณ์ของจำเลยข้ออื่น ๆ จำเลยยอมรับว่ารถของจำเลยชนกับรถของผู้อื่น (ที่กล่าวชื่อมาในฟ้อง)อุทธรณ์ของจำเลยที่ว่าทางพิจารณาได้ความแตกต่างกับฟ้องจึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 247/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับสารภาพของจำเลยในคดีขับรถประมาททำให้บาดเจ็บสาหัส และการพิจารณาบาดแผลตามรายงานแพทย์
ในคดีที่โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัสโดยป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาและประกอบกรณียกิจไม่ได้ตามปกติเกินกว่า 20 วัน แม้ผู้ว่าคดีจะนำจำเลยมาฟ้องหลังจากเกิดเหตุได้ 9 วัน ซึ่งยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงแน่นอนว่าผู้เสียหายจะป่วยเจ็บหรือประกอบกรณียกิจไม่ได้เกินกว่า 20 วันหรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อพิเคราะห์ฟ้องประกอบบันทึกบาดแผลตามรายงานชันสูตรของแพทย์ ซึ่งประมาณการรักษาไว้เป็นเวลา 45 วัน ซึ่งต้องถือว่าจำเลยได้รับสารภาพโดยพิเคราะห์ข้อเท็จจริงตามฟ้องทั้งหมดนี้ด้วยแล้ว ศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยซึ่งให้การรับสารภาพตามฟ้องไปได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 247/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับสารภาพในคดีขับรถประมาททำให้บาดเจ็บสาหัส ศาลพิจารณาจากบาดแผลและความเห็นแพทย์ แม้ฟ้องหลังเกิดเหตุไม่ถึง 20 วัน
ในคดีที่โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัสโดยป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาและประกอบกรณียกิจไม่ได้ตามปกติเกินกว่า 20 วัน แม้ผู้ว่าคดีจะนำจำเลยมาฟ้องหลังจากเกิดเหตุได้ 9 วัน ซึ่งยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงแน่นอนว่าผู้เสียหายจะป่วยเจ็บหรือประกอบกรณียกิจไม่ได้เกินกว่า 20 วันหรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อพิเคราะห์ฟ้องประกอบบันทึกบาดแผลตามรายงานชันสูตรของแพทย์ ซึ่งประมาณการรักษาไว้เป็นเวลา 45 วัน ซึ่งต้องถือว่าจำเลยได้รับสารภาพโดยพิเคราะห์ข้อเท็จจริงตามฟ้องทั้งหมดนี้ด้วยแล้ว ศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยซึ่งให้การรับสารภาพตามฟ้องไปได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1282/2514

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาทในการขับเรือทำให้เกิดการชน ผู้ขับเรือต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายและอันตรายที่เกิดขึ้น
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ขับเรือแล่นมาด้วยความเร็วสูงและต่างแล่นมาตรงกลางลำน้ำ เมื่อใกล้จะสวนกันเรือทั้งสองแล่นเกือบเป็นเส้นตรงเข้าหากันในลักษณะน่ากลัวจะเกิดโดนกัน แม้จำเลยที่ 2 จะเบนหลีกไปทางขวามือ อันเป็นการปฏิบัติตามกฎกระทรวง (พ.ศ. 2498) ออกตามความในพระราชบัญญัติป้องกันเรือโดนกัน พ.ศ. 2497 ข้อ19(ก)ก็ตาม แต่จำเลยที่ 2 ก็มิได้ลดความเร็ว กลับขับเรือเบนเข้าเส้นทางเรือของตนทางด้านขวาในระยะกระชั้นชิด ส่วนจำเลยที่ 1 ก็มิได้ลดความเร็วทั้งมิได้เบนเข้าเส้นทางเรือของตนทางด้านขวา เพื่อหลีกเลี่ยงการโดนกันแต่กลับคงแล่นตรงไป เรือจำเลยที่ 2 จึงชนตรงกราบเรือด้านขวาของเรือจำเลยที่ 1 เป็นเหตุให้ผู้โดยสารในเรือจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายและบาดเจ็บเช่นนี้ แสดงว่าจำเลยทั้งสองกระทำด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นจำเลยทั้งสองซึ่งขับขี่เรือยนต์สวนทางกันจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ จำเลยทั้งสองจึงต้องมีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย และบาดเจ็บ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1282/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาทในการขับเรือทำให้เกิดการชนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ผู้ขับเรือทั้งสองมีความผิด
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ขับเรือแล่นมาด้วยความเร็วสูงและต่างแล่นมาตรงกลางลำน้ำ เมื่อใกล้จะสวนกันเรือทั้งสองแล่นเกือบเป็นเส้นตรงเข้าหากันในลักษณะน่ากลัวจะเกิดโดนกัน แม้จำเลยที่ 2 จะเบนหลีกไปทางขวามือ อันเป็นการปฏิบัติตามกฎกระทรวง (พ.ศ. 2498) ออกตามความในพระราชบัญญัติป้องกันเรือโดนกัน พ.ศ. 2497 ข้อ 19 (ก) ก็ตาม แต่จำเลยที่ 2 ก็มิได้ลดความเร็ว กลับขับเรือเบนเข้าเส้นทางเรือของตนทางด้านขวาในระยะกระชั้นชิด ส่วนจำเลยที่ 1 ก็มิได้ลดความเร็วทั้งมิได้เบนเข้าเส้นทางเรือของตนทางด้านขวา เพื่อหลีกเลี่ยงการโดนกันแต่กลับคงแล่นตรงไป เรือจำเลยที่ 2 จึงชนตรงกราบเรือด้านขวาของเรือจำเลยที่ 1 เป็นเหตุให้ผู้โดยสารในเรือ จำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายและบาดเจ็บเช่นนี้ แสดงว่าจำเลยทั้งสองกระทำด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นจำเลยทั้งสองซึ่งขับขี่เรือยนต์สวนทางกันจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ จำเลยทั้งสองจึงต้องมีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตายและบาดเจ็บ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1104/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลทหาร: คดีที่ทหารกับพลเรือนกระทำผิดด้วยกัน แม้มิได้ร่วมกระทำความผิดโดยตรง
ความผิดเป็นคดีที่ตกอยู่ในกรณีใดกรณีหนึ่งใน 4 ประการดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 ต้องถือว่าเป็นคดีที่ไม่อยู่ในอำนาจศาลทหาร อันมีผลตามมาตรา 15 วรรคหนึ่ง ให้ดำเนินคดีในศาลพลเรือน
คำว่า "ด้วยกัน" ตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 มาตรา 15 (1) ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องที่ทหารกับพลเรือนได้ร่วมกระทำความผิดตามมาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญาเสมอไป
การที่โจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นทหารประจำการ โดยบรรยายคำฟ้องว่า จำเลยกับนายเดช (พลเรือน) ซึ่งยังหลบหนีอยู่ ต่างขับรถคนละคันด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังเฉี่ยวชนกัน เป็นเหตุให้มีคนตายและบาดเจ็บสาหัส เช่นนี้ เป็นเรื่องที่บุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารกับบุคคลที่มิได้อยู่ในอำนาจศาลทหารกระทำผิดด้วยกัน เป็นคดีที่ตกอยู่ในบังคับแห่งมาตรา 14 (1) แห่งพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 เป็นคดีที่ไม่อยู่ในอำนาจศาลทหาร ต้องดำเนินคดีต่อศาลพลเรือนตามมาตรา 15 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวข้างต้น ศาลพลเรือนประทับรับฟ้องไว้พิจารณาพิพากษาได้
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 22/2513)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1104/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลทหาร: คดีทหารกับพลเรือนประมาทชนกัน
ความผิดเป็นคดีที่ตกอยู่ในกรณีใดกรณีหนึ่งใน 4 ประการดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498ต้องถือว่าเป็นคดีที่ไม่อยู่ในอำนาจศาลทหาร อันมีผลตามมาตรา 15 วรรคหนึ่ง ให้ดำเนินคดีในศาลพลเรือน
คำว่า 'ด้วยกัน' ตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498มาตรา 14(1) ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องที่ทหารกับพลเรือนได้ร่วมกระทำความผิดตามมาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญาเสมอไป
การที่โจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นทหารประจำการ โดยบรรยายคำฟ้องว่า จำเลยกับนายเดช (พลเรือน) ซึ่งยังหลบหนีอยู่ ต่างขับรถคนละคันด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังเฉี่ยวชนกัน เป็นเหตุให้มีคนตายและบาดเจ็บสาหัส เช่นนี้ เป็นเรื่องที่บุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารกับบุคคลที่มิได้อยู่ในอำนาจศาลทหารกระทำผิดด้วยกัน เป็นคดีที่ตกอยู่ในบังคับแห่งมาตรา 14(1) แห่งพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498เป็นคดีที่ไม่อยู่ในอำนาจศาลทหาร ต้องดำเนินคดีต่อศาลพลเรือนตามมาตรา 15 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวข้างต้น ศาลพลเรือนประทับรับฟ้องไว้พิจารณาพิพากษาได้
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 22/2513)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 761/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาทในการขับรถ: ผู้ขับขี่ต้องใช้ความระมัดระวังเมื่อเห็นรถคู่แข่งขับผิดปกติ แม้จะไม่ได้หยุดรถ
จำเลยขับรถประจำทางมาตามถนนได้เห็นรถยนต์บรรทุกคันหนึ่งกำลังแล่นสวนทางมาในระยะห่างไปไม่น้อยกว่า 50 เมตรในลักษณะผิดธรรมดา โดยแล่นกินทางตรงข้ามเข้ามาด้วยความเร็วสูงและส่ายไปมาเช่นนี้ จำเลยควรมีหน้าที่หยุดรถหรือชลอรถแอบเข้าข้างทางแต่กลับคงขับรถต่อไป และเพิ่งจะห้ามล้อเมื่อใกล้กันในระยะเพียง 7-8 เมตร และหักรถไปทางขวาเป็นเหตุให้รถชนกับรถบรรทุกนั้นจนมีผู้ตายและบาดเจ็บถือว่าเป็นการกระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์และอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้เพียงพอไม่ จำเลยจึงมีความผิดฐานประมาททำให้คนตายและบาดเจ็บ
of 11