พบผลลัพธ์ทั้งหมด 489 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2226/2531
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            การปล้นทรัพย์ในศาลเจ้า: เงินบริจาคไม่ใช่ทรัพย์ทางศาสนา, ความผิดตาม ม.340 ไม่ใช่ ม.340ทวิ
                        
                        เงินในตู้บริจาคของศาลเจ้าและเงินของผู้ดูแลศาลเจ้า แม้จะเก็บรักษาไว้ในศาลเจ้า ก็มิใช่วัตถุในทางศาสนา การที่จำเลยกับพวกปล้นทรัพย์ดังกล่าวจึงมิได้กระทำต่อทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 ทวิ วรรคแรกและไม่อาจเป็นความผิดตามมาตรา 335 ทวิ วรรคสองได้ ดังนั้น การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามมาตรา 340 ทวิ.
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2226/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            การปล้นทรัพย์ในศาลเจ้า: เงินในศาลเจ้าไม่ใช่ทรัพย์ทางศาสนา ไม่เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 340 ทวิ
                        
                        เงินในตู้บริจาคของศาลเจ้าและเงินของผู้ดูแลศาลเจ้าแม้จะเก็บรักษาไว้ในศาลเจ้า ก็มิใช่วัตถุในทางศาสนา การที่จำเลยกับพวกปล้นทรัพย์ดังกล่าวจึงมิได้กระทำต่อทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335 ทวิ วรรคแรก และไม่อาจเป็นความผิดตามมาตรา 335 ทวิวรรคสอง ได้ ดังนั้น การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามมาตรา 340 ทวิ
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2226/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            การปล้นทรัพย์ในศาลเจ้า: เงินบริจาคไม่ใช่ทรัพย์ทางศาสนา ไม่เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 340 ทวิ
                        
                        เงินในตู้บริจาคของศาลเจ้าและเงินของผู้ดูแลศาลเจ้า แม้จะเก็บรักษาไว้ในศาลเจ้า ก็มิใช่วัตถุในทางศาสนา การที่จำเลยกับพวกปล้นทรัพย์ดังกล่าวจึงมิได้กระทำต่อทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 ทวิ วรรคแรก และไม่อาจเป็นความผิดตามมาตรา 335 ทวิ วรรคสองได้ ดังนั้น การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามมาตรา 340 ทวิ
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2198/2531
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            การฟ้องเบิกความเท็จ: การพิสูจน์มูลฟ้องในชั้นไต่สวน และการฟ้องก่อนศาลตัดสินคดีหลัก
                        
                        ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องเมื่อโจทก์ยืนยันว่าข้อความที่จำเลยเบิกความเป็นความเท็จและเป็นข้อสำคัญในคดีคืออาจทำให้มีผลแพ้ชนะคดีกันได้ ก็เพียงพอแล้วที่จะฟังว่าคดีมีมูลส่วนข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร เท็จหรือไม่เท็จ ก็จะต้องฟังพยานในชั้นพิจารณาต่อไป   การฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยเบิกความเท็จ หาจำต้องรอให้ศาลพิพากษาคดีที่จำเลยเบิกความเท็จเสียก่อนไม่ เพราะความผิดฐานเบิกความเท็จเกิดตั้งแต่จำเลยเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาลแล้ว
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2081/2531
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            คำบอกเล่าผู้ตายก่อนเสียชีวิตไม่เพียงพอพิสูจน์ความผิดจำเลย แม้มีพยาน แต่ข้อมูลขัดแย้ง ศาลฎีกายกฟ้อง
                        
                        คำบอกเล่าของผู้ตายเพียงปากเดียว แม้จะพูดในขณะรู้ตัวว่าจะตาย ถ้าไม่มีพยานอื่นประกอบให้น่าเชื่อ ก็ไม่อาจรับฟังลงโทษจำเลยได้
ฎีการะบุว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้ฎีกา แต่จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้ฎีกาแต่ผู้เดียว กรณีจึงต้องฟังว่าจำเลยที่ 1 เท่านั้นฎีกา เมื่อพยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้าย ย่อมมีผลไปถึงจำเลยที่ 2 ที่มิได้ฎีกาด้วยเพราะเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกฟ้องตลอดไปถึงจำเลยที่ 2 ด้วยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 ประกอบด้วย มาตรา225.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
                                    ฎีการะบุว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้ฎีกา แต่จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้ฎีกาแต่ผู้เดียว กรณีจึงต้องฟังว่าจำเลยที่ 1 เท่านั้นฎีกา เมื่อพยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้าย ย่อมมีผลไปถึงจำเลยที่ 2 ที่มิได้ฎีกาด้วยเพราะเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกฟ้องตลอดไปถึงจำเลยที่ 2 ด้วยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 ประกอบด้วย มาตรา225.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1962/2531
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            การหลอกลวงให้ลงลายมือชื่อในเอกสารจำนอง และการปลอมแปลงเอกสารสิทธิเพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเงิน
                        
                        จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายให้หลงเชื่อลงลายมือชื่อในแบบพิมพ์เอกสารต่าง ๆ เกี่ยวกับสัญญาจำนองที่ดินและหนังสือเรื่องราวจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม แม้จะยังไม่ได้กรอกข้อความลงในเอกสารนั้น การกระทำของจำเลยถือได้ว่าเป็นการหลอกลวงให้ผู้เสียหายทำเอกสารสิทธิแล้ว เพราะจำเลยอาจนำไปกรอกข้อความให้ครบถ้วนบริบูรณ์ว่าผู้เสียหายเจตนาทำสัญญาจำนองที่ดินได้จำเลยจึงมีความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 และเมื่อจำเลยนำเอกสารดังกล่าวไปกรอกข้อความให้ผิดจากความประสงค์ของผู้เสียหายโดยฝ่าฝืนคำสั่งของผู้เสียหายและผู้เสียหายไม่ยินยอม แล้วจำเลยนำไปยื่นต่อธนาคารและสำนักงานที่ดินเพื่อเป็นการจำนองที่ดินของผู้เสียหายค้ำประกันเงินกู้ที่จำเลยเป็นหนี้ธนาคารอยู่การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 265 และ 268 ด้วย แต่การกระทำของจำเลยมีเจตนาเดียวเพื่อให้ได้เงินจากธนาคาร จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมตามมาตรา 268ประกอบด้วยมาตรา 265 อันเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90.
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1962/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            การหลอกลวงให้ลงลายมือชื่อในเอกสารจำนอง และปลอมแปลงเอกสารสิทธิเพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเงิน
                        
                        จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายให้หลงเชื่อลงลายมือชื่อในแบบพิมพ์เอกสารต่าง ๆ เกี่ยวกับสัญญาจำนองที่ดินและหนังสือเรื่องราวจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม แม้จะยังไม่ได้กรอกข้อความลงในเอกสารนั้น การกระทำของจำเลยถือได้ว่าเป็นการหลอกลวงให้ผู้เสียหายทำเอกสารสิทธิแล้ว เพราะจำเลยอาจนำไปกรอกข้อความให้ครบถ้วนบริบูรณ์ว่าผู้เสียหายเจตนาทำสัญญาจำนองที่ดินได้จำเลยจึงมีความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341และเมื่อจำเลยนำเอกสารดังกล่าวไปกรอกข้อความให้ผิดจากความประสงค์ของผู้เสียหายโดยฝ่าฝืนคำสั่งของผู้เสียหายและผู้เสียหายไม่ยินยอมแล้วจำเลยนำไปยื่นต่อธนาคารและสำนักงานที่ดินเพื่อเป็นการจำนองที่ดินของผู้เสียหายค้ำประกันเงินกู้ที่จำเลยเป็นหนี้ธนาคารอยู่การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 และ 268 ด้วยแต่การกระทำของจำเลยมีเจตนาเดียวเพื่อให้ได้เงินจากธนาคารจึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมตามมาตรา 268 ประกอบด้วยมาตรา 265 อันเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1951/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            ผลของคำพิพากษากลับ: เมื่อศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง โจทก์ต้องคืนทรัพย์ที่ได้รับไป
                        
                        โจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากจำเลย จำเลยนำทรัพย์พิพาทมาวางศาลตามคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี โจทก์ได้ขอรับทรัพย์พิพาทไป ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง คดีถึงที่สุด และจำเลยได้มาขอทรัพย์พิพาทคืนจากโจทก์ ดังนี้เมื่อคดีถึงที่สุดโดยศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้ทรัพย์พิพาทเป็นของโจทก์ย่อมสิ้นสภาพบังคับไป ศาลชั้นต้นชอบที่จะเรียกคืนทรัพย์พิพาทจากโจทก์
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1951/2531
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            ผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่กลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีเรียกทรัพย์คืน การคืนทรัพย์พิพาท
                        
                        โจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากจำเลย จำเลยนำทรัพย์พิพาทมาวางศาลตามคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี โจทก์ได้ขอรับทรัพย์พิพาทไป ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง คดีถึงที่สุด และจำเลยได้มาขอทรัพย์พิพาทคืนจากโจทก์ ดังนี้เมื่อคดีถึงที่สุดโดยศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้ทรัพย์พิพาทเป็นของโจทก์ย่อมสิ้นสภาพบังคับไป ศาลชั้นต้นชอบที่จะเรียกคืนทรัพย์พิพาทจากโจทก์.
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1951/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            ผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์กลับ: สิทธิในทรัพย์สินหลังคดีถึงที่สุด
                        
                        โจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากจำเลย จำเลยนำทรัพย์พิพาทมาวางศาลตามคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวระหว่างพิจารณาศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี โจทก์ได้ขอรับทรัพย์พิพาทไปต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง คดีถึงที่สุด และจำเลยได้มาขอทรัพย์พิพาทคืนจากโจทก์ดังนี้เมื่อคดีถึงที่สุดโดยศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้ทรัพย์พิพาทเป็นของโจทก์ย่อมสิ้นสภาพบังคับไป ศาลชั้นต้นชอบที่จะเรียกคืนทรัพย์พิพาทจากโจทก์