พบผลลัพธ์ทั้งหมด 489 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3863/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสิ้นสุดการอนุญาตอยู่ชั่วคราวและการกระทำความผิดฐานอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต
จำเลยได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรได้เป็นการชั่วคราวโดยมีชื่ออยู่ในทะเบียนญวนอพยพ ต่อมาจำเลยหลบหนีออกนอกราชอาณาจักรตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองมาตรา 39 ให้ถือว่าการได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเป็นอันสิ้นสุด ดังนี้เมื่อจำเลยกลับเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรอีกก็ต้องเป็นความผิดตามมาตรา 81 การที่ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคายมีคำสั่งอนุมัติให้ถอนชื่อจำเลยจากทะเบียนญวนอพยพคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่จึงไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะการถอนชื่อจำเลยออกจากทะเบียนญวนอพยพกับการอนุญาตถูกเพิกถอนเป็นคนละกรณีกัน ฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับวินิจฉัย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15,215,225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3683/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสิ้นสุดการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรชั่วคราวและการเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง
จำเลยได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรได้เป็นการชั่วคราวโดยมีชื่อ อยู่ในทะเบียนญวนอพยพ ต่อมาจำเลยหลบหนีออกนอกราชอาณาจักรตาม พ.ร.บ. คนเข้าเมืองฯ มาตรา 39 ให้ถือว่าการได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเป็นอันสิ้นสุด เมื่อจำเลยกลับเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรอีก ก็ต้องเป็นความผิดตามมาตรา 81 ดังนี้ การที่ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคายมีคำสั่งอนุมัติให้ถอน ชื่อ จำเลยจากทะเบียนญวนอพยพ จะเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่จึงไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะการถอน ชื่อ จำเลยออกจากทะเบียนญวนอพยพกับการอนุญาตถูกเพิกถอนเป็นคนละกรณีกัน ฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15,215,225.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3683/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสิ้นสุดการอนุญาตอยู่ชั่วคราวและการเป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต
จำเลยได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรได้เป็นการชั่วคราวโดยมีชื่ออยู่ในทะเบียนญวนอพยพ ต่อมาจำเลยหลบหนีออกนอกราชอาณาจักร ตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองมาตรา 39 ให้ถือว่าการได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเป็นอันสิ้นสุด ดังนี้เมื่อจำเลยกลับเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรอีกก็ต้องเป็นความผิดตามมาตรา 81 การที่ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคายมีคำสั่งอนุมัติให้ถอนชื่อจำเลยจากทะเบียนญวนอพยพ คำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่จึงไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะการถอนชื่อจำเลยออกจากทะเบียนญวนอพยพกับการอนุญาตถูกเพิกถอนเป็นคนละกรณีกัน ฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15, 215, 225.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3683/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสิ้นสุดการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรและการกระทำความผิดฐานอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต
จำเลยได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรได้เป็นการชั่วคราวโดยมีชื่ออยู่ในทะเบียนญวนอพยพ ต่อมาจำเลยหลบหนีออกนอกราชอาณาจักร ตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองมาตรา 39 ให้ถือว่าการได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเป็นอันสิ้นสุด ดังนี้เมื่อจำเลยกลับเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรอีกก็ต้องเป็นความผิดตามมาตรา 81 การที่ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคายมีคำสั่งอนุมัติให้ถอนชื่อจำเลยจากทะเบียนญวนอพยพคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่จึงไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะการถอนชื่อจำเลยออกจากทะเบียนญวนอพยพกับการอนุญาตถูกเพิกถอนเป็นคนละกรณีกัน ฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15,215,225.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3639/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานปล้นทรัพย์และการทำร้ายร่างกายต่อเนื่อง: ศาลตัดสินลงโทษฐานปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธ
จำเลยกับพวกปล้นทรัพย์ผู้เสียหายแล้วพาผู้เสียหายขึ้นรถไปหลังจากนั้นประมาณ 10-25 นาที จำเลยกับพวกจอดรถและทำร้ายผู้เสียหายกับเอาทรัพย์ในตัวผู้เสียหายไปอีก ถือว่าการทำร้ายอยู่ในช่วงแห่งการปล้นทรัพย์เพราะจำเลยกับพวกกำลังพารถยนต์และทรัพย์อื่นที่ปล้นได้ไป และเมื่อทำร้ายแล้วก็ยังเอาทรัพย์จากผู้เสียหายเพิ่มเติมอีก การทำร้ายจึงเป็นความผิดกรรมเดียวกับการปล้นทรัพย์
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธปืนและอาวุธอื่น ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยกับพวกใช้ปืนยิงด้วย จึงลงโทษจำเลยได้เพียงฐานปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธ แม้คู่ความไม่ได้ฎีกาในปัญหานี้ ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้เพราะเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย.
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธปืนและอาวุธอื่น ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยกับพวกใช้ปืนยิงด้วย จึงลงโทษจำเลยได้เพียงฐานปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธ แม้คู่ความไม่ได้ฎีกาในปัญหานี้ ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้เพราะเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3639/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปล้นทรัพย์ต่อเนื่องและการพิจารณาความผิดฐานพยายามฆ่าเมื่อการทำร้ายอยู่ในช่วงแห่งการปล้นทรัพย์
จำเลยกับพวกปล้นทรัพย์ผู้เสียหายแล้วพาผู้เสียหายขึ้นรถไปหลังจากนั้นประมาณ 10-25 นาที จำเลยกับพวกจอดรถและทำร้ายผู้เสียหายกับเอาทรัพย์ในตัวผู้เสียหายไปอีก ถือว่าการทำร้ายอยู่ในช่วงแห่งการปล้นทรัพย์เพราะจำเลยกับพวกกำลังพารถยนต์และทรัพย์อื่นที่ปล้นได้ไป และเมื่อทำร้ายแล้วก็ยังเอาทรัพย์จากผู้เสียหายเพิ่มเติมอีก การทำร้ายจึงเป็นความผิดกรรมเดียวกับการปล้นทรัพย์
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธปืนและอาวุธอื่น ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยกับพวกใช้ปืนยิงด้วย จึงลงโทษจำเลยได้เพียงฐานปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธ แม้คู่ความไม่ได้ฎีกาในปัญหานี้ ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้เพราะเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย.
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธปืนและอาวุธอื่น ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยกับพวกใช้ปืนยิงด้วย จึงลงโทษจำเลยได้เพียงฐานปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธ แม้คู่ความไม่ได้ฎีกาในปัญหานี้ ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้เพราะเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3600/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมการบริษัทผู้ลงนามแทนบริษัทในกรมธรรม์ประกันภัยไม่ต้องรับผิดร่วมกับบริษัท และการไม่อุทธรณ์ประเด็นในชั้นอุทธรณ์
กรรมการของบริษัทผู้ได้รับมอบอำนาจให้ลงลายมือชื่อในกรมธรรม์ประกันภัยแทนบริษัท ไม่ต้องรับผิดตามกรมธรรม์ร่วมกับบริษัท
โจทก์ฎีกาว่าตามพยานหลักฐานของโจทก์พึงเห็นได้ว่าความเสียหายที่โจทก์ได้รับเป็นความจริง จำเลยมิได้จัดการให้โจทก์ตามที่จำเลยต้องรับผิดตามสัญญา การละเลยของจำเลยทั้งสองเป็นผลให้โจทก์เสียหายยิ่งกว่าที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดในความเสียหายของโจทก์เต็มตามฟ้อง ไม่ใช่ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เป็นฎีกาที่ไม่ได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นว่าไว้โดยชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 เพราะมิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ชอบด้วยเหตุอย่างไร.
โจทก์ฎีกาว่าตามพยานหลักฐานของโจทก์พึงเห็นได้ว่าความเสียหายที่โจทก์ได้รับเป็นความจริง จำเลยมิได้จัดการให้โจทก์ตามที่จำเลยต้องรับผิดตามสัญญา การละเลยของจำเลยทั้งสองเป็นผลให้โจทก์เสียหายยิ่งกว่าที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดในความเสียหายของโจทก์เต็มตามฟ้อง ไม่ใช่ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เป็นฎีกาที่ไม่ได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นว่าไว้โดยชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 เพราะมิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ชอบด้วยเหตุอย่างไร.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3600/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมการบริษัทผู้ลงนามแทนบริษัทในกรมธรรม์ประกันภัยไม่ต้องรับผิดร่วมกับบริษัท หากบริษัทผิดสัญญา
กรรมการของบริษัทผู้ได้รับมอบอำนาจให้ลงลายมือชื่อในกรมธรรม์ประกันภัยแทนบริษัท ไม่ต้องรับผิดตามกรมธรรม์ร่วมกับบริษัท
โจทก์ฎีกาว่าตามพยานหลักฐานของโจทก์พึงเห็นได้ว่าความเสียหายที่โจทก์ได้รับเป็นความจริง จำเลยมิได้จัดการให้โจทก์ตามที่จำเลยต้องรับผิดตามสัญญา การละเลยของจำเลยทั้งสองเป็นผลให้โจทก์เสียหายยิ่งกว่าที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดในความเสียหายของโจทก์เต็มตามฟ้อง ไม่ใช่ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เป็นฎีกาที่ไม่ได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นว่าไว้โดยชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 เพราะมิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ชอบด้วยเหตุอย่างไร.
โจทก์ฎีกาว่าตามพยานหลักฐานของโจทก์พึงเห็นได้ว่าความเสียหายที่โจทก์ได้รับเป็นความจริง จำเลยมิได้จัดการให้โจทก์ตามที่จำเลยต้องรับผิดตามสัญญา การละเลยของจำเลยทั้งสองเป็นผลให้โจทก์เสียหายยิ่งกว่าที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดในความเสียหายของโจทก์เต็มตามฟ้อง ไม่ใช่ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เป็นฎีกาที่ไม่ได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นว่าไว้โดยชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 เพราะมิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ชอบด้วยเหตุอย่างไร.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3587/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษความผิดฐานทำไม้ในเขตป่าสงวน การปรับบทกฎหมาย และพฤติการณ์แห่งคดี
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดในข้อหา เข้าไปยึดถือครอบครองที่ดิน ก่นสร้าง แผ้วถาง ตัดฟันต้นไม้ ทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติอันเป็นการทำให้เสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติและก่อให้เกิดความเสียหายแก่ไม้สัก ซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำให้จำคุกไม่ถึง 5 ปี เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปได้
จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครอง ก่นสร้าง แผ้วถาง ตัดต้นไม้ทำลายป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติและทำไม้สัก 2 ท่อน ปริมาตร 0.063ลูกบาศก์เมตร และไม้อื่นอันเป็นไม้หวงห้าม ประเภท ก.โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในคราวเดียวกัน ย่อมเป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 11,73 วรรคสอง และ พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14,31 วรรคสอง เป็นการกระทำกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษบทหนักตาม พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 73 วรรคสอง
ปัญหาที่ศาลล่างปรับบทกฎหมายดังกล่าวผิด แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง.
จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครอง ก่นสร้าง แผ้วถาง ตัดต้นไม้ทำลายป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติและทำไม้สัก 2 ท่อน ปริมาตร 0.063ลูกบาศก์เมตร และไม้อื่นอันเป็นไม้หวงห้าม ประเภท ก.โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในคราวเดียวกัน ย่อมเป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 11,73 วรรคสอง และ พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14,31 วรรคสอง เป็นการกระทำกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษบทหนักตาม พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 73 วรรคสอง
ปัญหาที่ศาลล่างปรับบทกฎหมายดังกล่าวผิด แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3587/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษฐานทำไม้และยึดครองที่ดินในเขตป่าสงวนฯ ศาลฎีกาแก้ไขบทลงโทษให้ถูกต้องตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดในข้อหา เข้าไปยึดถือครอบครองที่ดิน ก่นสร้าง แผ้วถาง ตัดฟันต้นไม้ ทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติอันเป็นการทำให้เสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติและก่อให้เกิดความเสียหาย แก่ไม้สัก ซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำให้จำคุกไม่ถึง 5 ปี เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปได้
จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครอง ก่นสร้าง แผ้วถาง ตัดต้นไม้ทำลายป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติและทำไม้สัก 2 ท่อน ปริมาตร 0.063ลูกบาศก์เมตร และไม้อื่นอันเป็นไม้หวงห้าม ประเภท ก.โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในคราวเดียวกัน ย่อมเป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 11, 73 วรรคสอง และ พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14, 31 วรรคสอง เป็นการกระทำกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษบทหนักตาม พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 73 วรรคสอง
ปัญหาที่ศาลล่างปรับบทกฎหมายดังกล่าวผิด แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง.
จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครอง ก่นสร้าง แผ้วถาง ตัดต้นไม้ทำลายป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติและทำไม้สัก 2 ท่อน ปริมาตร 0.063ลูกบาศก์เมตร และไม้อื่นอันเป็นไม้หวงห้าม ประเภท ก.โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในคราวเดียวกัน ย่อมเป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 11, 73 วรรคสอง และ พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14, 31 วรรคสอง เป็นการกระทำกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษบทหนักตาม พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 73 วรรคสอง
ปัญหาที่ศาลล่างปรับบทกฎหมายดังกล่าวผิด แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง.