พบผลลัพธ์ทั้งหมด 489 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1460/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีเครื่องหมายการค้า: การเลือกภูมิลำเนาเฉพาะการของตัวแทน และข้อโต้แย้งสิทธิ
โจทก์ฟ้องว่าเครื่องหมายการค้าของโจทก์ไม่เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของจำเลย ขอให้ห้ามจำเลยขัดขวางการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามคำขอของโจทก์ ดังนั้นเอกสารที่จำเลยมอบอำนาจให้ตัวแทนในประเทศไทยมีสิทธิเด็ดขาดในการยื่นขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าจึงมิใช่เอกสารตามที่กฎหมายต้องการให้แนบมาท้ายฟ้อง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 18 วรรคสอง หากแต่เป็นเรื่องที่จะต้องใช้ในการนำสืบเมื่อจำเลยปฏิเสธ แต่ในคำให้การของจำเลยมิได้ปฏิเสธในเรื่องดังกล่าวจึงต้องฟังดัง ที่โจทก์ฟ้อง จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ต่างประเทศได้ตั้งให้ ป. ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทยเป็นตัวแทนมีอำนาจทำการแทนจำเลยในเหตุแห่งคดีนี้ โดยระบุสถานที่ส่งบัตรหมายถึงจำเลยในประเทศไทยไว้ในคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยว่าให้ส่งที่ตัวแทนตามพ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พุทธศักราช 2474 มาตรา 10 จึงถือได้ว่าจำเลยได้เลือกเอาภูมิลำเนาของ ป. ตัวแทนจำเลยเป็นภูมิลำเนาเฉพาะ การเพื่อกระทำการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา 49 ดังนั้นโจทก์สามารถส่งสำเนาคำฟ้องและหมายเรียกให้แก่ ป. ตัวแทนของจำเลย ณ ภูมิลำเนาของ ป.ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 4(2) หาใช่กรณีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 4(3)ไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย การที่ นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าไม่ดำเนินการจดทะเบียนให้โจทก์ก็เนื่องจากนายทะเบียนเห็นว่าเครื่องหมายการค้าของโจทก์เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ได้มีการยื่นคำขอจดทะเบียนไว้ กรณีจึงถือได้ว่ามีข้อโต้แย้งสิทธิของโจทก์แล้วว่าโจทก์หรือจำเลยมีสิทธิที่จะได้รับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามคำขอของตน โจทก์จึงมีอำนาจที่จะเสนอคดีของตน ต่อศาลได้ตามพ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พุทธศักราช 2474 มาตรา 17 วรรคแรกประกอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 55.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1460/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีเครื่องหมายการค้า: การเลือกภูมิลำเนาเฉพาะการของตัวแทน และข้อโต้แย้งสิทธิในการจดทะเบียน
โจทก์ฟ้องขอให้ห้ามจำเลยขัดขวางการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามคำขอของโจทก์ เอกสารที่จำเลยมอบอำนาจให้ตัวแทนในประเทศไทยดำเนินการในเรื่องคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยจึงมิใช่เอกสารตามที่กฎหมายต้องการดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 หากแต่เป็นเรื่องที่จะต้องใช้ในการนำสืบเมื่อจำเลยปฏิเสธ แต่เมื่อคำให้การของจำเลยมิได้ปฏิเสธคำฟ้องที่ว่าจำเลยตั้ง ป.เป็นตัวแทนผู้รับมอบอำนาจในเรื่องนี้ จึงต้องฟังดังที่โจทก์ฟ้อง
จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ต่างประเทศได้ตั้งให้ ป.ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทยเป็นตัวแทนมีอำนาจกระทำการแทนจำเลยโดยระบุสถานที่ส่งบัตรหมายถึงจำเลยในประเทศไทยไว้ในคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยว่าให้ส่งที่ตัวแทน ตามที่พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พุทธศักราช 2474 มาตรา 10 กำหนดไว้ ถือได้ว่าจำเลยได้เลือกเอาภูมิลำเนาของ ป.ตัวแทนของจำเลยเป็นภูมิลำเนาเฉพาะการเพื่อกระทำการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 49 ดังนั้น โจทก์ส่งสำเนาคำฟ้องและหมายเรียกให้แก่ ป.ตัวแทนของจำเลยชอบแล้วโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย
กรณีที่นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าไม่ดำเนินการจดทะเบียนให้โจทก์เนื่องจากพิจารณาเห็นว่า เครื่องหมายการค้าของโจทก์เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ได้มีการยื่นคำขอจดทะเบียนไว้เช่นเดียวกันถือได้ว่ามีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิของโจทก์แล้วว่า โจทก์หรือจำเลยมีสิทธิที่จะได้รับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามคำขอของตน โจทก์จึงมีอำนาจที่จะเสนอคดีของตนต่อศาลได้ ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474 มาตรา 17 วรรคแรก ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55.
จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ต่างประเทศได้ตั้งให้ ป.ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทยเป็นตัวแทนมีอำนาจกระทำการแทนจำเลยโดยระบุสถานที่ส่งบัตรหมายถึงจำเลยในประเทศไทยไว้ในคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยว่าให้ส่งที่ตัวแทน ตามที่พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พุทธศักราช 2474 มาตรา 10 กำหนดไว้ ถือได้ว่าจำเลยได้เลือกเอาภูมิลำเนาของ ป.ตัวแทนของจำเลยเป็นภูมิลำเนาเฉพาะการเพื่อกระทำการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 49 ดังนั้น โจทก์ส่งสำเนาคำฟ้องและหมายเรียกให้แก่ ป.ตัวแทนของจำเลยชอบแล้วโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย
กรณีที่นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าไม่ดำเนินการจดทะเบียนให้โจทก์เนื่องจากพิจารณาเห็นว่า เครื่องหมายการค้าของโจทก์เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ได้มีการยื่นคำขอจดทะเบียนไว้เช่นเดียวกันถือได้ว่ามีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิของโจทก์แล้วว่า โจทก์หรือจำเลยมีสิทธิที่จะได้รับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามคำขอของตน โจทก์จึงมีอำนาจที่จะเสนอคดีของตนต่อศาลได้ ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474 มาตรา 17 วรรคแรก ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1439/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อผูกพันตามคำแถลงต่อศาล: การสละสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายและค่าฤชาธรรมเนียม
จำเลยแพ้คดีในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จึงนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความที่ต้องใช้แทนโจทก์มาวางศาลแล้วฎีกา ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอถอนฎีกาโดยโจทก์ยื่นคำแถลงต่อศาลว่า โจทก์ยอมรับชำระเงินตามคำพิพากษาเพียง51,000 บาท นอกจากเงินดังกล่าวนี้แล้วโจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องและบังคับคดีเอาจากเงินจำนวนอื่น ๆ ตามคำพิพากษาอีก ศาลฎีกาจึงอนุญาตให้ถอนฎีกาได้ ดังนี้ โจทก์ย่อมจะต้องถูกผูกพันตามคำแถลงของตน จึงไม่มีสิทธิที่จะรับเงินค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความที่จำเลยวางศาลใช้แทนโจทก์ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์อีก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1439/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การผูกพันตามคำแถลงต่อศาล: โจทก์ยินยอมรับค่าเสียหายเพียงบางส่วน สละสิทธิในส่วนที่เหลือ
จำเลยแพ้คดีในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จึงนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความที่ต้องใช้แทนโจทก์มาวางศาลแล้วฎีกา ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอถอน ฎีกาโดยโจทก์ยื่นคำแถลงต่อศาลว่า โจทก์ยอมรับชำระเงินตามคำพิพากษาเพียง 51,000 บาท นอกจากเงินดังกล่าวนี้แล้วโจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องและบังคับคดีเอาจากเงินจำนวนอื่น ๆ ตามคำพิพากษาอีก ศาลฎีกาจึงอนุญาตให้ถอน ฎีกาได้ ดังนี้ โจทก์ย่อมจะต้องถูกผูกพันตามคำแถลงของตน จึงไม่มีสิทธิที่จะรับเงินค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความที่จำเลยวางศาลใช้แทนโจทก์ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์อีก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1403-1404/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิซื้อคืนนาที่เช่า เมื่อผู้ขายไม่แจ้งสิทธิก่อนตามพ.ร.บ.ควบคุมการเช่านา
คดีสำนวนแรกโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ขายนาพิพาทให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่านาพิพาทจากจำเลยที่ 2 ก่อนที่จำเลยที่ 2 ขายนาพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 เนื่องจากจำเลยที่ 2 ขายนาพิพาทโดยมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบก่อนอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 คดีสำนวนหลังโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายที่เข้าทำนาไม่ได้จากจำเลยที่ 2 จำเลยทั้งสองสำนวนให้การต่อสู้ว่าโจทก์มิใช่ผู้เช่านาจากจำเลยที่ 2 มาก่อน ศาลชั้นต้นรวมการพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันโดยพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ขายนาพิพาทแก่โจทก์และให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามฟ้องจำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกาต่อมา ดังนี้คดีสำนวนหลังเป็นการฟ้องในมูลละเมิดทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกิน 20,000 บาท จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ประเด็นที่ว่า โจทก์มิใช่ผู้เช่านาพิพาท จึงไม่มีสิทธิซื้อนาคืนและไม่ได้รับความเสียหายเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ก็ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา จำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิฎีกาต่อมา ข้อเท็จจริงคงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คงรับวินิจฉัยเฉพาะฎีกาของจำเลยที่ 1 เกี่ยวกับสำนวนแรกที่ว่าโจทก์เป็นผู้เช่านาจากจำเลยที่ 2 หรือไม่
จำเลยที่ 2 ขายนาพิพาทให้จำเลยที่ 1 โดยไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบเพื่อใช้สิทธิซื้อก่อนตามที่พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มาตรา 41 วรรคแรก บังคับไว้ โจทก์จึงมีสิทธิซื้อนาพิพาทคืนจากจำเลยที่ 1 ในราคาและวิธีการชำระเงินที่จำเลยที่ 2 ได้ขายให้แก่จำเลยที่ 1 ตามที่มาตรา 41 วรรคสี่ บัญญัติไว้.
จำเลยที่ 2 ขายนาพิพาทให้จำเลยที่ 1 โดยไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบเพื่อใช้สิทธิซื้อก่อนตามที่พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มาตรา 41 วรรคแรก บังคับไว้ โจทก์จึงมีสิทธิซื้อนาพิพาทคืนจากจำเลยที่ 1 ในราคาและวิธีการชำระเงินที่จำเลยที่ 2 ได้ขายให้แก่จำเลยที่ 1 ตามที่มาตรา 41 วรรคสี่ บัญญัติไว้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1403-1404/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิซื้อคืนนาที่เช่าเมื่อมีการขายฝ่าฝืนพ.ร.บ.ควบคุมการเช่านา และขอบเขตการอุทธรณ์คดีมูลค่าทรัพย์สินต่ำกว่า 20,000 บาท
คดีสำนวนแรกโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ขายนาพิพาทให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่านาพิพาทจากจำเลยที่ 2 ก่อนที่จำเลยที่ 2 ขายนาพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 เนื่องจากจำเลยที่ 2 ขายนาพิพาทโดยมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบก่อนอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 คดีสำนวนหลังโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายที่เข้าทำนาไม่ได้จากจำเลยที่ 2 จำเลยทั้งสองสำนวนให้การต่อสู้ว่าโจทก์มิใช่ผู้เช่านาจากจำเลยที่ 2 มาก่อน ศาลชั้นต้นรวมการพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันโดยพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ขายนาพิพาทแก่โจทก์และให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามฟ้องจำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกาต่อมา ดังนี้คดีสำนวนหลังเป็นการฟ้องในมูลละเมิดทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกิน 20,000 บาท จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 จำเลยที่2 อุทธรณ์ประเด็นที่ว่า โจทก์มิใช่ผู้เช่านาพิพาท จึงไม่มีสิทธิซื้อนาคืนและไม่ได้รับความเสียหายเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ก็ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา จำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิฎีกาต่อมา ข้อเท็จจริงคงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คงรับวินิจฉัยเฉพาะฎีกาของจำเลยที่ 1 เกี่ยวกับสำนวนแรกที่ว่าโจทก์เป็นผู้เช่านาจากจำเลยที่ 2 หรือไม่
จำเลยที่ 2 ขายนาพิพาทให้จำเลยที่ 1 โดยไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบเพื่อใช้สิทธิซื้อก่อนตามที่พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มาตรา 41 วรรคแรก บังคับไว้ โจทก์จึงมีสิทธิซื้อนาพิพาทคืนจากจำเลยที่ 1 ในราคาและวิธีการชำระเงินที่จำเลยที่ 2 ได้ขายให้แก่จำเลยที่ 1 ตามที่มาตรา 41วรรคสี่ บัญญัติไว้.
จำเลยที่ 2 ขายนาพิพาทให้จำเลยที่ 1 โดยไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบเพื่อใช้สิทธิซื้อก่อนตามที่พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มาตรา 41 วรรคแรก บังคับไว้ โจทก์จึงมีสิทธิซื้อนาพิพาทคืนจากจำเลยที่ 1 ในราคาและวิธีการชำระเงินที่จำเลยที่ 2 ได้ขายให้แก่จำเลยที่ 1 ตามที่มาตรา 41วรรคสี่ บัญญัติไว้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1360/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยิงป้องกันตัวที่ไม่สมเหตุสมผลและการพิจารณาพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์เหตุแห่งการกระทำ
ในฎีกาของจำเลยยอมรับเป็นปริยายว่า นาง ว.และนางร. อยู่ที่บ้านของ ท.โดยอ้างคำเบิกความของนางว.ในข้อที่ว่าถูกท.เอาปืนจี้ห้ามมิให้ขานรับคำร้องเรียกของ ส. ด้วยเกรงว่าหญิงทั้งสองจะเป็นหน้าม้าให้คนร้ายมาปล้นทรัพย์ อันเป็นการอ้างเอาคำเบิกความของนาง ว. เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายตนว่ามีความระแวงว่าจะมีคนร้ายมาปล้นแต่แรก ดังนี้คำเบิกความของนาง ว.และนางร. พยานโจทก์รับฟังได้
การที่ จ. ผู้ตายถูกกระสุนปืนที่ขมับขวาจนมันสมองไหล และ อ.ผู้ตายถูกกระสุนปืนกลางศีรษะกระสุนทะลุกระโหลกศีรษะเป็นแผลฉกรรจ์มาก ผู้ตายทั้งสองน่าจะสิ้นสติฟุบอยู่กับที่คือในเรือตรงที่พบศพผู้ตาย ไม่มีเหตุผลให้เชื่อได้ว่าผู้ตายทั้งสองขึ้นมาบนฝั่ง เมื่อถูกยิงแล้วจึงกระโดดกลับลงไปในเรือ กรณีน่าจะเป็นว่าผู้ตายทั้งสองถูกยิงขณะเรือลอยลำอยู่ภยันตรายที่ใกล้จะถึงจำเลยซึ่งอยู่ที่บ้านบนฝั่งและเกรงว่าฝ่ายผู้ตายจะมาปล้นทรัพย์จึงหามีไม่ การยิงของจำเลยจึงไม่ใช่การป้องกันตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 แม้ท้องที่ที่เกิดเหตุจะมีการปล้นทรัพย์ชิงทรัพย์กันบ่อยก็ตามอย่างไรก็ดีพฤติการณ์แห่งคดีดังกล่าวศาลย่อมลงโทษจำเลยขั้นต่ำสุดตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ได้
เมื่อปรากฏว่าการกระทำของจำเลยไม่ต้องด้วย ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 68 กรณีจึงไม่ต้องวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำไปด้วยความตื่นเต้น ตกใจหรือกลัวตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา69 หรือไม่.(ที่มา-ส่งเสริม)
การที่ จ. ผู้ตายถูกกระสุนปืนที่ขมับขวาจนมันสมองไหล และ อ.ผู้ตายถูกกระสุนปืนกลางศีรษะกระสุนทะลุกระโหลกศีรษะเป็นแผลฉกรรจ์มาก ผู้ตายทั้งสองน่าจะสิ้นสติฟุบอยู่กับที่คือในเรือตรงที่พบศพผู้ตาย ไม่มีเหตุผลให้เชื่อได้ว่าผู้ตายทั้งสองขึ้นมาบนฝั่ง เมื่อถูกยิงแล้วจึงกระโดดกลับลงไปในเรือ กรณีน่าจะเป็นว่าผู้ตายทั้งสองถูกยิงขณะเรือลอยลำอยู่ภยันตรายที่ใกล้จะถึงจำเลยซึ่งอยู่ที่บ้านบนฝั่งและเกรงว่าฝ่ายผู้ตายจะมาปล้นทรัพย์จึงหามีไม่ การยิงของจำเลยจึงไม่ใช่การป้องกันตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 แม้ท้องที่ที่เกิดเหตุจะมีการปล้นทรัพย์ชิงทรัพย์กันบ่อยก็ตามอย่างไรก็ดีพฤติการณ์แห่งคดีดังกล่าวศาลย่อมลงโทษจำเลยขั้นต่ำสุดตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ได้
เมื่อปรากฏว่าการกระทำของจำเลยไม่ต้องด้วย ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 68 กรณีจึงไม่ต้องวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำไปด้วยความตื่นเต้น ตกใจหรือกลัวตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา69 หรือไม่.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1287/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเผชิญสืบทรัพย์ตามคำท้าของคู่ความ ศาลชี้ขาดตามสภาพทรัพย์จริง คำวินิจฉัยตรงกับคำท้า
โจทก์จำเลยท้ากันขอให้ศาลออกไปเผชิญสืบทรัพย์อันดับที่ 5ว่าอยู่ในสภาพที่โจทก์จะรับคืนไปได้หรือไม่ ได้ผลประการใดให้ศาลชี้ขาดไปได้เลย เมื่อศาลเผชิญสืบแล้วมีคำสั่งว่าทรัพย์อันดับที่ 5 อยู่ในสภาพรับคืนไปได้ คำชี้ขาดของศาลดังกล่าวตรงกับที่คู่ความท้ากันแล้ว.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1283/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์รถยนต์หลังเช่าซื้อครบถ้วน แม้ยังไม่โอนทะเบียน ก็ถือว่าเปลี่ยนมือแล้ว
เมื่อผู้ร้องชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนตามสัญญาเช่าซื้อจนผู้ให้เช่าซื้อยกกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ของกลางให้ผู้ร้องแล้ว แม้จะยังไม่ได้โอนทะเบียน กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ก็เป็นของผู้ร้องโดยการแสดงเจตนาของผู้ให้เช่าซื้อ เพราะทะเบียนรถยนต์ไม่ใช่เอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ของรถยนต์แต่เป็นเพียงหลักฐานที่กำหนดขึ้นเพื่อความสะดวกแก่การควบคุมรถยนต์เท่านั้น.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1276/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยซื้อทรัพย์โดยไม่รู้ว่าเป็นของโจร ขาดองค์ประกอบความผิดฐานรับของโจร
การซื้อขายวิทยุเทปติดรถยนต์ของกลางได้กระทำกันโดยเปิดเผยและจำเลยรับซื้อไว้โดยไม่รู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ ย่อมขาดองค์ประกอบที่จะเป็นความผิดฐานรับของโจรจำเลยไม่มีความผิด.