คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ถวิล ทองสว่างรัตน์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 489 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 400/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์: การประกันภัย, นายจ้าง, และผู้ขับขี่
สัญญาประกันภัยค้ำจุนระหว่างจำเลยที่ 3 เจ้าของรถยนต์ผู้เอาประกันภัยกับจำเลยที่ 4 บริษัทผู้รับประกันภัยมีข้อตกลงว่า"บริษัทจะถือบุคคลใดซึ่งขับขี่รถยนต์โดยได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยเสมือนหนึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยเอง..." เมื่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ซื้อรถยนต์คันดังกล่าวได้นำรถยนต์ไปใช้โดยให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของตนขับแล้วเกิดเหตุละเมิดขึ้น จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ขับรถโดยได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ 3และมีฐานะเสมือนเป็นผู้เอาประกันภัยเองตามสัญญาดังกล่าว จำเลยที่ 2ในฐานะนายจ้างจำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดตาม ป.พ.พ. ตามมาตรา 425และจำเลยที่ 4 ต้องรับผิดชอบตามสัญญาประกันภัยค้ำจุนดังกล่าวด้วยส่วนจำเลยที่ 3 ไม่ได้ความว่าเป็นผู้ครอบครองรถขณะเกิดเหตุจึงไม่ต้องรับผิดชอบ ประเด็นว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการเชิด จำเลยที่ 3 ให้เป็นตัวแทนทำสัญญาประกันภัยหรือไม่ โจทก์มิได้ยกขึ้นอ้างไว้ในคำฟ้องชั้นชี้สองสถานศาลชั้นต้นก็มิได้กำหนดไว้เป็นประเด็นข้อพิพาทจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ทั้งมิใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 369/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การมอบอำนาจฟ้องคดีที่ไม่เกี่ยวกับสินสมรส ไม่ต้องได้รับความยินยอมจากสามีของผู้รับมอบอำนาจ
แม้ผู้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีเป็นหญิงมีสามี แต่การฟ้องคดีมิได้เกี่ยวกับสินสมรสและไม่ได้ก่อให้เกิดภาระติดพันสินสมรสระหว่างผู้รับมอบอำนาจกับสามีจึงไม่เป็นการจัดการสินสมรสผู้รับมอบอำนาจไม่ต้องได้รับความยินยอมจากสามี.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 369/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การมอบอำนาจฟ้องคดีโดยหญิงมีสามี ไม่ถือเป็นการจัดการสินสมรส ไม่ต้องได้รับความยินยอมจากสามี
การที่หญิงมีสามีรับมอบอำนาจมาฟ้องคดีแทนโจทก์นั้น มิได้เป็นการฟ้องคดีเกี่ยวกับสินสมรสและไม่ก่อให้เกิดภารติดพันซึ่งสินสมรสระหว่างผู้รับมอบอำนาจกับสามีแล้วแต่อย่างใด ย่อมไม่เป็นการจัดการสินสมรส ผู้รับมอบอำนาจจึงไม่ต้องได้รับความยินยอมจากสามี.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 369/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การมอบอำนาจฟ้องคดีที่ไม่เกี่ยวข้องกับสินสมรส ไม่ต้องได้รับความยินยอมจากสามี
แม้ผู้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีเป็นหญิงมีสามี แต่การฟ้องคดีมิได้เกี่ยวกับสินสมรสและไม่ได้ก่อให้เกิดภาระติดพันสินสมรสระหว่างผู้รับมอบอำนาจกับสามีจึงไม่เป็นการจัดการสินสมรส ผู้รับมอบอำนาจไม่ต้องได้รับความยินยอมจากสามี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 353/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำบอกกล่าวของผู้ตายก่อนสิ้นใจต้องมีสภาพจิตใจที่หมดหวังแล้วจึงจะรับฟังได้ พยานหลักฐานโจทก์ไม่เพียงพอต่อการลงโทษ
ถ้อยคำของผู้ตายที่ให้ไว้ต่อแพทย์และเจ้าหน้าที่พยาบาลที่ทำการรักษาผู้ตาย โดยระบุชื่อ จำเลยว่าเป็นคนยิงผู้ตายนั้น เมื่อไม่ได้ความว่าผู้ตายระบุชื่อ จำเลยในขณะที่ผู้ตายรู้ตัวว่าหมดหวังจะมีชีวิตรอดอยู่หรือไม่เช่นนี้จะรับฟังพยานนั้นมิได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 353/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำบอกกล่าวของผู้ตายต้องระบุชื่อผู้กระทำผิดขณะหมดหวังถึงชีวิต จึงจะรับฟังได้
เกณฑ์สำคัญประการหนึ่งที่ให้รับฟังคำบอกกล่าวของผู้ตาย คือผู้ตายต้องระบุชื่อผู้ทำร้ายในขณะที่ผู้ตายรู้ตัวว่าหมดหวังที่จะมีชีวิตรอดอยู่ ทั้งนี้เพราะคนที่รู้สึกตัวว่าหมดหวังจะมีชีวิตรอดอยู่ได้แล้วกล่าวถ้อยคำใดนั้นถือว่ากล่าวโดยสาบานตัวแล้วและไม่ต้องการกล่าวเท็จก่อเวรกรรมอีกต่อไป ส่วนจะถึงแก่ความตายเมื่อใดหาเป็นข้อสำคัญไม่
คำบอกกล่าวของผู้ตายที่ระบุชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ทำร้ายผู้ตาย แต่ไม่ได้ความว่าผู้ตายกล่าวในขณะที่รู้ตัวว่าหมดหวังจะมีชีวิตรอดอยู่ได้หรือไม่จึงขาดเกณฑ์สำคัญที่ให้รับฟังคำบอกกล่าวของผู้ตายตามกระบวนความ แม้ผู้ตายจะสิ้นใจในอีก 10 นาทีต่อมา คำบอกกล่าวของผู้ตายเช่นนี้ย่อมไม่น่าเชื่อถือ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 353/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำบอกกล่าวของผู้ตายต้องระบุชื่อผู้กระทำผิดขณะหมดหวัง จึงจะรับฟังได้
เกณฑ์สำคัญประการหนึ่งที่ให้รับฟังคำบอกกล่าวของผู้ตาย คือผู้ตายต้องระบุชื่อผู้ทำร้ายในขณะที่ผู้ตายรู้ตัวว่าหมดหวังที่จะมีชีวิตรอดอยู่ ทั้งนี้เพราะคนที่รู้สึกตัวว่าหมดหวังจะมีชีวิตรอดอยู่ได้แล้วกล่าวถ้อยคำใดนั้นถือว่ากล่าวโดยสาบานตัวแล้วและไม่ต้องการกล่าวเท็จก่อเวรกรรมอีกต่อไป ส่วนจะถึงแก่ความตายเมื่อใดหาเป็นข้อสำคัญไม่
คำบอกกล่าวของผู้ตายที่ระบุชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ทำร้ายผู้ตาย แต่ไม่ได้ความว่าผู้ตายกล่าวในขณะที่รู้ตัวว่าหมดหวังจะมีชีวิตรอดอยู่ได้หรือไม่จึงขาดเกณฑ์สำคัญที่ให้รับฟังคำบอกกล่าวของผู้ตายตามกระบวนความ แม้ผู้ตายจะสิ้นใจในอีก 10 นาทีต่อมา คำบอกกล่าวของผู้ตายเช่นนี้ย่อมไม่น่าเชื่อถือ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 308/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขาดพยานหลักฐานรับฟังความผิดฐานลักทรัพย์ ย่อมมีผลถึงจำเลยอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองในข้อหาลักทรัพย์หรือรับของโจร. ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทุกข้อหา โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ลงโทษจำเลยทั้งสองในข้อหาลักทรัพย์จำเลยที่ 2 ผู้เดียวฎีกา ดังนี้ ข้อหาความผิดฐานรับของโจรจึงยุติไปแล้วตั้งแต่ศาลอุทธรณ์ เมื่อศาลฎีกาฟังว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิดฐานลักทรัพย์ก็มีอำนาจพิพากษายกฟ้องตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ที่มิได้ฎีกาได้ เพราะเป็นเหตุในลักษณะคดี.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 308/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขาดพยานหลักฐานรับฟังความผิดฐานลักทรัพย์ แม้มีการนำของกลางไปฝากไว้ ย่อมมีผลถึงจำเลยอื่นที่ไม่ฎีกา
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองในข้อหาลักทรัพย์หรือรับของโจร ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทุกข้อหา โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ลงโทษจำเลยทั้งสองในข้อหาลักทรัพย์จำเลยที่ 2 ผู้เดียวฎีกา ดังนี้ ข้อหาความผิดฐานรับของโจรจึงยุติไปแล้วตั้งแต่ศาลอุทธรณ์ เมื่อศาลฎีกาฟังว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิดฐานลักทรัพย์ก็มีอำนาจพิพากษายกฟ้องตลอดไปถึงจำเลยที่ 1ที่มิได้ฎีกาได้ เพราะเป็นเหตุในลักษณะคดี.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 220/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทนายจำเลยลงลายมือชื่อรับทราบคำบังคับ ถือว่าจำเลยทราบแล้ว
คำว่าลูกหนี้ตามนัยบทมาตรา 272 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง หมายความรวมถึงทนายความของลูกหนี้ด้วย การที่ทนายจำเลยซึ่งได้ดำเนินกระบวนพิจารณาแทนจำเลย ลงลายมือชื่อรับทราบคำบังคับในศาลในวันทำสัญญาประนีประนอมยอมความถือได้ว่าทนายความซึ่งเป็นตัวแทนได้กระทำไปในขอบอำนาจในฐานะทนายความแทนจำเลยซึ่งเป็นตัวการ ย่อมมีผลผูกพันจำเลยและถือได้ว่าจำเลยทราบคำบังคับของศาลแล้ว
of 49