คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
คำนึง อุไรรัตน์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 368 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1867/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายรถเกรดเดอร์: ความรับผิดชอบค่าใช้จ่ายขนส่งและโกดังหลังซื้อคืน
เดิมจำเลยสั่งซื้อรถเกรดเดอร์ 11 คันจากโจทก์และจะต้องขนส่งทางเรือมาจากประเทศอังกฤษ แต่ต่อมาโจทก์จำเลยตกลงกันว่าให้โจทก์ซื้อรถทั้งหมดกลับคืนจากจำเลยโดยจำเลยขอรับผิดชอบสำหรับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการส่งคืนรถทั้ง 11 คันแก่โจทก์ และโจทก์ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายและภาษีใด ๆ จนสินค้าลงเรือในกรุงเทพ ฯ ดังนี้ เมื่อค่าระวางขนส่งทางเรือจากประเทศอังกฤษมายังประเทศไทยไม่ได้รวมอยู่ในราคารถที่ขายคืนจึงเป็นค่าใช้จ่ายอย่างหนึ่งซึ่งจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญา
ค่าขนส่งทางรถไฟจากกรุงเทพ ฯ ไปกัวลาลัมเปอร์ประเทศมาเลเซียเป็นค่าระวางขนส่งต่อไปยังผู้ซื้อในต่างประเทศ ตามข้อตกลงดังกล่าวโจทก์ผู้ซื้อรถคืนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ จนกระทั่งรถได้บรรทุกลงเรือ ดังนั้น เมื่อโจทก์เปลี่ยนมาเป็นการขนส่งทางบกโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยตกลงด้วย โจทก์จะเรียกค่าขนส่งดังกล่าวจากจำเลยโดยอาศัยข้อสัญญาดังกล่าวหาได้ไม่
สำหรับค่าเช่าโกดังสินค้าหลังจากมีข้อตกลงดังกล่าวแล้วนั้นการที่โจทก์จะนำรถบรรทุกลงเรือก็จำเป็นจะต้องออกของจากโกดังสินค้าซึ่งจะต้องเสียค่าเช่าโกดัง และตามสัญญาก็ได้ระบุให้ค่าเช่าโกดังเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเลยจะต้องรับผิดด้วยเช่นนี้ แม้การออกของจากโกดังสินค้าจะเนิ่นช้าไปบ้างแต่ก็ไม่ปรากฏว่าความล่าช้าเกิดจากเจตนาอันไม่สุจริตของโจทก์ จำเลยจึงต้องรับผิดในค่าเช่าโกดังสินค้าหลังจากวันทำสัญญาจนถึงวันออกของด้วย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1867/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทสัญญาซื้อขายรถเกรดเดอร์ การรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการขนส่ง และค่าเช่าโกดังตามสัญญา
เดิมจำเลยสั่งซื้อรถเกรดเดอร์ 11 คันจากโจทก์และจะต้องขนส่งทางเรือมาจากประเทศอังกฤษ แต่ต่อมาโจทก์จำเลยตกลงกันว่าให้โจทก์ซื้อรถทั้งหมดกลับคืนจากจำเลยโดยจำเลยขอรับผิดชอบสำหรับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการส่งคืนรถทั้ง 11 คันแก่โจทก์ และโจทก์ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายและภาษีใด ๆ จนสินค้าลงเรือในกรุงเทพ ฯ ดังนี้ เมื่อค่าระวางขนส่งทางเรือจากประเทศอังกฤษมายังประเทศไทยไม่ได้รวมอยู่ในราคารถที่ขายคืนจึงเป็นค่าใช้จ่ายอย่างหนึ่งซึ่งจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญา
ค่าขนส่งทางรถไฟจากกรุงเทพ ฯ ไปกัวลาลัมเปอร์ประเทศมาเลเซียเป็นค่าระวางขนส่งต่อไปยังผู้ซื้อในต่างประเทศ ตามข้อตกลงดังกล่าวโจทก์ผู้ซื้อรถคืนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ จนกระทั่งรถได้บรรทุกลงเรือ ดังนั้น เมื่อโจทก์เปลี่ยนมาเป็นการขนส่งทางบกโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยตกลงด้วย โจทก์จะเรียกค่าขนส่งดังกล่าวจากจำเลยโดยอาศัยข้อสัญญาดังกล่าวหาได้ไม่
สำหรับค่าเช่าโกดังสินค้าหลังจากมีข้อตกลงดังกล่าวแล้วนั้นการที่โจทก์จะนำรถบรรทุกลงเรือก็จำเป็นจะต้องออกของจากโกดังสินค้าซึ่งจะต้องเสียค่าเช่าโกดัง และตามสัญญาก็ได้ระบุให้ค่าเช่าโกดังเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเลยจะต้องรับผิดด้วยเช่นนี้ แม้การออกของจากโกดังสินค้าจะเนิ่นช้าไปบ้าง แต่ก็ไม่ปรากฏว่าความล่าช้าเกิดจากเจตนาอันไม่สุจริตของโจทก์ จำเลยจึงต้องรับผิดในค่าเช่าโกดังสินค้าหลังจากวันทำสัญญาจนถึงวันออกของด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1865/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องเรียกเงินทดรองจ่าย: ตัวการตัวแทนใช้ อายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 164
ความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์ลูกค้าผู้สั่งซื้อหุ้น กับจำเลยซึ่งเป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์ เป็นลักษณะของตัวการตัวแทน การที่จำเลยเรียกร้องเอาเงินที่ได้ทดรองจ่ายไปแทนโจทก์ในกิจการที่โจทก์มอบหมายให้ปฏิบัตินั้น เป็นเรื่องตัวแทนเรียกเอาเงินชดใช้จากตัวการ ซึ่งในกรณีนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้เป็นพิเศษจึงต้องใช้อายุความ 10 ปี อันเป็นลักษณะทั่วไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 164หาใช่อายุความ 2 ปี ตาม มาตรา 165(1) หรือ (7) ไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1845/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องเมื่อวัตถุประสงค์บริษัทเปลี่ยนแปลง: จำเลยยกข้อต่อสู้มิได้
แม้ขณะที่บริษัทโจทก์ผู้ให้เช่าซื้อทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์กับจำเลยวัตถุที่ประสงค์ของบริษัทโจทก์ยังมิได้ระบุให้ประกอบกิจการเป็นผู้ให้เช่าซื้อสังหาริมทรัพย์ได้แต่เมื่อจำเลยให้การและนำสืบรับว่าบริษัทโจทก์กับจำเลยทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์กันจริงจำเลยจะโต้แย้งว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะการให้เช่าซื้อรถยนต์อยู่นอกขอบวัตถุที่ประสงค์ของบริษัทโจทก์ไม่ได้
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นว่า การทำสัญญาเช่าซื้ออยู่ในขอบวัตถุที่ประสงค์ของโจทก์ และมีผลผูกพันโจทก์หรือไม่ แล้ววินิจฉัยว่า สัญญาเช่าซื้อรถยนต์อยู่นอกขอบวัตถุประสงค์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ว่าการทำสัญญาให้เช่าซื้ออยู่ในวัตถุประสงค์ของโจทก์ ดังนี้ ศาลอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัยว่าจำเลยไม่อาจยกข้อที่ว่าโจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์ให้เช่าซื้อขึ้นต่อสู้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องอุทธรณ์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1845/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แม้โจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์ให้เช่าซื้อขณะทำสัญญา แต่จำเลยห้ามยกข้อต่อสู้เมื่อยอมรับว่ามีสัญญาเช่าซื้อจริง
แม้ขณะที่บริษัทโจทก์ผู้ให้เช่าซื้อทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์กับจำเลยวัตถุที่ประสงค์ของบริษัทโจทก์ยังมิได้ระบุให้ประกอบกิจการเป็นผู้ให้เช่าซื้อสังหาริมทรัพย์ได้แต่เมื่อจำเลยให้การและนำสืบรับว่าบริษัทโจทก์กับจำเลยทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์กันจริงจำเลยจะโต้แย้งว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะการให้เช่าซื้อรถยนต์อยู่นอกขอบวัตถุที่ประสงค์ของบริษัทโจทก์ไม่ได้
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นว่า การทำสัญญาเช่าซื้ออยู่ในขอบวัตถุที่ประสงค์ของโจทก์ และมีผลผูกพันโจทก์หรือไม่ แล้ววินิจฉัยว่า สัญญาเช่าซื้อรถยนต์อยู่นอกขอบวัตถุประสงค์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ว่าการทำสัญญาให้เช่าซื้ออยู่ในวัตถุประสงค์ของโจทก์ ดังนี้ ศาลอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัยว่าจำเลยไม่อาจยกข้อที่ว่าโจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์ให้เช่าซื้อขึ้นต่อสู้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าโจทก์มีอำนาจฟ้อง ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องอุทธรณ์..

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1845/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องสัญญาเช่าซื้อ แม้ไม่ได้จดทะเบียนวัตถุประสงค์ แต่จำเลยยอมรับสัญญาย่อมไม่อ้างเหตุไม่มีอำนาจฟ้องได้
แม้ในขณะที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ โดยโจทก์เป็นผู้ให้เช่าซื้อนั้น วัตถุที่ประสงค์ของโจทก์ผู้เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดตามที่จดทะเบียนไว้ในขณะนั้นยังมิได้ระบุให้โจทก์ประกอบกิจการเป็นผู้ให้เช่าซื้อสังหาริมทรัพย์ได้ แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ให้การและนำสืบยอมรับว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์กันจริงจำเลยที่ 1 จะโต้แย้งว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะการให้เช่าซื้อรถยนต์อยู่นอกขอบวัตถุที่ประสงค์ของโจทก์ที่จดทะเบียนไว้หาได้ไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1834/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานแน่นชัดยืนยันตัวผู้กระทำผิด ศาลเชื่อถือได้แม้ไม่มีพยานสนับสนุน
แม้โจทก์จะมีประจักษ์พยานเพียงปากเดียวที่เบิกความยืนยันว่าจำเลยเป็นคนยิงผู้ตาย แต่พยานก็ได้เห็นเหตุการณ์ในเวลากลางวันไม่มีเหตุสงสัยว่าจะจำคนร้ายผิดตัว หลังเกิดเหตุประจักษ์พยานดังกล่าวก็ได้แจ้งต่อภริยาผู้ตายทันทีว่าจำเลยเป็นคนร้าย นอกจากนี้โจทก์ยังมีพยานอีกปากหนึ่งเห็นจำเลยถือปืนพกวิ่งไปขึ้นรถจักรยานยนต์ซึ่งมีพวกจำเลยเป็นผู้ขับแล้วพากันหลบหนีไป พยานหลักฐานโจทก์จึงรับฟังลงโทษจำเลยได้.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1805/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยไม่ต้องรับผิดละเมิดจากการคืนโฉนดที่ดินตามสัญญาจำนอง แม้โจทก์จะร้องขอให้รอไว้ก่อน
ร.เป็นหนี้เงินกู้เบิกเกินบัญชีธนาคารจำเลยที่1ร.ตกลงกับโจทก์ว่าหากโจทก์ชำระหนี้ของ ร.ให้แก่จำเลยที่ 1 ครบถ้วนร.จะโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 30052 พร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งจำนองไว้กับจำเลยที่ 1 ให้โจทก์ทันทีต่อมาโจทก์ชำระหนี้แทน ร.ครบถ้วนแล้ว โจทก์มีหนังสือถึงจำเลยที่ 1ว่า ขออย่าได้มอบโฉนดที่ดินให้ ร.ไปจนกว่าจะได้รับความยินยอมจากโจทก์ ดังนี้เป็นหน้าที่ของ ร. ที่จะต้องปฏิบัติตามข้อตกลงนั้น แม้ข้อตกลงนี้จะทำขึ้นที่ธนาคารจำเลยที่ 1โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการสาขาและเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ลงชื่อเป็นพยาน แต่ข้อตกลงระหว่างโจทก์กับ ร. หาผูกพันจำเลยทั้งสามให้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามไม่ ส่วนที่โจทก์ชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 1 ก็เป็นการชำระในนาม ร. ซึ่งก็เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างโจทก์กับ ร. การที่จำเลยที่ 2ที่ 3 ในฐานะลูกจ้างของจำเลยที่ 1 มอบโฉนดที่ดินคืนให้แก่ร. เพื่อไปไถ่ถอนจำนอง จึงเป็นการปฏิบัติให้เป็นไปตามสัญญาจำนองโดยชอบแม้การคืนโฉนดที่ดินจะมิได้รับความยินยอมจากโจทก์ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการจงใจทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายและให้โจทก์เสียหาย จำเลยทั้งสามจึงไม่ต้องรับผิดฐานกระทำละเมิดต่อโจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1805/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยไม่ผูกพันตามข้อตกลงระหว่างโจทก์กับลูกหนี้ การคืนโฉนดตามสัญญาจำนองชอบด้วยกฎหมาย
ร. เป็นหนี้เงินกู้เบิกเกินบัญชีธนาคารจำเลยที่ 1 ร.ตกลงกับโจทก์ว่าหากโจทก์ชำระหนี้ของ ร.ให้แก่จำเลยที่ 1 ครบถ้วน ร.จะโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 30052 พร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งจำนองไว้กับจำเลยที่ 1 ให้โจทก์ทันทีต่อมาโจทก์ชำระหนี้แทน ร.ครบถ้วนแล้ว โจทก์มีหนังสือถึงจำเลยที่ 1ว่า ขออย่าได้มอบโฉนดที่ดินให้ ร.ไปจนกว่าจะได้รับความยินยอมจากโจทก์ ดังนี้เป็นหน้าที่ของ ร. ที่จะต้องปฏิบัติตามข้อตกลงนั้น แม้ข้อตกลงนี้จะทำขึ้นที่ธนาคารจำเลยที่ 1 โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการสาขาและเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ลงชื่อเป็นพยาน แต่ข้อตกลงระหว่างโจทก์กับ ร. หาผูกพันจำเลยทั้งสามให้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามไม่ ส่วนที่โจทก์ชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 1 ก็เป็นการชำระในนาม ร. ซึ่งก็เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างโจทก์กับ ร. การที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ในฐานะลูกจ้างของจำเลยที่ 1 มอบโฉนดที่ดินคืนให้แก่ ร. เพื่อไปไถ่ถอนจำนอง จึงเป็นการปฏิบัติให้เป็นไปตามสัญญาจำนองโดยชอบแม้การคืนโฉนดที่ดินจะมิได้รับความยินยอมจากโจทก์ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการจงใจทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายและให้โจทก์เสียหาย จำเลยทั้งสามจึงไม่ต้องรับผิดฐานกระทำละเมิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1774/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การต่อสู้ว่าการโอนทรัพย์ก่อนเสียชีวิตทำให้พินัยกรรมเป็นโมฆะ ไม่ถือว่าเป็นการให้การขัดแย้งกัน
โจทก์ฟ้องแบ่งทรัพย์มรดกจากจำเลยในฐานะทายาทโดยธรรมและทายาทโดยพินัยกรรม การที่จำเลยให้การว่าที่พิพาทเจ้ามรดกยกให้แก่จำเลยก่อนที่เจ้ามรดกถึงแก่กรรม แม้จะให้การด้วยว่าพินัยกรรมปลอมก็เป็นการต่อสู้ว่าไม่มีข้อกำหนดตามพินัยกรรมเพราะเจ้ามรดกได้โอนทรัพย์ตามพินัยกรรมไปในระหว่างมีชีวิตอยู่ ข้อกำหนดในพินัยกรรมเป็นอันเพิกถอน ซึ่งเป็นเรื่องที่ว่าไม่มีพินัยกรรมเกี่ยวกับที่พิพาทนั่นเอง คำให้การของจำเลยจึงไม่ขัดกันแต่อย่างใด.
of 37