พบผลลัพธ์ทั้งหมด 368 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1109/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามระเบียบราชการ ไม่ถือเป็นการละเมิด แม้จะไม่อนุญาตเปลี่ยนแปลงแผนผังทำเหมือง
จำเลยใช้ดุลพินิจ สั่งการและปฏิบัติไปตามระเบียบแบบแผนของทางราชการโดยคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติ การกระทำของจำเลยย่อมไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ทั้งสองฟ้องเป็นคดีเดียวกัน แต่ความเสียหายของโจทก์แต่ละคนที่ได้รับต่างกันและเป็นคนละจำนวน เป็นสิทธิเรียกร้องที่สามารถแยกต่างหากจากกันได้ โจทก์ทั้งสองต้องเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนค่าเสียหายซึ่งเป็นทุนทรัพย์ที่โจทก์แต่ละคนเรียกร้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1101/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใส่ความให้ผู้อื่นเสื่อมเสียชื่อเสียงโดยเจตนา และการกระทำที่มีลักษณะให้ข้อความหมิ่นประมาทแพร่หลาย
การที่จำเลยทำหนังสือส่งไปยังประธานคณะกรรมการตุลาการและกรรมการตุลาการอื่นทุกคนกล่าวหาว่าโจทก์ซึ่งเป็นกรรมการตุลาการคนหนึ่งผูกใจเจ็บแค้นมารดาจำเลยเพราะมีคดีเรื่องบุกรุกและหาเหตุกลั่นแกล้งจนมารดาจำเลยถึงแก่กรรม แล้วโจทก์ยังมาฟ้องกล่าวหาจำเลยในมูลละเมิดโดยใช้อิทธิพลในฐานะเป็นกรรมการตุลาการทำให้ผู้พิพากษาซึ่งนั่งพิจารณาคดีเกิดความกลัวบีบบังคับให้จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความและไม่ให้ความเป็นธรรมแก่จำเลยในการบังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอมดังกล่าว อันทำให้โจทก์ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ทั้งที่จำเลยรู้ดีว่าไม่มีมูลความจริง ย่อมแสดงให้เห็นในเบื้องต้นถึงเจตนาอันไม่บริสุทธิ์ของจำเลย ทั้งจำเลยก็ไม่อาจแก้ตัวได้ว่ากระทำการดังกล่าวเพื่อป้องกันผลประโยชน์อันชอบธรรมของตนหรือเป็นการติชมด้วยความเป็นธรรมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา329(1)(3) เพราะในคดีแพ่งที่โจทก์จำเลยพิพาทกันเกี่ยวกับมูลละเมิด จำเลยก็มีทนายช่วยแก้ต่างจำเลยจึงย่อมทราบดีกว่าขั้นตอนของกระบวนวิธีพิจารณาเป็นอย่างไรและควรปฏิบัติอย่างไรหากเห็นว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรมในปัญหาที่พิพาทกับโจทก์มิใช่ร้องเรียนไปยังบรรดาบุคคลซึ่งจำเลยทราบดีว่าไม่อาจบันดาลใด ๆ ในทางคดีได้แต่กลับเป็นการแสดงเจตนาชัดแจ้งว่า จำเลยมุ่งประสงค์ใส่ความเพื่อทำลายชื่อเสียงของโจทก์ และเป็นการกระทำที่มีลักษณะให้ข้อความหมิ่นประมาทดังกล่าวแพร่หลายไปในวงการของนักกฎหมายและบุคคลอื่น เพื่อให้ผู้ที่ไม่ทราบความจริงเกิดเข้าใจผิดดูหมิ่นเกลียดชังโจทก์อันส่งผลกระทบต่อเกียรติและสถานะในทางสังคมของโจทก์โดยตรงสมดังเจตนาอันแท้จริงของจำเลย จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1101/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใส่ความเพื่อให้ผู้อื่นดูหมิ่นเกลียดชังและทำลายชื่อเสียงของกรรมการตุลาการโดยใช้ข้อมูลเท็จ
การที่จำเลยทำหนังสือส่งไปยังประธานคณะกรรมการตุลาการและกรรมการตุลาการอื่นทุกคนกล่าวหาว่า โจทก์ซึ่งเป็นกรรมการตุลาการคนหนึ่งผูกใจเจ็บแค้นมารดาจำเลยเพราะมีคดีเรื่องบุกรุกและหาเหตุกลั่นแกล้งจนมารดาจำเลยถึงแก่กรรม แล้วโจทก์ยังมาฟ้องกล่าวหาจำเลยในมูลละเมิดโดยใช้อิทธิพลในฐานะเป็นกรรมการตุลาการทำให้ผู้พิพากษาซึ่งนั่งพิจารณาคดีเกิดความกลัวบีบบังคับให้จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความและไม่ให้ความเป็นธรรมแก่จำเลยในการบังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอมดังกล่าว อันทำให้โจทก์ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ทั้งที่จำเลยรู้ดีว่าไม่มีมูลความจริง ย่อมแสดงให้เห็นในเบื้องต้นถึงเจตนาอันไม่บริสุทธิ์ของจำเลย ทั้งจำเลยก็ไม่อาจแก้ตัวได้ว่ากระทำการดังกล่าวเพื่อป้องกันผลประโยชน์อันชอบธรรมของตนหรือเป็นการติชมด้วยความเป็นธรรมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (1) (3) เพราะในคดีแพ่งที่โจทก์จำเลยพิพาทกันเกี่ยวกับมูลละเมิด จำเลยก็มีทนายช่วยแก้ต่างจำเลยจึงย่อมทราบดีกว่าขั้นตอนของกระบวนวิธีพิจารณาเป็นอย่างไรและควรปฏิบัติอย่างไรหากเห็นว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรมในปัญหาที่พิพาทกับโจทก์มิใช่ร้องเรียนไปยังบรรดาบุคคลซึ่งจำเลยทราบดีว่าไม่อาจบันดาลใด ๆ ในทางคดีได้แต่กลับเป็นการแสดงเจตนาชัดแจ้งว่า จำเลยมุ่งประสงค์ใส่ความเพื่อทำลายชื่อเสียงของโจทก์ และเป็นการกระทำที่มีลักษณะให้ข้อความหมิ่นประมาทดังกล่าวแพร่หลายไปในวงการของนักกฎหมายและบุคคลอื่น เพื่อให้ผู้ที่ไม่ทราบความจริงเกิดเข้าใจผิดดูหมิ่นเกลียดชังโจทก์อันส่งผลกระทบต่อเกียรติและสถานะในทางสังคมของโจทก์โดยตรงสมดังเจตนาอันแท้จริงของจำเลย จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 889/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าหนี้ทราบประกาศคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว ถือว่าทราบกำหนดเวลายื่นคำขอรับชำระหนี้ แม้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มิได้แจ้งซ้ำ
เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แจ้งกำหนดระยะเวลาในการยื่นคำขอรับชำระหนี้ให้บรรดาเจ้าหนี้ทั้งหลายทราบในคำโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว ต้องถือว่าเจ้าหนี้ทุกคนได้ทราบประกาศแล้ว ไม่ใช่หน้าที่ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่จะต้องแจ้งเรื่องการยื่นคำขอรับชำระหนี้ให้โจทก์ทราบอีกชั้นหนึ่ง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 889/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าหนี้ต้องทราบประกาศคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเพื่อยื่นคำขอรับชำระหนี้ การแจ้งซ้ำไม่จำเป็น
เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แจ้งกำหนดระยะเวลาในการยื่นคำขอรับชำระหนี้ให้บรรดาเจ้าหนี้ทั้งหลายทราบในคำโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว ต้องถือว่าเจ้าหนี้ทุกคนได้ทราบประกาศแล้ว ไม่ใช่หน้าที่ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่จะต้องแจ้งเรื่องการยื่นคำขอรับชำระหนี้ให้โจทก์ทราบอีกชั้นหนึ่ง.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 862/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่อุทธรณ์คำสั่งศาลที่ไม่รับคำให้การ และสิทธิในการขอพิจารณาคดีใหม่เมื่อขาดนัด
หลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การจำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นสั่งไม่อนุญาต คำสั่งของศาลชั้นต้นเป็นคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 วรรคสอง และเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อจำเลยมิได้โต้แย้งคำสั่งไว้ จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยประวิงคดี ให้งดสืบพยานจำเลยแล้วพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี จำเลยมิได้ขาดนัดพิจารณา จึงไม่มีสิทธิขอให้พิจารณาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 207.
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยประวิงคดี ให้งดสืบพยานจำเลยแล้วพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี จำเลยมิได้ขาดนัดพิจารณา จึงไม่มีสิทธิขอให้พิจารณาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 207.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 862/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาคดี ผลกระทบต่อสิทธิในการอุทธรณ์และขอพิจารณาคดีใหม่
จำเลยที่ 6 ขาดนัดยื่นคำให้การและศาลได้มีคำสั่งว่าจำเลยที่ 6 ขาดนัดยื่นคำให้การไปแล้ว ต่อมาจำเลยที่ 6 ยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การ ศาลสั่งไม่อนุญาต คำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อจำเลยที่ 6 ไม่โต้แย้งคำสั่งดังกล่าวไว้ย่อมต้องห้ามอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226 ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 6 แพ้คดีโดยไม่ได้ความว่าจำเลยที่ 6ขาดนัดพิจารณา จำเลยที่ 6 ย่อมไม่มีสิทธิขอให้พิจารณาใหม่ตามมาตรา 207.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 862/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดยื่นคำให้การและการประวิงคดี ศาลมีคำสั่งชอบแล้วตามกฎหมาย
หลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การจำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นสั่งไม่อนุญาต คำสั่งของศาลชั้นต้นเป็นคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 วรรคสอง และเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อจำเลยมิได้โต้แย้งคำสั่งไว้ จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยประวิงคดี ให้งดสืบพยานจำเลยแล้วพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี จำเลยมิได้ขาดนัดพิจารณา จึงไม่มีสิทธิขอให้พิจารณาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 207.
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยประวิงคดี ให้งดสืบพยานจำเลยแล้วพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี จำเลยมิได้ขาดนัดพิจารณา จึงไม่มีสิทธิขอให้พิจารณาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 207.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 857/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เขตอำนาจศาลในคดีเช็ค: สถานที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเป็นสถานที่เกิดเหตุ
ตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497มาตรา 3 ความผิดเกิดขึ้นเมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน เมื่อธนาคารที่ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คมิได้ตั้งอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดธัญบุรีศาลจังหวัดธัญบุรีจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้แม้จำเลยจะออกเช็คให้โจทก์ในเขตอำเภอธัญบุรี สถานที่ดังกล่าวก็หาใช่สถานที่เกิดเหตุคดีนี้ไม่.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 761/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนหุ้นต้องจดแจ้งในทะเบียนผู้ถือหุ้นจึงมีผลผูกพันกับบริษัทและเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
เงื่อนไขตาม ป.พ.พ. มาตรา 1129 วรรคท้าย ได้บัญญัติไว้ชัดแจ้งว่า การโอนหุ้นจะต้องได้จดแจ้งให้ปรากฏหลักฐานการโอนทั้งชื่อ และที่อยู่ของผู้รับโอนลงในทะเบียนผู้ถือหุ้นเสียก่อนจึงจะนำมาใช้ยันบริษัทหรือบุคคลภายนอกได้ เมื่อการโอนหุ้นของบริษัทจำเลยระหว่างผู้ร้องกับ ธ. ยังมิได้จดแจ้งการโอนลงในทะเบียนดังกล่าว ผู้ร้องจึงไม่อาจอ้างเหตุผลใด ๆมาเป็นข้อยกเว้นของบทบัญญัติของกฎหมายเพื่อให้ตนหลุดพ้นความรับผิดได้ เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของบริษัทจำเลยแล้ว พ.ร.บ.ล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 22(3) ให้อำนาจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวในการเก็บรวบรวมและรับเงินหรือทรัพย์สินซึ่งจะตก ได้แก่บริษัทจำเลยหรือซึ่งบริษัทจำเลยมีสิทธิจะได้รับจากผู้อื่น ฉะนั้นเมื่อผู้ร้องต้องห้ามมิให้ยกการโอนหุ้นขึ้นยันบริษัทจำเลย ผู้ร้องก็ย่อมไม่อาจยกการโอนหุ้นขึ้นยันเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้เช่นเดียวกัน.