พบผลลัพธ์ทั้งหมด 368 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1944/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความเพิกถอนการโอนทรัพย์ในคดีล้มละลาย: ใช้ อายุความ 10 ปี หากมิใช่การฉ้อฉล
กรณีที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการโอนทรัพย์สินของลูกหนี้ตาม พระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483มาตรา 114 มิใช่กรณีเพิกถอนการฉ้อฉลตามมาตรา 113 ไม่มีบทบัญญัติกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1939/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนจากความโกรธแค้นและการเตรียมการทำร้าย
จำเลยกับผู้ตายดื่มสุราด้วยกันที่บ้านมารดาผู้ตายและมีเรื่องทะเลาะวิวาทถึงกับท้าชกต่อยกัน แต่มีคนมาห้ามจึงแยกกันไป จำเลยทราบว่าผู้ตายจะต้องกลับบ้านจึงได้มาดักรอริมถนนเพื่อทำร้ายด้วยความโกรธแค้นผู้ตายและได้ใช้มีดพกปลายแหลมแทงผู้ตายหลังจากทะเลาะวิวาทกันแล้วประมาณ 10 ชั่วโมง ดังนี้การที่จำเลยใช้มีดแทงผู้ตายกันเนื่องมาจากการทะเลาะวิวาทและจำเลยมีเวลานานพอที่จะสามารถตระเตรียมวางแผนฆ่าผู้ตายด้วยความโกรธแค้นได้ จึงเป็นการฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1939/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนจากความโกรธแค้นและการดักรอทำร้าย
จำเลยกับผู้ตายดื่มสุราด้วยกันที่บ้านมารดาผู้ตายและมีเรื่องทะเลาะวิวาทถึงกับท้าชกต่อยกัน แต่มีคนมาห้างจึงแยกกันไป จำเลยทราบว่าผู้ตายจะต้องกลับบ้านจึงได้มาดักรอริมถนนเพื่อทำร้ายด้วยความโกรธแค้นผู้ตายและได้ใช้มีดพกปลายแหลมแทงผู้ตายหลังจากทะเลาะวิวาทกันแล้วประมาณ 10 ชั่วโมง ดังนี้การที่จำเลยใช้มีดแทงผู้ตายก็เนื่องมาจากการทะเลาะวิวาทและจำเลยมีเวลานานพอที่จะสามารถตระเตรียมวางแผนฆ่าผู้ตายด้วยความโกรธแค้นได้ จึงเป็นการฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1939/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนจากความโกรธแค้นและการดักทำร้ายผู้เสียหาย
จำเลยกับผู้ตายดื่มสุราด้วยกันที่บ้านมารดาผู้ตายและมีเรื่องทะเลาะวิวาทถึงกับท้าชกต่อยกัน แต่มีคนมาห้างจึงแยกกันไป จำเลยทราบว่าผู้ตายจะต้องกลับบ้านจึงได้มาดักรอริมถนนเพื่อทำร้ายด้วยความโกรธแค้นผู้ตายและได้ใช้มีดพกปลายแหลมแทงผู้ตายหลังจากทะเลาะวิวาทกันแล้วประมาณ 10 ชั่วโมง ดังนี้การที่จำเลยใช้มีดแทงผู้ตายก็เนื่องมาจากการทะเลาะวิวาทและจำเลยมีเวลานานพอที่จะสามารถตระเตรียมวางแผนฆ่าผู้ตายด้วยความโกรธแค้นได้ จึงเป็นการฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1920/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกล่าวพาดพิงเพื่อปกป้องตนเองจากความไม่เป็นธรรมจากการช่วยเหลือผู้กระทำผิด ไม่เป็นการละเมิด
โจทก์มีส่วนทำให้ข้อเท็จจริงในกรณีพิพาทระหว่างจำเลยกับ ห.บิดเบือน จนเป็นเหตุให้จำเลยถูกผู้บังคับบัญชาลงโทษโดยไม่เป็นธรรมจำเลยย่อมเข้าใจโดยสุจริตว่า เหตุที่จำเลยไม่ได้รับความเป็นธรรมเป็นเพราะการกระทำของโจทก์ การที่จำเลยอุทธรณ์คำสั่งคณะกรรมการสอบสวนโดยกล่าวพาดพิงถึงโจทก์ดังข้อความตามฟ้องจึงเป็นการไขข่าวซึ่งมีส่วนเป็นความจริงและจำเลยกระทำการดังกล่าวโดยสุจริต เพื่อความชอบธรรมป้องกันตนและส่วนได้เสียของตนตามคลองธรรมไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1920/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไขข่าวความจริงเพื่อป้องกันตนและส่วนได้เสีย ไม่เป็นละเมิด
โจทก์มีส่วนทำให้ข้อเท็จจริงในกรณีพิพาทระหว่างจำเลยกับ ห. บิดเบือน จนเป็นเหตุให้จำเลยถูกผู้บังคับบัญชาลงโทษโดยไม่เป็นธรรม จำเลยย่อมเข้าใจโดยสุจริตว่า เหตุที่จำเลยไม่ได้รับความเป็นธรรมเป็นเพราะการกระทำของโจทก์ การที่จำเลยอุทธรณ์คำสั่งคณะกรรมการสอบสวนโดยกล่าวพาดพิงถึงโจทก์ดังข้อความตามฟ้อง จึงเป็นการไขข่าวซึ่งมีส่วนเป็นความจริงและจำเลยกระทำการดังกล่าวโดยสุจริต เพื่อความชอบธรรมป้องกันตนและส่วนได้เสียของตนตามคลองธรรมไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1920/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไขข่าวโดยสุจริตเพื่อป้องกันตนและส่วนได้เสีย ไม่เป็นละเมิด แม้ข้อความบางส่วนบิดเบือนข้อเท็จจริง
โจทก์มีส่วนทำให้ข้อเท็จจริงในกรณีพิพาทระหว่างจำเลยกับ ห. บิดเบือน จนเป็นเหตุให้จำเลยถูกผู้บังคับบัญชาลงโทษโดยไม่เป็นธรรม จำเลยย่อมเข้าใจโดยสุจริตว่า เหตุที่จำเลยไม่ได้รับความเป็นธรรมเป็นเพราะการกระทำของโจทก์ การที่จำเลยอุทธรณ์คำสั่งคณะกรรมการสอบสวนโดยกล่าวพาดพิงถึงโจทก์ดังข้อความตามฟ้อง จึงเป็นการไขข่าวซึ่งมีส่วนเป็นความจริงและจำเลยกระทำการดังกล่าวโดยสุจริต เพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนและส่วนได้เสียของตนตามคลองธรรมไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1818/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความเห็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีผลบังคับ ศาลมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดการรับชำระหนี้เอง
การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทำความเห็นส่งสำนวนเรื่องหนี้สินที่มีผู้ขอรับชำระต่อศาล แม้จะเห็นควรให้ได้รับชำระหนี้บางส่วนและยกคำขอรับชำระหนี้บางส่วน แต่ความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นั้นไม่มีผลบังคับแต่อย่างใด เพราะศาลอาจพิจารณาวินิจฉัยหรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่นได้ ฉะนั้นจึงยังไม่มีการกระทำหรือคำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อย่างใดอย่างหนึ่งที่ทำให้ผู้ร้องได้รับความเสียหายตามพระราชบัญญัติล้มละลายพุทธศักราช 2483 มาตรา 146 ผู้ร้องจะยื่นคำร้องต่อศาลให้สั่งแก้ไขความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หาได้ไม่ ต่อเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งอย่างไรแล้วผู้ร้องจึงมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่ผู้ร้องได้รับทราบคำสั่งนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 153
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1818/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความเห็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีผลบังคับ ศาลมีอำนาจตัดสินชี้ขาดเอง เจ้าหนี้ต้องอุทธรณ์คำสั่งศาลเท่านั้น
การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทำความเห็นส่งสำนวนเรื่องหนี้สินที่มีผู้ขอรับชำระต่อศาล แม้จะเห็นควรให้ได้รับชำระหนี้บางส่วนและยกคำขอรับชำระหนี้บางส่วน แต่ความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นั้นไม่มีผลบังคับแต่อย่างใด เพราะศาลอาจพิจารณาวินิจฉัยหรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่นได้ ฉะนั้นจึงยังไม่มีการกระทำหรือคำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อย่างหนึ่งอย่างใดที่ทำให้ผู้ร้องได้รับความเสียหายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 146 ผู้ร้องจะยื่นคำร้องต่อศาลให้สั่งแก้ไขความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หาได้ไม่ ต่อเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งอย่างไรแล้วผู้ร้องจึงมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่ผู้ร้องได้รับทราบคำสั่งนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 153
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1818/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความเห็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีผลบังคับ ศาลมีอำนาจพิจารณาตัดสินชี้ขาดเรื่องหนี้สินตามกฎหมายล้มละลาย
การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทำความเห็นส่งสำนวนเรื่องหนี้สินที่มีผู้ขอรับชำระต่อศาล แม้จะเห็นควรให้ได้รับชำระหนี้บางส่วนและยกคำขอรับชำระหนี้บางส่วน แต่ความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นั้นไม่มีผลบังคับแต่อย่างใด เพราะศาลอาจพิจารณาวินิจฉัยหรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่นได้ ฉะนั้นจึงยังไม่มีการกระทำหรือคำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อย่างหนึ่งอย่างใดที่ทำให้ผู้ร้องได้รับความเสียหายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 146 ผู้ร้องจะยื่นคำร้องต่อศาลให้สั่งแก้ไขความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หาได้ไม่ ต่อเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งอย่างไรแล้วผู้ร้องจึงมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่ผู้ร้องได้รับทราบคำสั่งนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา153.