พบผลลัพธ์ทั้งหมด 521 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2072/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ป้องกันตนเกินกว่าเหตุ: การใช้กำลังทำร้ายจนถึงแก่ความตาย
ผู้ตายมาขอเงินจำเลยซึ่งเป็นภริยาไปซื้อสุราแล้วครั้งหนึ่ง ต่อมาผู้ตายกลับมาขอเงินจำเลยไปซื้อสุราอีกจำเลยบอกว่าไม่มี ผู้ตายก็บีบคอจำเลยและพูดว่าไม่ให้จะฆ่า จำเลยหายใจไม่ออก จึงดิ้นไปมาแล้วหยิบเอามีดโต้ซึ่งวางอยู่แถวหัวนอนฟันผู้ตาย เพื่อป้องกันขัดขวางไม่ให้ผู้ตายบีบคอจำเลยแต่การที่จำเลยใช้มีดโต้ขนาดใหญ่ฟันผู้ตายที่ศีรษะ 4 แผล กระโหลกศีรษะแตกและถึงแก่ความตายดังนี้ เป็นการกระทำไปเกินสมควรแก่เหตุ มีความผิดตาม ป.อ.มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 69.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2072/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุทำให้เกิดความผิดฐานทำร้ายร่างกายถึงแก่ความตาย
ผู้ตายมาขอเงินจำเลยซึ่งเป็นภริยาไปซื้อสุราแล้วครั้งหนึ่ง ต่อมาผู้ตายกลับมาขอเงินไปซื้อสุราอีก เมื่อจำเลยบอกว่าไม่มีให้ ผู้ตายก็บีบคอจำเลยและพูดว่า ไม่ให้จะฆ่า จำเลยหายใจไม่ออก จึงดิ้นไปมาและหยิบเอามีดโต้ซึ่งวางอยู่แถวหัวนอนฟันผู้ตาย เพื่อป้องกันขัดขวางไม่ให้ผู้ตายบีบคอจำเลย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันตัว แต่การที่จำเลยใช้มีดโต้ขนาดใหญ่ฟันผู้ตายที่ศีรษะ 4 แผล กะโหลกศีรษะแตกและถึงแก่ความตาย จึงเป็นการกระทำไปเกินสมควรแก่เหตุ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 69
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1845/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งเด็กไปฝึกอบรมแทนการลงโทษจำคุก: ศาลฎีกาห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหากศาลอุทธรณ์ยืนตามคำพิพากษาเดิม
การส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลางเป็นเวลา 2 ปี นั้น ไม่เป็นการลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 18 แต่เป็นวิธีการสำหรับเด็กตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 74(5) ที่เบากว่าการลงโทษจำคุก เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจึงต้องห้ามคู่ความมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จำเลยฎีกาว่า มิใช่เด็กเร่ร่อนจรจัด มีบิดามารดาให้ความอบอุ่นและหลักฐานบ้านช่องพร้อมที่จะให้ความรับรองต่อศาลจำเลยยังศึกษาอยู่ในโรงเรียน จำเลยมิได้มีเถยจิตหรือสันดานเป็นอาชญากร ขอใช้วิธีการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 74 อนุ (1) ถึง (3)นั้นเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ไม่ได้ แต่ถ้าจำเลยหรือบิดามารดาจำเลยเห็นว่า พฤติการณ์เกี่ยวกับคำสั่งนั้นได้เปลี่ยนแปลงไป ก็ย่อมมีสิทธิที่จะไปร้องต่อศาลชั้นต้น เพื่อขอให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขคำสั่งหรือสั่งใหม่ได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 74วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1845/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งเด็กเข้าสถานพินิจฯ ไม่ใช่การลงโทษ แต่เป็นวิธีการสำหรับเด็กตามกฎหมายอาญา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลางเป็นเวลา 2 ปีไม่เป็นการลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 แต่เป็นวิธีการสำหรับเด็กตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 74(5) ที่เบากว่าการลงโทษจำคุก เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงต้องห้ามคู่ความมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218แต่ถ้าจำเลยหรือบิดามารดาของจำเลยเห็นว่าพฤติการณ์เกี่ยวกับคำสั่งนั้นได้เปลี่ยนแปลงไป ก็ย่อมมีสิทธิที่จะไปร้องต่อศาลชั้นต้นเพื่อขอให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขคำสั่งหรือสั่งใหม่ได้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 74 วรรคท้าย.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1845/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งตัวเด็กไปฝึกอบรมแทนการลงโทษจำคุก: ศาลฎีกาห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
การส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลางเป็นเวลา 2 ปีนั้น ไม่เป็นการลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 แต่เป็นวิธีการสำหรับเด็กตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 74 (5) ที่เบากว่าการลงโทษจำคุก เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจึงต้องห้ามคู่ความมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
จำเลยฎีกาว่า มิใช่เด็กเร่ร่อนจรจัด มีบิดามารดาให้ความอบอุ่นและหลักฐานบ้านช่องพร้อมที่จะให้ความรับรองต่อศาล จำเลยยังศึกษาอยู่ในโรงเรียน จำเลยมิได้มีเถยจิตหรือสันดานเป็นอาชญากร ขอใช้วิธีการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 74 อนุ (1) ถึง (3) นั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ไม่ได้ แต่ถ้าจำเลยหรือบิดามารดาจำเลยเห็นว่าพฤติการณ์เกี่ยวกับคำสั่งนั้นได้เปลี่ยนแปลงไป ก็ย่อมมีสิทธิที่จะไปร้องต่อศาลชั้นต้น เพื่อขอให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขคำสั่งหรือสั่งใหม่ได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 74 วรรคท้าย
จำเลยฎีกาว่า มิใช่เด็กเร่ร่อนจรจัด มีบิดามารดาให้ความอบอุ่นและหลักฐานบ้านช่องพร้อมที่จะให้ความรับรองต่อศาล จำเลยยังศึกษาอยู่ในโรงเรียน จำเลยมิได้มีเถยจิตหรือสันดานเป็นอาชญากร ขอใช้วิธีการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 74 อนุ (1) ถึง (3) นั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ไม่ได้ แต่ถ้าจำเลยหรือบิดามารดาจำเลยเห็นว่าพฤติการณ์เกี่ยวกับคำสั่งนั้นได้เปลี่ยนแปลงไป ก็ย่อมมีสิทธิที่จะไปร้องต่อศาลชั้นต้น เพื่อขอให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขคำสั่งหรือสั่งใหม่ได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 74 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1834/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เขตอำนาจศาล: การฟ้องละเมิดที่ศาลมีอำนาจพิจารณาเมื่อพยานและคู่ความสะดวก
การฟ้องเรียกค่าเสียหายกรณีละเมิดประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(2) ให้เสนอคำฟ้องต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตแต่ถ้าโจทก์จะยื่นคำฟ้องต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้น เมื่อโจทก์ยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องแสดงให้เห็นว่าการพิจารณาคดีในศาลนั้น ๆ จะเป็นการสะดวกศาลจะใช้ดุลพินิจอนุญาตก็ได้ การพิจารณาจะสะดวกหรือไม่นั้นต้องคำนึงถึงคู่ความและพยานที่เกี่ยวข้องด้วย ปรากฏตามคำฟ้องว่ารถยนต์โดยสารที่จำเลยที่ 1 ขับจากกรุงเทพมหานครมุ่งหน้าไปจังหวัดเชียงใหม่ชนกับรถยนต์ของโจทก์ที่ 2 ที่จังหวัดนครสวรรค์ พยานที่รู้เห็นส่วนใหญ่น่าจะอยู่ในรถยนต์ทั้งสองคัน ซึ่งไม่มีภูมิลำเนาในเขตศาลจังหวัดนครสวรรค์การพิจารณาคดีที่ศาลจังหวัดนครสวรรค์ย่อมไม่สะดวกแก่พยาน ประกอบกับโจทก์ที่ 2 แต่ผู้เดียวมีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดนครสวรรค์ ส่วนโจทก์ที่ 1 และจำเลยทั้งสี่มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลแพ่ง ดังนั้น การฟ้องคดี การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องการต่อสู้คดี และการพิจารณาที่ศาลแพ่งย่อมเป็นการสะดวกแก่คู่ความอื่นทั้งหมดเว้นแต่โจทก์ที่ 2 ผู้เดียว ศาลจึงชอบที่จะใช้ดุลพินิจไม่อนุญาตให้ยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดนครสวรรค์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1834/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาล: การฟ้องละเมิดและการใช้ดุลพินิจอนุญาตฟ้องต่อศาลที่เกิดเหตุ
การฟ้องเรียกค่าเสียหายตามมูลละเมิดประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(2) ให้เสนอคำฟ้องต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขต แต่ถ้าโจทก์จะยื่นคำฟ้องต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้น เมื่อโจทก์ยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องแสดงให้เห็นว่าการพิจารณาคดีในศาลนั้นๆ จะเป็นการสะดวก ศาลจะใช้ดุลพินิจอนุญาตก็ได้ การพิจารณาจะสะดวกหรือไม่นั้นต้องคำนึงถึงคู่ความและพยานที่เกี่ยวข้องด้วย ตามคำฟ้องคดีนี้ จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3ขับรถยนต์โดยสารจากกรุงเทพมหานครมุ่งหน้าไปจังหวัดเชียงใหม่ชนกับรถยนต์ของโจทก์ที่ 2 ที่จังหวัดนครสวรรค์ พยานที่รู้เห็นส่วนใหญ่น่าจะอยู่ในรถยนต์ทั้งสองคัน ซึ่งไม่มีภูมิลำเนาในเขตศาลจังหวัดนครสวรรค์ การพิจารณาคดีที่ศาลจังหวัดนครสวรรค์ส่วนโจทก์ที่ 1 และจำเลยทั้งสี่มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลแพ่ง ดังนั้นการฟ้องคดี การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องการต่อสู้คดีและการพิจารณาที่ศาลแพ่งย่อมเป็นการสะดวกแก่คู่ความอื่นทั้งหมดเว้นแต่โจทก์ที่ 2 ผู้เดียว ศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะใช้ดุลพินิจไม่อนุญาตให้ยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดนครสวรรค์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1834/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เขตอำนาจศาล: การฟ้องละเมิดที่สะดวกต่อคู่ความและพยาน
การฟ้องเรียกค่าเสียหายตามมูลละเมิดประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4 (2) ให้เสนอคำฟ้องต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขต แต่ถ้าโจทก์จะยื่นคำฟ้องต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้น เมื่อโจทก์ยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องแสดงให้เห็นว่าการพิจารณาคดีในศาลนั้น ๆ จะเป็นการสะดวก ศาลจะใช้ดุลพินิจอนุญาตก็ได้ การพิจารณาจะสะดวกหรือไม่นั้นต้องคำนึงถึงคู่ความและพยานที่เกี่ยวข้องด้วย ตามคำฟ้องคดีนี้ จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ขับรถยนต์โดยสารจากกรุงเทพมหานครมุ่งหน้าไปจังหวัดเชียงใหม่ชนกับรถยนต์ของโจทก์ที่ 2 ที่จังหวัดนครสวรรค์ พยานที่รู้เห็นส่วนใหญ่น่าจะอยู่ในรถยนต์ทั้งสองคัน ซึ่งไม่มีภูมิลำเนาในเขตศาลจังหวัดนครสวรรค์ การพิจารณาคดีที่ศาลจังหวัดนครสวรรค์ส่วนโจทก์ที่ 1 และจำเลยทั้งสี่มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลแพ่ง ดังนั้นการฟ้องคดี การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องการต่อสู้คดีและการพิจารณาที่ศาลแพ่งย่อมเป็นการสะดวกแก่คู่ความอื่นทั้งหมดเว้นแต่โจทก์ที่ 2 ผู้เดียว ศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะใช้ดุลพินิจไม่อนุญาตให้ยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดนครสวรรค์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1812/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องครอบครองปรปักษ์และการตั้งสิทธิภารจำยอมในคดีเดียวกัน ศาลไม่รับพิจารณา
ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อมีคำสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่ดินของผู้อื่นโดยการครอบครอง ผู้คัดค้านมิได้คัดค้านเรื่องดังกล่าว แต่ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้คัดค้านได้สิทธิทางภารจำยอมในที่ดินดังกล่าว จึงเป็นการตั้งสิทธิของตนขึ้นมาใหม่เป็นคนละเรื่องไม่เกี่ยวข้องกัน จะเสนอมาในคดีเดียวกันไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1812/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเสนอสิทธิทางภาระจำยอมในคดีครอบครองปรปักษ์ ศาลไม่รับพิจารณาเนื่องจากเป็นคนละเรื่องกัน
ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อมีคำสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่ดินของผู้อื่นโดยการครอบครอง ผู้คัดค้านมิได้คัดค้านเรื่องดังกล่าว แต่ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้คัดค้านได้สิทธิทางภาระจำยอมในที่ดินดังกล่าว จึงเป็นการตั้งสิทธิของตนขึ้นมาใหม่เป็นคนละเรื่องไม่เกี่ยวข้องกัน จะเสนอมาในคดีเดียวกันไม่ได้