พบผลลัพธ์ทั้งหมด 521 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 196/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้ตามสัญญาเงินกู้ และขอบเขตการวินิจฉัยของศาล
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้ตาม ภาพถ่ายสัญญากู้ท้ายฟ้องจำเลยให้การว่า ตาม วันที่โจทก์ฟ้อง จำเลยไม่เคยกู้ยืมเงินโจทก์ในวันอื่นจำเลยเคยกู้ยืมเงินโจทก์จริง โดย จำเลยลงลายมือชื่อในแบบพิมพ์สัญญากู้ให้โจทก์ไว้ ต่อมาจำเลยชำระหนี้เงินกู้ดังกล่าวเสร็จสิ้นแล้ว สัญญากู้ตามฟ้องจึงไม่มีมูลหนี้ที่จำเลยจะต้องรับผิด ดังนี้ หนี้ตามฟ้องระงับไปด้วย การชำระหนี้หรือไม่ จึงเป็นประเด็นข้อโต้เถียงของคู่ความ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยพยานหลักฐานใบเสร็จรับเงินที่จำเลยอ้างส่งซึ่ง มีจำนวนเงินเท่ากับหนี้ตามฟ้องและฟังว่าเป็นหลักฐานการชำระหนี้ตามฟ้อง ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 196/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้ตามสัญญา กู้ยืมเงิน และการวินิจฉัยศาลว่าการชำระหนี้ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้ตามภาพถ่ายสัญญากู้ท้ายฟ้อง จำเลยให้การว่า ตามวันที่โจทก์ฟ้อง จำเลยไม่เคยกู้ยืมเงินโจทก์ ในวันอื่นจำเลยเคยกู้ยืมเงินโจทก์จริง โดยจำเลยลงลายมือชื่อในแบบพิมพ์สัญญากู้ให้โจทก์ไว้ ต่อมาจำเลยชำระหนี้เงินกู้ดังกล่าวเสร็จสิ้นแล้ว สัญญากู้ตามฟ้องจึงไม่มีมูลหนี้ที่จำเลยจะต้องรับผิด ดังนี้ หนี้ตามฟ้องระงับไปด้วยการชำระหนี้หรือไม่จึงเป็นประเด็นข้อโต้เถียงของคู่ความ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยพยานหลักฐานใบเสร็จรับเงินที่จำเลยอ้างส่งซึ่งมีจำนวนเงินเท่ากับหนี้ตามฟ้องและฟังว่าเป็นหลักฐานการชำระหนี้ตามฟ้อง ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 98/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลักทรัพย์: สิ่งกีดกั้นต้องปรากฏการกระทำและผ่านเข้าไปได้จริง ข้อหาอื่นต้องยกขึ้นในชั้นอุทธรณ์ก่อนฎีกา
การลักทรัพย์โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ หรือโดยผ่านสิ่งเช่นว่านั้นเข้าไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(3) นั้น จะต้องมีการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งเกี่ยวกับสิ่งกีดกั้นแล้วผ่านเข้าไป ประตูห้องนอนของผู้เสียหายเปิดอยู่แล้วจึงมิได้มีสภาพเป็นสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลและทรัพย์จำเลยเข้าไปลักทรัพย์ในห้องนอนของผู้เสียหาย คงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 เท่านั้น โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(3)(8)ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 335(3) เท่านั้นเท่ากับศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(8) เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์ว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 335(8) ด้วย เพื่อให้เป็นประเด็นขึ้นมาในชั้นอุทธรณ์ ปัญหาที่ว่าจำเลยมีความผิดตามบทมาตราดังกล่าวหรือไม่ จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์จะยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาไม่ได้ เพราะเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 98/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลักทรัพย์ในเคหสถาน: การเข้าโดยไม่ทำลายสิ่งกีดกั้น และประเด็นการอุทธรณ์ไม่ครบถ้วน
การลักทรัพย์โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ หรือโดยผ่านสิ่งเช่นว่านั้นเข้าไป จะต้องมีการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งเกี่ยวกับสิ่งกีดกั้นแล้วผ่านเข้าไป เมื่อประตูหน้องนอนที่เปิดอยู่มิได้มีสภาพเป็นสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลและทรัพย์ จำเลยซึ่งผู้เสียหายเชิญให้มาร่วมฉลองปีใหม่ที่บ้านเดินขึ้นไปชั้นบนเข้าห้องนอนทางประตูดังกล่าวซึ่งเปิดอยู่แล้วลักทรัพย์ของผู้เสียหายไป จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(3)
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา335(3) เท่ากับศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดตามมาตรา335(8) เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์ว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา335(8) ด้วย ปัญหาที่ว่าจำเลยมีความผิดตามบทมาตราดังกล่าวหรือไม่ จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์จะยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาไม่ได้เพราะเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลอุทธรณ์.(ที่มา-ส่งเสริม)
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา335(3) เท่ากับศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดตามมาตรา335(8) เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์ว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา335(8) ด้วย ปัญหาที่ว่าจำเลยมีความผิดตามบทมาตราดังกล่าวหรือไม่ จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์จะยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาไม่ได้เพราะเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลอุทธรณ์.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 90/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในที่ดินมรดก: ส.ค.1 ไม่ใช่เอกสารเด็ดขาดในการพิสูจน์สิทธิ
จำเลยแจ้งการครอบครองที่พิพาทตาม ส.ค.1 โดยระบุการได้มาว่า โจทก์ซึ่งเป็นพี่สาวแบ่งให้ ก็นำสืบได้ว่าที่พิพาทเดิมเป็นของบิดามารดา เมื่อบิดามารดาตายโจทก์จำเลยและพี่น้องได้ร่วมทำกินในที่พิพาทแล้วแบ่งปันกันเพราะ ส.ค.1 ไม่ใช่เอกสารที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีมาแสดง จึงไม่อยู่ในบังคับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 ที่ไม่ให้สืบพยานบุคคลแก้ไข
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 90/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในที่ดินมรดก: ส.ค.1 ไม่ห้ามนำสืบข้อเท็จจริงเดิมได้
แม้จำเลยจะแจ้งการครอบครองที่พิพาทตาม ส.ค. 1 โดยระบุการได้มาว่าโจทก์ซึ่งเป็นพี่สาวแบ่งให้ก็ตาม จำเลยก็ยังสามารถนำสืบได้ว่า ที่พิพาทเดิมเป็นของบิดามารดา เมื่อบิดามารดาตาย โจทก์จำเลยและพี่น้องได้ร่วมทำก้นในที่พิพาทแล้วแบ่งปันกันได้ เพราะ ส.ค. 1 ไม่ใช่เอกสารที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีมาแสดง จึงไม่อยู่ในบังคับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 ที่ไม่ให้สืบพยานบุคคลแก้ไข.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 90/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้มาซึ่งที่ดินโดยการแบ่งมรดกและการครอบครอง ส.ค.1 ไม่ใช่เอกสารที่ต้องแสดงตาม มาตรา 94
จำเลยแจ้งการครอบครองที่พิพาทตาม ส.ค.1 โดย ระบุการได้ มาว่าโจทก์ซึ่ง เป็นพี่สาวแบ่งให้ ก็นำสืบได้ว่าที่พิพาทเดิม เป็นของบิดามารดา เมื่อบิดามารดาตาย โจทก์จำเลยและพี่น้องได้ ร่วมทำกินในที่พิพาทแล้วแบ่งปันกัน เพราะ ส.ค.1 ไม่ใช่เอกสารที่กฎหมายบังคับให้ต้อง มีมาแสดง จึงไม่อยู่ในบังคับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 ที่ไม่ให้สืบพยานบุคคลแก้ไข.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 90/2532 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้มาซึ่งที่ดินโดยการแบ่งมรดกและการแจ้งการครอบครอง ส.ค.๑ ไม่ขัดต่อการนำสืบพยาน
จำเลยแจ้งการครอบครองที่พิพาทตาม ส.ค.๑ โดย ระบุการได้ มาว่าโจทก์ซึ่ง เป็นพี่สาวแบ่งให้ ก็นำสืบได้ว่าที่พิพาทเดิม เป็นของบิดามารดา เมื่อบิดามารดาตาย โจทก์จำเลยและพี่น้องได้ ร่วมทำกินในที่พิพาทแล้วแบ่งปันกัน เพราะ ส.ค.๑ ไม่ใช่เอกสารที่กฎหมายบังคับให้ต้อง มีมาแสดง จึงไม่อยู่ในบังคับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๙๔ ที่ไม่ให้สืบพยานบุคคลแก้ไข.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6726/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายระยะเวลายื่นฎีกา: เหตุผล 'ผู้จัดการเดินทางไปต่างประเทศ' ไม่ถือเป็นพฤติการณ์พิเศษ
การที่ผู้จัดการของโจทก์เดินทางไปต่างประเทศ โจทก์จึงไม่สามารถเบิกเงินค่าฤชาธรรมเนียมมาวางศาลพร้อมกับฎีกาได้ เป็นความผิดพลาดหรือความบกพร่องของโจทก์เอง มิใช่เป็นพฤติการณ์พิเศษซึ่งเกิดขึ้นโดยที่โจทก์ไม่อาจคาดคิดและทำให้โจทก์ไม่สามารถหาเงินค่าฤชาธรรมเนียมมาวางศาลได้ จึงไม่ถือว่าที่พฤติการณ์พิเศษที่จะขอให้ศาลสั่งขยายระยะเวลายื่นฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6688/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร แม้มีการยินยอมภายหลังแต่มีเจตนาในเบื้องต้น
เด็กหญิง ก.ผู้เสียหายอายุ 14 ปีเรียนหนังสือที่กรุงเทพมหานครได้ไปเยี่ยมบิดามารดาที่จังหวัดเลย ได้ออกไปเที่ยวจนดึก เมื่อกลับบ้านบิดาไม่ยอมให้เข้าบ้านจึงไปนอนที่หอพักกับจำเลย คืนนั้นจำเลยจะล่วงเกินผู้เสียหาย แต่ผู้เสียหายไม่ยินยอมเช้าวันรุ่งขึ้นผู้เสียหายยินยอมให้จำเลยร่วมประเวณี 2 ครั้งและจำเลยให้ผู้เสียหายพักอยู่ด้วยจนถึงตอนเย็นแล้วพาไปจังหวัดขอนแก่นพักนอนบ้านเพื่อน วันรุ่งขึ้นผู้เสียหายกับจำเลยยังเที่ยวต่อที่จังหวัดขอนแก่นอีก ไม่ส่งผู้เสียหายกลับจนมารดาผู้เสียหายพาตำรวจมาจับจำเลย พฤติการณ์ถือได้ว่า จำเลยพรากผู้เสียหายไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจาร