พบผลลัพธ์ทั้งหมด 521 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4539/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งทรัพย์มรดกเฉพาะส่วน: ศาลพิพากษาตามสัดส่วนทายาท ไม่ถือว่าเป็นการโอนทรัพย์ให้ทายาทอื่น
โจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์สินเฉพาะส่วนของตน การที่ศาลพิพากษาให้แบ่งทรัพย์พิพาทออกเป็น 18 ส่วน โดยคำนวณจากจำนวนทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกทั้งหมดเพื่อกำหนดส่วนแบ่งของโจทก์ตามฟ้อง มิได้พิพากษาให้จำเลยโอนหรือแบ่งทรัพย์พิพาทให้ทายาทอื่นด้วย ไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4539/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งมรดกและขอบเขตคำขอ ศาลอุทธรณ์พิพากษาเกินคำขอหรือไม่
โจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์สินเฉพาะส่วนของตน การที่ศาลพิพากษาให้แบ่งทรัพย์พิพาทออกเป็น 18 ส่วน โดยคำนวณจากจำนวนทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกทั้งหมดเพื่อกำหนดส่วนแบ่งของโจทก์ตามฟ้อง มิได้พิพากษาให้จำเลยโอนหรือแบ่งทรัพย์พิพาทให้ทายาทอื่นด้วย ไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4478/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยอมรับความถูกต้องของสำเนาเอกสาร: ศาลรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้หากคู่ความตกลง
เมื่อโจทก์เคยเบิกความรับว่าภาพถ่ายลายมือชื่อของโจทก์ในเอกสารหมาย ล.3 เป็นลายเซ็นของโจทก์จริง แสดงว่า โจทก์มิได้ปฏิเสธความถูกต้องของภาพถ่ายเอกสารดังกล่าวจึงเท่ากับโจทก์ยอมรับว่า เป็นสำเนาเอกสารที่ถูกต้องแล้วศาลย่อมรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4478/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยอมรับลายมือชื่อในภาพถ่ายเอกสาร: ศาลรับฟังเป็นหลักฐานได้
เมื่อโจทก์เคยเบิกความรับว่าภาพถ่ายลายมือชื่อของโจทก์ในเอกสารหมาย ล.3 เป็นลายเซ็นของโจทก์จริง แสดงว่าโจทก์มิได้ปฏิเสธความถูกต้องของภาพถ่ายเอกสารหมาย ล.3 จึงเท่ากับโจทก์ยอมรับว่าเอกสาร ล.3 เป็นสำเนาเอกสารที่ถูกต้องแล้ว ศาลย่อมรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 93 (1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4478/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยอมรับความถูกต้องของสำเนาเอกสารลายมือชื่อ มีผลให้ศาลรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้
เมื่อโจทก์เคยเบิกความรับว่าภาพถ่ายลายมือชื่อของโจทก์ในเอกสารหมาย ล.3 เป็นลายเซ็นของโจทก์จริง แสดงว่า โจทก์มิได้ปฏิเสธความถูกต้องของภาพถ่ายเอกสารดังกล่าวจึงเท่ากับโจทก์ยอมรับว่า เป็นสำเนาเอกสารที่ถูกต้องแล้วศาลย่อมรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4441/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาการกระทำลักทรัพย์ vs. ทำร้ายร่างกาย: ศาลตัดสินความผิดฐานทำร้ายร่างกาย
จำเลยกับผู้เสียหายอยู่กินฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรสและทำงานอยู่ที่โรงงานเดียวกัน จำเลยเป็นผู้ซื้อสร้อยคอทองคำให้ผู้เสียหาย บางครั้งจำเลยก็นำไปใส่ วันเกิดเหตุจำเลยทราบว่าผู้เสียหายจะไปเที่ยวจึงเข้าไปพบผู้เสียหายและพูดห้ามไม่ให้ผู้เสียหายไปเที่ยว ผู้เสียหายไม่ยอมจะไปให้ได้ จึงเกิดการโต้เถียงกันการที่จำเลยดึงเอาสร้อยคอทองคำดังกล่าวที่ผู้เสียหายใส่อยู่ขาดและเอาสร้อยคอไปด้วยความโมโหนั้นเจตนาของจำเลยเพียงแต่ไม่ต้องการให้ผู้เสียหายนำสร้อยคอทองคำใส่ติดตัวไปด้วยเท่านั้น จำเลยมิได้เอาสร้อยคอทองคำดังกล่าวไปโดยเจตนาทุจริตการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์หรือชิงทรัพย์
การที่จำเลยเข้าไปดึงสร้อยคอทองคำที่ผู้เสียหายใส่อยู่ขาดแล้วผลักผู้เสียหายเซไปถูกรถ ทำให้ผู้เสียหายมีบาดแผลโดนเล็บที่บริเวณหน้าอกแต่โลหิตไม่ไหล เป็นความผิดฐานทำร้ายผู้เสียหายโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย ซึ่งรวมการกระทำผิดฐานทำร้ายร่างกายอยู่ในตัวศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานทำร้ายร่างกายดังกล่าวได้.
การที่จำเลยเข้าไปดึงสร้อยคอทองคำที่ผู้เสียหายใส่อยู่ขาดแล้วผลักผู้เสียหายเซไปถูกรถ ทำให้ผู้เสียหายมีบาดแผลโดนเล็บที่บริเวณหน้าอกแต่โลหิตไม่ไหล เป็นความผิดฐานทำร้ายผู้เสียหายโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย ซึ่งรวมการกระทำผิดฐานทำร้ายร่างกายอยู่ในตัวศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานทำร้ายร่างกายดังกล่าวได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4441/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทุจริตในการเอาทรัพย์สินของผู้อื่นไป และความผิดฐานทำร้ายร่างกายเล็กน้อย
จำเลยกับผู้เสียหายอยู่กินฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรสและทำงานอยู่ที่โรงงานเดียวกัน จำเลยเป็นผู้ซื้อสร้อยคอทองคำให้ผู้เสียหาย บางครั้งจำเลยก็นำไปใส่ วันเกิดเหตุจำเลยทราบว่าผู้เสียหายจะไปเที่ยวจึงเข้าไปพบผู้เสียหายและพูดห้ามไม่ให้ผู้เสียหายไปเที่ยว ผู้เสียหายไม่ยอมจะไปให้ได้ จึงเกิดการโต้เถียงกัน การที่จำเลยดึงเอาสร้อยคอทองคำดังกล่าวที่ผู้เสียหายใส่อยู่ขาดและเอาสร้อยคอไปด้วยความโมโหนั้น เจตนาของจำเลยเพียงแต่ไม่ต้องการให้ผู้เสียหายนำสร้อยคอทองคำใส่ติดตัวไปด้วยเท่านั้น จำเลยมิได้เอาสร้อยคอทองคำดังกล่าวไปโดยเจตนาทุจริตการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์หรือชิงทรัพย์
การที่จำเลยเข้าไปดึงสร้อยคอทองคำที่ผู้เสียหายใส่อยู่ขาดแล้วผลักผู้เสียหายเซไปถูกรถ ทำให้ผู้เสียหายมีบาดแผลโดนเล็บที่บริเวณหน้าอกแต่โลหิตไม่ไหล เป็นความผิดฐานทำร้ายผู้เสียหายโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย ซึ่งรวมการกระทำผิดฐานทำร้ายร่างกายอยู่ในตัวศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานทำร้ายร่างกายดังกล่าวได้
การที่จำเลยเข้าไปดึงสร้อยคอทองคำที่ผู้เสียหายใส่อยู่ขาดแล้วผลักผู้เสียหายเซไปถูกรถ ทำให้ผู้เสียหายมีบาดแผลโดนเล็บที่บริเวณหน้าอกแต่โลหิตไม่ไหล เป็นความผิดฐานทำร้ายผู้เสียหายโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย ซึ่งรวมการกระทำผิดฐานทำร้ายร่างกายอยู่ในตัวศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานทำร้ายร่างกายดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4441/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์หรือไม่ และการเปลี่ยนแปลงข้อหาเป็นทำร้ายร่างกาย
จำเลยกับผู้เสียหายอยู่กินด้วยกันฉัน สามีภริยาและทำงานอยู่ที่เดียวกัน จำเลยเป็นผู้ซื้อสร้อยคอทองคำให้ผู้เสียหาย บางครั้งจำเลยก็นำไปใช้เอง วันเกิดเหตุจำเลยทราบว่าผู้เสียหายจะไปเที่ยวจึงได้ไปพูดห้ามปราม ผู้เสียหายไม่ยอมเชื่อ จึงเกิดการโต้เถียง กัน จำเลยโมโหจึงดึง สร้อยคอที่ผู้เสียหายใส่อยู่ขาดและเอาสร้อยนั้นไป แสดงว่าจำเลยเอาสร้อยไปเพื่อต้องการมิให้ผู้เสียหายนำสร้อยติดตัวไปด้วยเท่านั้น ถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตอันจะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์หรือชิงทรัพย์ จำเลยดึง สร้อยที่ผู้เสียหายใส่อยู่ขาดแล้วผลักผู้เสียหายเซ ไปผู้เสียหายมีบาดแผลเพราะโดน เล็บ ที่หน้าอกแต่โลหิตไม่ไหลเป็นความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย หรือจิตใจ ตาม ป.อ. มาตรา 391 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย ซึ่งรวมการกระทำผิดฐานทำร้ายร่างกายอยู่ในตัว ศาลย่อมลงโทษจำเลยในความผิดฐานทำร้ายร่างกายดังกล่าวได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4289/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คูเมืองเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน แม้มีการครอบครองนาน ก็ไม่เกิดกรรมสิทธิ์
คูเมืองเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1304(3) แม้จะมีสภาพเป็นที่ตกกล้า ทำนาหรือปลูกอาคารห้องแถวร้านค้า เป็นที่บ้านที่สวนตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จ ก็ยังคงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ผู้ใดจะครอบครองช้านานเพียงใด ย่อมไม่มีสิทธิครอบครองหรือได้กรรมสิทธิ์ ดังนั้น จำเลยจะยกระยะเวลาครอบครองขึ้นต่อสู้กับแผ่นดินในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหาได้ไม่
ตามพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุและพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พ.ศ. 2509 คูเมืองได้ขึ้นทะเบียนเป็นเขตโบราณสถานแต่กระทรวงการคลังก็ได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุไว้ด้วยดังนั้นคูเมืองจึงเป็นที่ราชพัสดุตามพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุพ.ศ.2518 มาตรา 4 กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ตามมาตรา 5 และมีอำนาจฟ้องขับไล่ผู้ครอบครองคูเมืองนั้นได้
ตามพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุและพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พ.ศ. 2509 คูเมืองได้ขึ้นทะเบียนเป็นเขตโบราณสถานแต่กระทรวงการคลังก็ได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุไว้ด้วยดังนั้นคูเมืองจึงเป็นที่ราชพัสดุตามพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุพ.ศ.2518 มาตรา 4 กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ตามมาตรา 5 และมีอำนาจฟ้องขับไล่ผู้ครอบครองคูเมืองนั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4289/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สาธารณสมบัติของแผ่นดิน: คูเมืองเป็นที่ราชพัสดุ แม้มีการครอบครองทำประโยชน์ ก็ไม่มีสิทธิในที่ดิน
คูเมืองเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 (3) แม้จะมีสภาพเป็นที่ตกกล้า ทำนาหรือปลูกอาคารห้องแถวร้านค้า เป็นที่บ้านที่สวนตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จ ก็ยังคงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินผู้ใดจะครอบครองช้านานเพียงใด ย่อมไม่มีสิทธิครอบครองหรือได้กรรมสิทธิ์ดังนั้น จำเลยจะยกระยะเวลาครอบครองขึ้นต่อสู้กับแผ่นดินในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหาได้ไม่
ตามพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุและพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พ.ศ. 2509 คูเมืองได้ขึ้นทะเบียนเป็นเขตโบราณสถานแต่กระทรวงการคลังก็ได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุไว้ด้วยดังนั้นคูเมืองจึงเป็นที่ราชพัสดุตามพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ.2518 มาตรา 4 กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ตามมาตรา 5 และมีอำนาจฟ้องขับไล่ผู้ครอบครองคูเมืองนั้นได้
ตามพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุและพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พ.ศ. 2509 คูเมืองได้ขึ้นทะเบียนเป็นเขตโบราณสถานแต่กระทรวงการคลังก็ได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุไว้ด้วยดังนั้นคูเมืองจึงเป็นที่ราชพัสดุตามพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ.2518 มาตรา 4 กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ตามมาตรา 5 และมีอำนาจฟ้องขับไล่ผู้ครอบครองคูเมืองนั้นได้