พบผลลัพธ์ทั้งหมด 521 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4260-4262/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปิดสาขาธุรกิจเงินทุนโดยไม่ได้รับอนุญาต และความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน: ศาลฎีกาแก้ไขการลงโทษกระทงความผิด
นับตั้งแต่วันที่ประกาศกระทรวงการคลัง ฉบับลงวันที่ 19 กันยายน 2519 เรื่อง กำหนดกิจการที่ต้องขออนุญาตตามข้อ 5 (7) แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 และประกาศกระทรวงการคลังฉบับลงวันที่ 19 กันยายน 2519 เรื่องกำหนดเงื่อนไขในการอนุญาตให้ประกอบกิจการที่ต้องขออนุญาต ฯ ใช้บังคับ บริษัทที่ประกอบธุรกิจเงินทุนจะต้องยื่นคำขอรับอนุญาตภายใน 60 วัน และจะมีสาขาไม่ได้เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังถ้าบริษัทใดมีสาขาอยู่แล้วและประสงค์จะมีสาขานั้นต่อไปก็ให้ยื่นคำขอรับอนุญาตไปพร้อมกันด้วย บริษัทจำเลยที่ 2 เปิดสาขาหลังจากวันที่ประกาศดังกล่าวใช้บังคับแล้วโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงมีความผิดตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 58 ข้อ 5 (7), 16
การที่โจทก์ร่วมและผู้มีชื่อเป็นผู้ช่วยผู้จัดการและผู้จัดการสาขาของบริษัทจำเลยที่ 2 หลงเชื่อในคำหลอกลวงของจำเลยจึงได้ร่วมกันเปิดกิจการสาขาของบริษัทจำเลยที่ 2 และชักชวนให้ประชาชนนำเงินมาฝากบริษัทจำเลยที่ 2 ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ร่วม ผู้มีชื่อ และประชาชนผู้นำเงินมาฝากมีส่วนร่วมกระทำความผิดและไม่ใช่ผู้เสียหาย
จำเลยฎีกาว่า การที่ผู้เสียหายนำเงินมาฝากเพราะเชื่อถือในบริษัทจำเลยที่ 2 จึงหาใช่มูลกรณีอันจะเป็นความผิดทางอาญาไม่ และบริษัทจำเลยที่ 2 ประกอบธุรกิจด้วยความบริสุทธิ์ มิได้หลอกลวงประชาชนจึงไม่มีความผิดเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินคนละ 5 ปีฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของจำเลยข้อนี้ไว้จึงไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ความผิดตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 ข้อ 5 (7), 16 ย่อมสำเร็จเมื่อจำเลยเปิดสาขาประกอบธุรกิจเงินทุนโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นคนละกรรมต่างหากจากความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน แม้โจทก์ไม่อุทธรณ์ฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขเฉพาะการปรับบทเรียงกระทงให้ถูกต้องได้เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
การที่โจทก์ร่วมและผู้มีชื่อเป็นผู้ช่วยผู้จัดการและผู้จัดการสาขาของบริษัทจำเลยที่ 2 หลงเชื่อในคำหลอกลวงของจำเลยจึงได้ร่วมกันเปิดกิจการสาขาของบริษัทจำเลยที่ 2 และชักชวนให้ประชาชนนำเงินมาฝากบริษัทจำเลยที่ 2 ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ร่วม ผู้มีชื่อ และประชาชนผู้นำเงินมาฝากมีส่วนร่วมกระทำความผิดและไม่ใช่ผู้เสียหาย
จำเลยฎีกาว่า การที่ผู้เสียหายนำเงินมาฝากเพราะเชื่อถือในบริษัทจำเลยที่ 2 จึงหาใช่มูลกรณีอันจะเป็นความผิดทางอาญาไม่ และบริษัทจำเลยที่ 2 ประกอบธุรกิจด้วยความบริสุทธิ์ มิได้หลอกลวงประชาชนจึงไม่มีความผิดเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินคนละ 5 ปีฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของจำเลยข้อนี้ไว้จึงไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ความผิดตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 ข้อ 5 (7), 16 ย่อมสำเร็จเมื่อจำเลยเปิดสาขาประกอบธุรกิจเงินทุนโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นคนละกรรมต่างหากจากความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน แม้โจทก์ไม่อุทธรณ์ฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขเฉพาะการปรับบทเรียงกระทงให้ถูกต้องได้เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4260-4262/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปิดสาขาธุรกิจเงินทุนโดยไม่ได้รับอนุญาต และความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน
นับตั้งแต่วันที่ประกาศกระทรวงการคลัง ฉบับลงวันที่ 19 กันยายน2519 เรื่อง กำหนดกิจการที่ต้องขออนุญาตตามข้อ 5(7) แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 และประกาศกระทรวงการคลังฉบับลงวันที่ 19 กันยายน 2519เรื่องกำหนดเงื่อนไขในการอนุญาตให้ประกอบกิจการที่ต้องขออนุญาต ฯ ใช้บังคับ บริษัทที่ประกอบธุรกิจเงินทุนจะต้องยื่นคำขอรับอนุญาตภายใน 60 วัน และจะมีสาขาไม่ได้เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังถ้าบริษัทใดมีสาขาอยู่แล้วและประสงค์จะมีสาขานั้นต่อไปก็ให้ยื่นคำขอรับอนุญาตไปพร้อมกันด้วย บริษัทจำเลยที่ 2 เปิดสาขาหลังจากวันที่ประกาศดังกล่าวใช้บังคับแล้วโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงมีความผิดตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 58 ข้อ 5(7),16
การที่โจทก์ร่วมและผู้มีชื่อเป็นผู้ช่วยผู้จัดการและผู้จัดการสาขาของบริษัทจำเลยที่ 2 หลงเชื่อในคำหลอกลวงของจำเลยจึงได้ร่วมกันเปิดกิจการสาขาของบริษัทจำเลยที่ 2 และชักชวนให้ประชาชนนำเงินมาฝากบริษัทจำเลยที่ 2 ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ร่วม ผู้มีชื่อ และประชาชนผู้นำเงินมาฝากมีส่วนร่วมกระทำความผิดและไม่ใช่ผู้เสียหาย
จำเลยฎีกาว่า การที่ผู้เสียหายนำเงินมาฝากเพราะเชื่อถือในบริษัทจำเลยที่ 2 จึงหาใช่มูลกรณีอันจะเป็นความผิดทางอาญาไม่ และบริษัทจำเลยที่ 2 ประกอบธุรกิจด้วยความบริสุทธิ์ มิได้หลอกลวงประชาชน จึงไม่มีความผิดเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินคนละ 5 ปีฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของจำเลยข้อนี้ไว้จึงไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ความผิดตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 ข้อ 5(7),16 ย่อมสำเร็จเมื่อจำเลยเปิดสาขาประกอบธุรกิจเงินทุนโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นคนละกรรมต่างหากจากความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน แม้โจทก์ไม่อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขเฉพาะการปรับบทเรียงกระทงให้ถูกต้องได้ เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
การที่โจทก์ร่วมและผู้มีชื่อเป็นผู้ช่วยผู้จัดการและผู้จัดการสาขาของบริษัทจำเลยที่ 2 หลงเชื่อในคำหลอกลวงของจำเลยจึงได้ร่วมกันเปิดกิจการสาขาของบริษัทจำเลยที่ 2 และชักชวนให้ประชาชนนำเงินมาฝากบริษัทจำเลยที่ 2 ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ร่วม ผู้มีชื่อ และประชาชนผู้นำเงินมาฝากมีส่วนร่วมกระทำความผิดและไม่ใช่ผู้เสียหาย
จำเลยฎีกาว่า การที่ผู้เสียหายนำเงินมาฝากเพราะเชื่อถือในบริษัทจำเลยที่ 2 จึงหาใช่มูลกรณีอันจะเป็นความผิดทางอาญาไม่ และบริษัทจำเลยที่ 2 ประกอบธุรกิจด้วยความบริสุทธิ์ มิได้หลอกลวงประชาชน จึงไม่มีความผิดเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินคนละ 5 ปีฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของจำเลยข้อนี้ไว้จึงไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ความผิดตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 ข้อ 5(7),16 ย่อมสำเร็จเมื่อจำเลยเปิดสาขาประกอบธุรกิจเงินทุนโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นคนละกรรมต่างหากจากความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน แม้โจทก์ไม่อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขเฉพาะการปรับบทเรียงกระทงให้ถูกต้องได้ เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4028/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อเท็จจริงจากความเห็นพนักงานสอบสวนไม่ผูกพันคดีแพ่ง ศาลไม่จำต้องยึดตามคำพิพากษาคดีอาญา
ความเห็นของพนักงานสอบสวนที่วินิจฉัยว่าเหตุเกิดขึ้นเป็นการสุดวิสัยนั้น ไม่ใช่ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา จึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามความเห็นของพนักงานสอบสวน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4028/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อเท็จจริงจากความเห็นพนักงานสอบสวน ไม่ผูกพันศาลในคดีแพ่ง หากไม่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญา
ความเห็นของพนักงานสอบสวนที่วินิจฉัยว่าเหตุเกิดขึ้น เป็นการสุดวิสัยนั้น ไม่ใช่ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏใน คำพิพากษาคดีส่วนอาญา จึงไม่ต้องด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๖ ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามความเห็นของพนักงานสอบสวน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4011/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งมอบการครอบครองที่ดินทำให้จำเลยได้สิทธิครอบครอง แม้มีสัญญาเพิ่มราคาภายหลัง โจทก์ฟ้องขับไล่จึงขาดอายุความ
โจทก์ทำสัญญาขายที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่าให้จำเลยและได้มอบที่พิพาทให้จำเลยเข้าครอบครองตั้งแต่วันทำสัญญาย่อมถือได้ว่ามีการส่งมอบการครอบครองให้แก่จำเลยแล้วจำเลยย่อมได้สิทธิครอบครองตั้งแต่วันทำสัญญาซื้อขายดังกล่าวแม้ต่อมาจะมีการทำสัญญาเพิ่มราคาที่ดิน แต่จำเลยไม่ได้ส่งมอบการครอบครองคืนโจทก์ สิทธิครอบครองในที่พิพาทยังเป็นของจำเลยอยู่ นับแต่วันทำสัญญาซื้อขายถึงวันฟ้องเกินกว่า 1ปี โจทก์จึงหมดสิทธิในที่พิพาท
การที่ศาลชั้นต้นตั้งประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์จำเลยตกลงทำสัญญากันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น หมายถึงสัญญาวางเงินมัดจำตามฟ้องโจทก์ ที่จำเลยให้การต่อสู้ว่าเกิดจากการข่มขู่เป็นโมฆียะ การที่โจทก์นำสืบว่าสัญญาซื้อขายฉบับก่อนสัญญาวางเงินมัดจำเป็นโมฆียะและสามีโจทก์บอกล้างแล้วเป็นการนำสืบนอกประเด็นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้.
การที่ศาลชั้นต้นตั้งประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์จำเลยตกลงทำสัญญากันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น หมายถึงสัญญาวางเงินมัดจำตามฟ้องโจทก์ ที่จำเลยให้การต่อสู้ว่าเกิดจากการข่มขู่เป็นโมฆียะ การที่โจทก์นำสืบว่าสัญญาซื้อขายฉบับก่อนสัญญาวางเงินมัดจำเป็นโมฆียะและสามีโจทก์บอกล้างแล้วเป็นการนำสืบนอกประเด็นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3854/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาลงโทษฐานชิงทรัพย์และมีอาวุธปืนโดยมิได้รับอนุญาต รวมถึงประเด็นการลดโทษและริบของกลาง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 ประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี จำคุก 18 ปี เพิ่มโทษตามมาตรา 93เป็นจำคุก 27 ปี มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯมาตรา 7,8 ทวิ,72,72 ทวิฐานมีอาวุธปืนจำคุก 1 ปี 6 เดือนฐานพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะจำคุกคนละ 6เดือน เป็นโทษจำคุก29 ปี ลดโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุก19 ปี 4 เดือน จำเลยอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 จำคุก 12 ปีเพิ่มโทษตามมาตรา 93เป็นจำคุก 18 ปี รวมกับโทษฐานมีอาวุธปืนพาอาวุธปืนติดตัวไปในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร เป็นจำคุก 20 ปี ไม่ได้ลดโทษให้แก่จำเลย เป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยโดยที่โจทก์มิได้อุทธรณ์ เป็นการไม่ถูกต้องศาลฎีกาพิพากษาแก้โดยลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกไว้ 13 ปี 4 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 โดยมิได้ระบุวรรคใด ยังไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาพิพากษาแก้โดยระบุวรรคให้ถูกต้อง
แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏในทางพิจารณาว่า เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมกับยึดอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนและกระสุนปืนจากจำเลยเป็นของกลางซึ่งเป็นทรัพย์ที่ผู้ใดมีไว้เป็นความผิดอันจะต้องริบเสียทั้งสิ้นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา32 ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มิได้กล่าวไว้ในฟ้องว่า ได้มีการยึดอาวุธปืนและกระสุนปืนเป็นของกลาง ทั้งมิได้มีคำขอให้ศาลสั่งริบ ศาลย่อมริบอาวุธปืนและกระสุนปืนดังกล่าวมิได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก. (วรรคสุดท้ายวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่8/2530).
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 โดยมิได้ระบุวรรคใด ยังไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาพิพากษาแก้โดยระบุวรรคให้ถูกต้อง
แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏในทางพิจารณาว่า เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมกับยึดอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนและกระสุนปืนจากจำเลยเป็นของกลางซึ่งเป็นทรัพย์ที่ผู้ใดมีไว้เป็นความผิดอันจะต้องริบเสียทั้งสิ้นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา32 ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มิได้กล่าวไว้ในฟ้องว่า ได้มีการยึดอาวุธปืนและกระสุนปืนเป็นของกลาง ทั้งมิได้มีคำขอให้ศาลสั่งริบ ศาลย่อมริบอาวุธปืนและกระสุนปืนดังกล่าวมิได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก. (วรรคสุดท้ายวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่8/2530).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3854/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาโทษอาญาที่ถูกต้อง การลดโทษ และการริบของกลางตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 ประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี จำคุก 18 ปี เพิ่มโทษตามมาตรา 93 เป็นจำคุก 27 ปี มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิฐานมีอาวุธปืนจำคุก 1 ปี 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะจำคุกคนละ 6 เดือน เป็นโทษจำคุก 29 ปี ลดโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก19 ปี 4 เดือน จำเลยอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 จำคุก 12 ปี เพิ่มโทษตามมาตรา 93 เป็นจำคุก 18 ปี รวมกับโทษฐานมีอาวุธปืนพาอาวุธปืนติดตัวไปในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร เป็นจำคุก 20 ปี ไม่ได้ลดโทษให้แก่จำเลย เป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยโดยที่โจทก์มิได้อุทธรณ์ เป็นการไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาพิพากษาแก้โดยลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกไว้ 13 ปี 4 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 โดยมิได้ระบุวรรคใด ยังไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาพิพากษาแก้โดยระบุวรรคให้ถูกต้อง
แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏในทางพิจารณาว่า เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมกับยึดอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนและกระสุนปืนจากจำเลยเป็นของกลางซึ่งเป็นทรัพย์ที่ผู้ใดมีไว้เป็นความผิดอันจะต้องริบเสียทั้งสิ้นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา32 ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มิได้กล่าวไว้ในฟ้องว่า ได้มีการยึดอาวุธปืนและกระสุนปืนเป็นของกลาง ทั้งมิได้มีคำขอให้ศาลสั่งริบ ศาลย่อมริบอาวุธปืนและกระสุนปืนดังกล่าวมิได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก.
(วรรคสุดท้ายวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 8/2530).
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 โดยมิได้ระบุวรรคใด ยังไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาพิพากษาแก้โดยระบุวรรคให้ถูกต้อง
แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏในทางพิจารณาว่า เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมกับยึดอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนและกระสุนปืนจากจำเลยเป็นของกลางซึ่งเป็นทรัพย์ที่ผู้ใดมีไว้เป็นความผิดอันจะต้องริบเสียทั้งสิ้นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา32 ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มิได้กล่าวไว้ในฟ้องว่า ได้มีการยึดอาวุธปืนและกระสุนปืนเป็นของกลาง ทั้งมิได้มีคำขอให้ศาลสั่งริบ ศาลย่อมริบอาวุธปืนและกระสุนปืนดังกล่าวมิได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก.
(วรรคสุดท้ายวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 8/2530).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3735/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคดีโดยไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการส่งสำเนาอุทธรณ์ ทำให้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นโมฆะ
ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ ให้โจทก์นำส่งสำเนาอุทธรณ์ภายใน 15 วัน มิฉะนั้นถือว่าทิ้งอุทธรณ์ พ้นกำหนดโจทก์ไม่นำส่ง ศาลชั้นต้นส่งสำนวนมาศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณาสั่งแต่ศาลอุทธรณ์กลับพิจารณาและพิพากษาคดีไป โดยมิได้มีคำสั่งเรื่องโจทก์มิได้นำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดจึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีไปโดยมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณา มาตรา 243(2) จำเลยฎีกา ศาลฎีกาจึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาและพิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3728/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปิดเผยข้อมูลสุขภาพในการทำประกันชีวิต สัญญาไม่เป็นโมฆียะหากโรคไม่ร้ายแรงหรือไม่เข้าข่ายที่ต้องแจ้ง
โรคต้อตาไม่ถือว่าเป็นอาการผิดปกติเกี่ยวกับตาที่มีอันตรายร้ายแรงถึงขนาดอนุมานได้ว่า ถ้า พ. ผู้เอาประกันชีวิตได้แจ้งเช่นนั้นแล้ว ผู้รับประกันชีวิตจะบอกปัดไม่รับประกันชีวิต หรือหากนายแพทย์ผู้ตรวจสุขภาพได้พบเห็นอาการโรคต้อตาแล้วจะเรียกเบี้ยประกันให้สูงขึ้นแม้พ. ซึ่งได้เข้ารับการผ่าตัดต้อตาที่โรงพยาบาลมาแล้ว ได้แถลงข้อเท็จจริงต่อนายแพทย์ผู้ตรวจสุขภาพว่าไม่เคยมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับตา ไม่เคยรับการรักษาตัวในโรงพยาบาลในฐานะคนไข้ในก็ไม่ทำให้สัญญาประกันชีวิตตกเป็นโมฆียะ
พ. ได้ทำสัญญาประกันชีวิตไว้กับบริษัท ม. มาก่อนแล้ว แต่ไม่ได้แจ้งให้จำเลยทราบว่าเคยได้รับการตรวจสุขภาพเพื่อทำประกันชีวิตมาก่อน และบริษัท ม. ได้รับทำสัญญาประกันชีวิตกับ พ.ไม่ปรากฏว่าถ้าพ. ได้ทำสัญญาประกันชีวิตไว้กับบริษัทม. แล้ว จำเลยจะไม่รับทำสัญญาประกันชีวิตกับ พ. อีก เหตุที่พ. ไม่แจ้งแก่นายแพทย์ผู้ตรวจสุขภาพทราบไม่ถือเป็นเหตุให้สัญญาประกันชีวิตตกเป็นโมฆียะ
พ. เคยเข้ารับการรักษาพยาบาลในฐานะคนไข้ใน มีอาการเจ็บที่ชายโครงขวา แพทย์ตรวจแล้ววินิจฉัยว่า อาจเป็นกล้ามเนื้ออักเสบ ซึ่งไม่อยู่ในรายการที่ต้องแถลงให้นายแพทย์ผู้ตรวจสุขภาพทราบ เมื่อนายแพทย์ผู้ตรวจรักษาและ พ. ต่างไม่ทราบว่าพ.ป่วยเป็นโรคมะเร็งในตับมาก่อนจึงฟังไม่ได้ว่าพ. ไม่เปิดเผยข้อความจริงเกี่ยวกับโรคมะเร็งในตับซึ่งตนได้รู้มาก่อนอันจะเป็นเหตุให้จำเลยบอกปัดไม่ยอมทำสัญญาประกันชีวิต กรมธรรม์ประกันชีวิตที่จำเลยรับประกันชีวิต พ.จึงสมบูรณ์.
พ. ได้ทำสัญญาประกันชีวิตไว้กับบริษัท ม. มาก่อนแล้ว แต่ไม่ได้แจ้งให้จำเลยทราบว่าเคยได้รับการตรวจสุขภาพเพื่อทำประกันชีวิตมาก่อน และบริษัท ม. ได้รับทำสัญญาประกันชีวิตกับ พ.ไม่ปรากฏว่าถ้าพ. ได้ทำสัญญาประกันชีวิตไว้กับบริษัทม. แล้ว จำเลยจะไม่รับทำสัญญาประกันชีวิตกับ พ. อีก เหตุที่พ. ไม่แจ้งแก่นายแพทย์ผู้ตรวจสุขภาพทราบไม่ถือเป็นเหตุให้สัญญาประกันชีวิตตกเป็นโมฆียะ
พ. เคยเข้ารับการรักษาพยาบาลในฐานะคนไข้ใน มีอาการเจ็บที่ชายโครงขวา แพทย์ตรวจแล้ววินิจฉัยว่า อาจเป็นกล้ามเนื้ออักเสบ ซึ่งไม่อยู่ในรายการที่ต้องแถลงให้นายแพทย์ผู้ตรวจสุขภาพทราบ เมื่อนายแพทย์ผู้ตรวจรักษาและ พ. ต่างไม่ทราบว่าพ.ป่วยเป็นโรคมะเร็งในตับมาก่อนจึงฟังไม่ได้ว่าพ. ไม่เปิดเผยข้อความจริงเกี่ยวกับโรคมะเร็งในตับซึ่งตนได้รู้มาก่อนอันจะเป็นเหตุให้จำเลยบอกปัดไม่ยอมทำสัญญาประกันชีวิต กรมธรรม์ประกันชีวิตที่จำเลยรับประกันชีวิต พ.จึงสมบูรณ์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3728/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปิดเผยข้อเท็จจริงในสัญญาประกันชีวิต: โรคประจำตัวที่ไม่ร้ายแรงและอาการเจ็บป่วยก่อนทำสัญญาไม่ทำให้สัญญาเป็นโมฆียะ
โรคต้อตาไม่ถือว่าเป็นอาการผิดปกติเกี่ยวกับตาที่มีอันตรายร้ายแรงถึงขนาดอนุมานได้ว่า ถ้า พ. ผู้เอาประกันชีวิตได้แจ้งเช่นนั้นแล้ว ผู้รับประกันชีวิตจะบอกปัดไม่รับประกันชีวิต หรือหากนายแพทย์ผู้ตรวจสุขภาพได้พบเห็นอาการโรคต้อตาแล้วจะเรียกเบี้ยประกันให้สูงขึ้น แม้ พ. ซึ่งได้เข้ารับการผ่าตัดต้อตาที่โรงพยาบาลมาแล้ว ได้แถลงข้อเท็จจริงต่อนายแพทย์ผู้ตรวจสุขภาพว่าไม่เคยมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับตา ไม่เคยรับการรักษาตัวในโรงพยาบาลในฐานะคนไข้ในก็ไม่ทำให้สัญญาประกันชีวิตตกเป็นโมฆียะ
พ. ได้ทำสัญญาประกันชีวิตไว้กับบริษัท ม. มาก่อนแล้ว แต่ไม่ได้แจ้งให้จำเลยทราบว่าเคยได้รับการตรวจสุขภาพเพื่อทำประกันชีวิตมาก่อน และบริษัท ม. ได้รับทำสัญญาประกันชีวิตกับ พ. ไม่ปรากฏว่าถ้า พ. ได้ทำสัญญาประกันชีวิตไว้กับบริษัท ม. แล้ว จำเลยจะไม่รับทำสัญญาประกันชีวิตกับ พ. อีก เหตุที่พ. ไม่แจ้งแก่นายแพทย์ผู้ตรวจสุขภาพทราบไม่ถือเป็นเหตุให้สัญญาประกันชีวิตตกเป็นโมฆียะ
พ. เคยเข้ารับการรักษาพยาบาลในฐานะคนไข้ใน มีอาการเจ็บที่ชายโครงขวา แพทย์ตรวจแล้ววินิจฉัยว่า อาจเป็นกล้ามเนื้ออักเสบ ซึ่งไม่อยู่ในรายการที่ต้องแถลงให้นายแพทย์ผู้ตรวจสุขภาพทราบ เมื่อนายแพทย์ผู้ตรวจรักษาและ พ. ต่างไม่ทราบว่า พ. ป่วยเป็นโรคมะเร็งในตับมาก่อน จึงฟังไม่ได้ว่า พ. ไม่เปิดเผยข้อความจริงเกี่ยวกับโรคมะเร็งในตับซึ่งตนได้รู้มาก่อนอันจะเป็นเหตุให้จำเลยบอกปัดไม่ยอมทำสัญญาประกันชีวิต กรมธรรม์ประกันชีวิตที่จำเลยรับประกันชีวิต พ.จึงสมบูรณ์.
พ. ได้ทำสัญญาประกันชีวิตไว้กับบริษัท ม. มาก่อนแล้ว แต่ไม่ได้แจ้งให้จำเลยทราบว่าเคยได้รับการตรวจสุขภาพเพื่อทำประกันชีวิตมาก่อน และบริษัท ม. ได้รับทำสัญญาประกันชีวิตกับ พ. ไม่ปรากฏว่าถ้า พ. ได้ทำสัญญาประกันชีวิตไว้กับบริษัท ม. แล้ว จำเลยจะไม่รับทำสัญญาประกันชีวิตกับ พ. อีก เหตุที่พ. ไม่แจ้งแก่นายแพทย์ผู้ตรวจสุขภาพทราบไม่ถือเป็นเหตุให้สัญญาประกันชีวิตตกเป็นโมฆียะ
พ. เคยเข้ารับการรักษาพยาบาลในฐานะคนไข้ใน มีอาการเจ็บที่ชายโครงขวา แพทย์ตรวจแล้ววินิจฉัยว่า อาจเป็นกล้ามเนื้ออักเสบ ซึ่งไม่อยู่ในรายการที่ต้องแถลงให้นายแพทย์ผู้ตรวจสุขภาพทราบ เมื่อนายแพทย์ผู้ตรวจรักษาและ พ. ต่างไม่ทราบว่า พ. ป่วยเป็นโรคมะเร็งในตับมาก่อน จึงฟังไม่ได้ว่า พ. ไม่เปิดเผยข้อความจริงเกี่ยวกับโรคมะเร็งในตับซึ่งตนได้รู้มาก่อนอันจะเป็นเหตุให้จำเลยบอกปัดไม่ยอมทำสัญญาประกันชีวิต กรมธรรม์ประกันชีวิตที่จำเลยรับประกันชีวิต พ.จึงสมบูรณ์.