คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สมบูรณ์ ฤกษ์สำราญ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 263 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2091/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ร่วมกันพยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน การกระทำความผิดและบทบาทของผู้ขับรถ
จำเลยขับรถยนต์กระบะให้ ม. นั่งที่กระบะรถไปจอดดัก รออยู่ที่สถานีบริการน้ำมัน พอ อ. ขับรถยนต์นั่งผ่านมา จำเลยก็ขับรถตามรถยนต์ของ อ. ไป แล้วขับแซง ขึ้นหน้าให้ ม. ใช้อาวุธปืนยิงไปยังรถที่ อ. ขับกระสุนปืนถูก ก. ซึ่งนั่งอยู่ในรถที่คอเส้นโลหิตดำขาด จากนั้นจำเลยหยุดรถให้ ม. หนีไป พฤติการณ์แสดงว่าจำเลยร่วมกับ ม. กระทำการโดยไตร่ตรอง ไว้ก่อน เมื่อ ก.ไม่ถึงแก่ความตายเพราะแพทย์รักษาได้ทันท่วงที จำเลยจึงมีความผิดฐานเป็นตัวการพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรอง ไว้ก่อนและในกรณีเช่นนี้ต้องถือว่ารถยนต์กระบะเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิด ซึ่งศาลมีอำนาจสั่งริบได้ตาม ป.อ. มาตรา 33 ที่ศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 288,289,80,83 นั้น เห็นว่าเมื่อปรับบทลงโทษตามมาตรา 289 แล้ว ไม่จำต้องปรับบทลงโทษตามมาตรา 288 อีก.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2091/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้รถยนต์กระบะเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่น และอำนาจการสั่งริบของศาล
จำเลยร่วมกับ ม.วางแผนฆ่าผู้เสียหายโดยใช้รถยนต์กระบะไปดักรอผู้เสียหายที่สถานีบริการน้ำมันและขับรถดังกล่าวตามรถผู้เสียหายไป แล้ว ม. ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายขณะรถยนต์กระบะกำลังแซงรถของผู้เสียหายขึ้นไป ดังนี้รถยนต์กระบะดังกล่าวจึงเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิด ศาลมีอำนาจสั่งริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33
เมื่อศาลปรับบทลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289แล้ว ก็ไม่จำต้องปรับบทลงโทษตามมาตรา 288 อีก.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2080/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำในประเด็นที่ศาลชี้ขาดแล้ว ต้องห้ามตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและแพ่ง
ผู้ประกันยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นไม่ให้ลดค่าปรับเมื่อพ้นกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา198 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ คำสั่งของศาลชั้นต้นเกี่ยวกับคำร้องของผู้ประกันในกรณีดังกล่าวถึงที่สุดแล้วผู้ประกันยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นลดค่าปรับโดยอ้างเหตุเดิมอีก จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำในประเด็นที่ศาลชั้นต้นได้มีคำวินิจฉยชี้ขาดไปแล้ว ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 ประกอบกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15 ดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำร้องของผู้ประกันฉบับหลังว่า ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม และผู้ประกันอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวขึ้นมา ศาลอุทธรณ์ก็ไม่มีอำนาจที่จะรับวินิจฉัยให้ ที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยมานั้นเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2080/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นคำร้องซ้ำในประเด็นที่ศาลตัดสินแล้ว ถือเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำที่กฎหมายห้าม
ผู้ประกันยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นไม่ให้ลดค่าปรับ เมื่อพ้นกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ คำสั่งของศาลชั้นต้นเกี่ยวกับคำร้องของผู้ประกันในกรณีดังกล่าวถึงที่สุดแล้วผู้ประกันยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นลดค่าปรับโดยอ้างเหตุเดิมอีก จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำในประเด็นที่ศาลชั้นต้นได้มีคำวินิจฉยชี้ขาดไปแล้ว ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 ประกอบกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำร้องของผู้ประกันฉบับหลังว่า ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม และผู้ประกันอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวขึ้นมา ศาลอุทธรณ์ก็ไม่มีอำนาจที่จะรับวินิจฉัยให้ ที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยมานั้นเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2080/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กระบวนการพิจารณาซ้ำในประเด็นที่ศาลเคยมีคำวินิจฉัยชี้ขาดแล้ว เป็นการกระทำที่ต้องห้ามตามกฎหมาย
ผู้ประกันยื่นคำร้องขอให้ศาลลดค่าปรับตามสัญญาประกันโดยอ้างว่าได้พยายามติดตามตัวจำเลยและขอส่งตัวจำเลยต่อศาลศาลชั้นต้นไม่ลดค่าปรับให้ ผู้ประกันอุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์เพราะยื่นเกินกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ คำร้องขอลดค่าปรับจึงถึงที่สุด ผู้ประกันมายื่นคำร้องขอให้ศาลลดค่าปรับตามสัญญาประกันโดยอ้างเหตุผลอย่างเดียวกันอีก จึงเป็นกระบวนพิจารณาซ้ำในประเด็นที่มีคำวินิจฉัยชี้ขาดไปแล้ว ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144 ประกอบป.วิ.อ. มาตรา 15.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2012/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำฟ้องเพิ่มเติมข้อเท็จจริงเรื่องความเป็นมาของเช็ค ไม่ถือเป็นการแก้ไขคำฟ้องในสาระสำคัญ แต่ฟ้องขาดอายุความ
คำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์ขอเพิ่มเติมคำฟ้องเป็นใจความว่า ก่อนนำเช็คพิพาทมาฟ้อง โจทก์ได้นำเช็คพิพาทกับเช็คอีกฉบับหนึ่งไปฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาแล้ว ต่อมาโจทก์ถอนฟ้องคดีอาญา เนื่องจากจำเลยตกลงขอผ่อนชำระหนี้ตามเช็ค จำเลยได้ชำระหนี้ตามเช็คอีกฉบับหนึ่งให้โจทก์แล้ว แต่จำเลยมิได้ผ่อนชำระหนี้ตามเช็คพิพาทให้โจทก์กรณีหาใช่เป็นเรื่องแก้ไขคำฟ้องโดยเพิ่มหรือลดจำนวนทุนทรัพย์หรือเพิ่มเติมฟ้องเดิมให้สมบูรณ์ โดยวิธีเสนอคำฟ้องเพิ่มเติมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 179(1)(2) ไม่ แต่เป็นการเพิ่มเติมรายละเอียดเกี่ยวกับความเป็นมาของเช็คพิพาท จึงไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องขอแก้ไขในระยะเวลาที่กำหนดไว้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 180
จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทลงวันที่ 24 สิงหาคม 2527 เมื่อเช็คพิพาทถึงกำหนด โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงได้นำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน เมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องเรียกให้จำเลยรับผิดใช้เงินตามเช็คในวันที่ 27 สิงหาคม2528 ซึ่งพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันเช็คถึงกำหนดแล้ว คดีของโจทก์จึงขาดอายุความ.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1970/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ร่วมกันฉ้อโกงโดยใช้เอกสารปลอม: การแบ่งหน้าที่ชัดเจนบ่งชี้ตัวการ
น. กู้เงินผู้เสียหายโดย ส. ใช้หนังสือรับรองการทำประโยชน์ของ ส. ซึ่งเป็นเอกสารปลอมไปค้ำประกันหนี้เงินกู้ แม้จำเลยจะมิได้ร่วมไปบ้านผู้เสียหายในวันทำสัญญากู้ แต่ทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยร่วมกับ น. และ ส. มาแต่ต้นในลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำ โดยในวันเกิดเหตุจำเลยพา น. และ ส. ไปพบ ว.เพื่อให้พาบุคคลทั้งสองไปพบผู้เสียหาย ส่วนจำเลยรออยู่เพื่อคอยรับเงินส่วนแบ่งจาก น. พฤติการณ์ดังกล่าวฟังได้ว่าจำเลยเป็นตัวการใช้เอกสารปลอมด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1970/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ร่วมกันฉ้อโกงโดยใช้เอกสารปลอม: การแบ่งหน้าที่และความรับผิดของตัวการ
น. กู้เงินผู้เสียหายโดย ส. ใช้หนังสือรับรองการทำประโยชน์ของส.ซึ่งเป็นเอกสารปลอมไปค้ำประกันหนี้เงินกู้แม้จำเลยจะมิได้ร่วมไปบ้านผู้เสียหายในวันทำสัญญากู้ แต่ทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยร่วมกับ น. และ ส. มาแต่ต้นในลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำ โดยในวันเกิดเหตุจำเลยพา น. และ ส.ไปพบว.เพื่อให้พาบุคคลทั้งสองไปพบผู้เสียหาย ส่วนจำเลยรออยู่เพื่อคอยรับเงินส่วนแบ่งจาก น. พฤติการณ์ดังกล่าวฟังได้ว่าจำเลยเป็นตัวการใช้เอกสารปลอมด้วย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1936/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำฟ้องต้องไม่เปลี่ยนที่ดินพิพาทเป็นแปลงอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม มิฉะนั้นศาลไม่อนุญาต
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องมีผลเป็นการสั่งไม่รับคำคู่ความ แม้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในระหว่างพิจารณา โจทก์ก็มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งได้ภายใน 1 เดือน นับแต่วันมีคำสั่ง
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องศาลอุทธรณ์ยกอุทธรณ์โจทก์โดยให้เหตุผลว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ เมื่อโจทก์ฎีกาและศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงในสำนวนพอแก่การวินิจฉัยศาลฎีกาย่อมวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวไปเสียทีเดียวว่าจะอนุญาตให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมฟ้องได้หรือไม่
โจทก์ฟ้องในฐานะผู้จัดการมรดกว่า จำเลยนำที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 97 เนื้อที่ 29 ไร่ ตามบัญชีทรัพย์อันดับ 23 ของเจ้ามรดกไปออกเป็น น.ส.3 ก. เลขที่ 603 เป็นของจำเลยเป็นส่วนตัว และขอแก้ไขคำฟ้องจากที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 97 ฯ เป็นที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 55 หมู่ที่ 6 เนื้อที่ 36 ไร่ ตามบัญชีทรัพย์อันดับ 3 ซึ่งเป็นของ ก. เป็นการขอแก้เป็นที่ดินต่างแปลงกันและเป็นที่ดินของบุคคลอื่นจึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1936/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำฟ้อง, ผลกระทบต่อการรับคำคู่ความ, สิทธิอุทธรณ์, การวินิจฉัยของศาลฎีกา
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องมีผลเป็นการสั่งไม่รับคำคู่ความ แม้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในระหว่างพิจารณา โจทก์ก็มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งได้ภายใน 1 เดือนนับแต่วันมีคำสั่ง
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องศาลอุทธรณ์ยกอุทธรณ์โจทก์โดยให้เหตุผลว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ เมื่อโจทก์ฎีกาและศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงในสำนวนพอแก่การวินิจฉัยศาลฎีกาย่อมวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวไปเสียทีเดียวว่าจะอนุญาตให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมฟ้องได้หรือไม่
โจทก์ฟ้องในฐานะผู้จัดการมรดกว่า จำเลยนำที่ดินตาม น.ส.3เลขที่ 97 เนื้อที่ 29 ไร่ ตามบัญชีทรัพย์อันดับ 23 ของเจ้ามรดกไปออกเป็น น.ส.3 ก. เลขที่ 603 เป็นของจำเลยเป็นส่วนตัวและขอแก้ไขคำฟ้องจากที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 97ฯ เป็นที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 55 หมู่ที่ 6 เนื้อที่ 36 ไร่ ตามบัญชีทรัพย์อันดับ 3 ซึ่งเป็นของ ก. เป็นการขอแก้เป็นที่ดินต่างแปลงกันและเป็นที่ดินของบุคคลอื่นจึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม.
of 27