พบผลลัพธ์ทั้งหมด 263 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3246/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ตามการอุทธรณ์จำกัด
ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณา แล้วสืบพยานโจทก์และพิพากษาให้โจทก์ได้รับชำระหนี้เต็มตามฟ้อง จำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ยกคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้นแล้วให้พิจารณาคดีใหม่เท่านั้น ดังนี้ การที่ศาลอุทธรณ์พิจารณาก้าวล่วงไปถึงจำนวนหนี้แล้วพิพากษาให้จำเลยรับผิดน้อยลง โดยจำเลยมิได้อุทธรณ์ขึ้นมา จึงเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3246/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์จำกัดขอบเขต ศาลอุทธรณ์แก้ไขจำนวนหนี้เกินขอบเขตที่อุทธรณ์
ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณา แล้วสืบพยานโจทก์และพิพากษาให้โจทก์ได้รับชำระหนี้เต็มตามฟ้อง จำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ยกคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้นแล้วให้พิจารณาคดีใหม่เท่านั้น ดังนี้การที่ศาลอุทธรณ์พิจารณาก้าวล่วงไปถึงจำนวนหนี้แล้วพิพากษาให้จำเลยรับผิดน้อยลง โดยจำเลยมิได้อุทธรณ์ขึ้นมาจึงเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3231/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตรวจค้นรถและการกล่าวหาตำรวจกลั่นแกล้ง: ศาลยกฟ้องข้อหาขัดขวางการปฏิบัติงาน ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน และไม่แจ้งชื่อ
เจ้าพนักงานตำรวจขอตรวจค้นรถของจำเลย ครั้งแรกจำเลยไม่ยอมให้ค้นเนื่องจากเกรงว่าตำรวจจะกลั่นแกล้งเพราะเหตุที่เคยมีสาเหตุกับตำรวจนั้นมาก่อนในที่สุดจำเลยยอมให้ค้นดังนี้ เห็นได้ว่าจำเลยขาดเจตนาต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา138
การที่จำเลยว่าตำรวจจะเอาของผิดกฎหมายใส่รถจำเลย ตำรวจจะรุททำร้ายจำเลย ไม่แน่ใจว่าเป็นตำรวจ ตำรวจแต่งเครื่องแบบปล้นก็มี เป็นการกล่าวเพราะเชื่อโดยสุจริตว่าจำเลยถูกตำรวจกลั่นแกล้ง เนื่องจากตำรวจหาเหตุมาหยุดรถและค้นรถของจำเลยโดยเฉพาะ การที่จำเลยกล่าวถ้อยคำเช่นนั้นจึงเป็นการปกป้องตนเอง มิให้ตำรวจกระทำการดังกล่าว การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136
ตำรวจรู้จักชื่อและที่อยู่จำเลยแล้วเพราะเคยไปค้นบ้านจำเลยมาก่อน ไม่มีความจำเป็นอย่างไรที่จะต้องถามชื่อและที่อยู่จำเลยอีก การที่จำเลยมิได้แจ้งชื่อและที่อยู่ตามที่ตำรวจถาม จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 367.(ที่มา-ส่งเสริม)
การที่จำเลยว่าตำรวจจะเอาของผิดกฎหมายใส่รถจำเลย ตำรวจจะรุททำร้ายจำเลย ไม่แน่ใจว่าเป็นตำรวจ ตำรวจแต่งเครื่องแบบปล้นก็มี เป็นการกล่าวเพราะเชื่อโดยสุจริตว่าจำเลยถูกตำรวจกลั่นแกล้ง เนื่องจากตำรวจหาเหตุมาหยุดรถและค้นรถของจำเลยโดยเฉพาะ การที่จำเลยกล่าวถ้อยคำเช่นนั้นจึงเป็นการปกป้องตนเอง มิให้ตำรวจกระทำการดังกล่าว การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136
ตำรวจรู้จักชื่อและที่อยู่จำเลยแล้วเพราะเคยไปค้นบ้านจำเลยมาก่อน ไม่มีความจำเป็นอย่างไรที่จะต้องถามชื่อและที่อยู่จำเลยอีก การที่จำเลยมิได้แจ้งชื่อและที่อยู่ตามที่ตำรวจถาม จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 367.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3053/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษความผิดอาญาหลายกระทง: ปืนและปล้นทรัพย์ ศาลอุทธรณ์และฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ตรี เป็นบทบัญญัติที่เพิ่มโทษของความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 มาตรา 339 ทวิ มาตรา 340 หรือมาตรา 340 ทวิ ส่วนความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ มาตรา 7และมาตรา 8 ทวิ นั้น เป็นความผิดต่างกรรมกัน ซึ่งประมวลกฎมายอาญามาตรา 91 บัญญัติให้ศาลลงโทษทุกกรรมเป็นกระทง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3053/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มโทษอาญาและการลงโทษความผิดต่างกรรมกัน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการลงโทษทั้งสองกรรมเป็นไปตามกฎหมาย
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 ตรี เป็นบทบัญญัติที่เพิ่มโทษของความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 มาตรา 339 ทวิมาตรา 340 หรือมาตรา 340 ทวิ ส่วนความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯมาตรา 7 และมาตรา 8 ทวินั้น เป็นความผิดต่างกรรมกัน ซึ่งประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 บัญญัติให้ศาลลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3053/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มโทษอาญาและบทบัญญัติความผิดต่างกรรมกัน ศาลลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงได้
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ตรี เป็นบทบัญญัติที่เพิ่มโทษของความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 มาตรา 339 ทวิ มาตรา 340 หรือมาตรา 340 ทวิ ส่วนความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ มาตรา 7 และมาตรา 8 ทวิ นั้น เป็นความผิดต่างกรรมกัน ซึ่งประมวลกฎมายอาญามาตรา 91 บัญญัติให้ศาลลงโทษทุกกรรมเป็นกระทง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2976/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พฤติกรรมเตรียมสตาร์ทรถจักรยานยนต์หลังไขกุญแจ ถือเป็นความผิดฐานพยายามลักทรัพย์
จำเลยใช้กุญแจไขล็อกคอรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายซึ่ง ธ. นำมาจอดไว้ที่หน้าร้านอาหาร แล้วได้นำนายหัวเทียนต่อเพื่อให้กระแสไฟผ่านได้ตลอดพร้อมที่จะสตาร์ตเครื่อง แต่ ธ. มาพบและขัดขวางเสียก่อน จำเลยจึงไม่้สามารถนำรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปได้ การกระทำของจำเลยเป็นเพียงความผิดฐานพยายามลักทรัพย์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2976/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพยายามลักทรัพย์: การกระทำเชื่อมต่อสายไฟและใช้กุญแจไขล็อกคอรถจักรยานยนต์เข้าข่ายความผิดฐานพยายามลักทรัพย์
จำเลยใช้กุญแจไขล็อกคอรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายซึ่ง ธ.นำมาจอดไว้ที่หน้าร้านอาหาร แล้วได้นำสายหัวเทียนต่อเพื่อให้กระแสไฟฟ้าผ่านได้ตลอดพร้อมที่จะสตาร์ทเครื่อง แต่ ธ. มาพบและขัดขวางเสียก่อนจำเลยจึงไม่สามารถนำรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปได้ การกระทำของจำเลยเป็นเพียงความผิดฐานพยายามลักทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2976/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พฤติการณ์เตรียมสตาร์ทรถหลังไขกุญแจ ถือเจตนาลักทรัพย์ แม้ยังไม่สำเร็จ
จำเลยใช้กุญแจไขล็อกคอรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายซึ่งธ. นำมาจอกไว้ที่หน้าร้านอาหาร แล้วได้นำนายหัวเทียนต่อเพื่อให้กระแสไฟผ่านได้ตลอดพร้อมที่จะสตาร์ตเครื่อง แต่ ธ.มาพบและขัดขวางเสียก่อนSจำเลยจึงไม่้สามารถนำรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปได้ การกระทำของจำเลยเป็นเพียงความผิดฐานพยายามลักทรัพย์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2709/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวที่พอสมควรแก่เหตุ เมื่อถูกทำร้ายก่อน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยไปพบผู้เสียหายที่บ้านเพียงแต่ต้องการทวงบุตรคืนจากผู้เสียหายที่นำมาช่วยเลี้ยงให้ในฐานะที่เป็นพี่น้องกัน เมื่อผู้เสียหายไม่ยอมคืนให้จึงเกิดทะเลาะกันขึ้นจำเลยด่าผู้เสียหายและบอกว่าจะไปแจ้งความแล้วหันหลังเดินออกจากบ้านผู้เสียหายทันที แสดงว่าจำเลยไม่ประสงค์จะทะเลาะกับผู้เสียหายต่อไปแล้ว เรื่องก็น่าจะยุติเพียงเท่านั้น การที่ผู้เสียหายถือไม้ไผ่ผ่าซีกยาว 1 ศอกเศษวิ่งไล่ตามไปตีจำเลยอีก จึงเป็นฝ่ายลงมือก่อเหตุขึ้นก่อนเมื่อจำเลยชักมีดปลายแหลมซึ่งเป็นมีดแกะปลาหมึกเล็กๆที่ติดตัวไว้ใช้งานออกมากวัดแกว่งและร้องห้ามผู้เสียหายว่าอย่าเข้ามา อันแสดงถึงเจตนาป้องกันตัว ไม่ประสงค์จะทำร้ายผู้เสียหายก่อน แต่ผู้เสียหายคิดว่าจำเลยไม่กล้าแทงจึงเข้าไปตีจำเลย จำเลยจึงใช้มีดแทง 1 ที ถูกที่หัวไหล่ซ้ายแล้วไม่ได้แทงอีก เมื่อผู้เสียหายตีจำเลยซ้ำอีก 1 ทีถูกแขนซ้ายอย่างแรงจำเลยก็แทงสวนไปอีก 1 ที ถูกที่ใต้รักแร้ด้านซ้าย แล้วจำเลยโยนมีดทิ้งดังนี้เป็นการบ่งชี้ให้เห็นว่าจำเลยจะแทงก็ต่อเมื่อถูกผู้เสียหายตีก่อนเท่านั้นและแทงเพียง 1 ครั้งต่อการถูกตี 1 ที การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตนให้พ้นอันตรายที่เกิดจากผู้เสียหายใช้ไม้ตีซึ่งเป็นการประทุษร้ายอันละเมิดกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ทั้งจำเลยได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุ จึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยไม่มีความผิด.