พบผลลัพธ์ทั้งหมด 482 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3873/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: ประเด็นกรรมสิทธิ์ที่ดินที่เคยมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว แม้ผู้รับโอนสิทธิใหม่ ก็ถือเป็นฟ้องซ้ำ
คดีก่อนโจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับ ส. และพวกยกกรรมสิทธิ์ที่ดินมีโฉนดเนื้อที่79 ตารางวา ให้แก่โจทก์ ศาลพิพากษาถึงที่สุดว่าที่ดินตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ตั้งแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ได้แสดงเจตนารับประโยชน์ตามสัญญาและครอบครองตลอดมาเกินกว่า10 ปีแล้ว โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ต่อมาโจทก์มาฟ้องจำเลยในคดีนี้อีกโดยอาศัยเหตุว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงเดียวกันกับคดีเดิมซึ่งมีเนื้อที่ดินทั้งหมด 114.4 ตารางวา โจทก์ฟ้องเรียกในคดีเดิม 79 ตารางวายังขาดอีก 35.4 ตารางวา จำเลยที่ 1 โอนที่ดินส่วนของโจทก์ดังกล่าวให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งเจ็ดดำเนินการรังวัดแบ่งแยกที่ดินให้แก่โจทก์ ดังนี้ประเด็นสำคัญในคดีก่อนกับคดีนี้คือที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือไม่มีจำนวนเท่าใด คดีก่อนศาลได้วินิจฉัยโดยอาศัยสัญญาประนีประนอมยอมความและการครอบครองปรปักษ์จนโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินคดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์จะกลับมารื้อร้องฟ้องจำเลยที่ 1ถึงที่ 7 ในคดีนี้ในประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันอีกไม่ได้ แม้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 จะมิได้เป็นคู่ความในคดีก่อน แต่ก็เป็นผู้สืบสิทธิมาจากจำเลยที่ 1 ถือได้ว่าเป็นคู่ความเดียวกับคดีนี้ จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อนต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3873/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: โจทก์ฟ้องเรียกที่ดินส่วนที่เหลือจากสัญญาประนีประนอมยอมความเดิม คดีถึงที่สุดแล้ว ศาลพิพากษายกฟ้อง
คดีก่อนโจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับ ส. และพวกยกกรรมสิทธิ์ที่ดินมีโฉนดเนื้อที่ 79 ตารางวาให้แก่โจทก์ ศาลพิพากษาถึงที่สุดว่าที่ดินตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ตั้งแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ได้แสดงเจตนารับประโยชน์ตามสัญญาและครอบครองตลอดมาเกินกว่า 10 ปีแล้ว โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ต่อมาโจทก์มาฟ้องจำเลยในคดีนี้อีกโดยอาศัยเหตุว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงเดียวกันกับคดีเดิมซึ่งมีเนื้อที่ดินทั้งหมด 114.4 ตารางวา โจทก์ฟ้องเรียกในคดีเดิม 79 ตารางวา ยังขาดอีก 35.4 ตารางวา จำเลยที่ 1 โอนที่ดินส่วนของโจทก์ดังกล่าวให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งเจ็ดดำเนินการรังวัดแบ่งแยกที่ดินให้แก่โจทก์ ดังนี้ประเด็นสำคัญในคดีก่อนกับคดีนี้คือที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือไม่ มีจำนวนเท่าใด คดีก่อนศาลได้วินิจฉัยโดยอาศัยสัญญาประนีประนอมยอมความและการครอบครองปรปักษ์จนโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดิน คดีถึงที่สุดแล้วโจทก์จะกลับมารื้อร้องฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 ในคดีนี้ในประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันอีกไม่ได้ แม้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 จะมิได้เป็นคู่ความในคดีก่อน แต่ก็เป็นผู้สืบสิทธิมาจากจำเลยที่ 1 ถือได้ว่าเป็นคู่ความเดียวกับคดีนี้ จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อนต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธิพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3831/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามเมื่อศาลอุทธรณ์แก้โทษจำคุกแต่ยังไม่เกิน 1 ปี แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการรอการลงโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 3 เดือน และปรับ2,500 บาท ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี แม้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำคุกจำเลย 2 เดือน ไม่ปรับ ไม่รอการลงโทษ และไม่จ่ายสินบนนำจับก็เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน1 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3827/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของคำฟ้องฐานขับรถบรรทุกน้ำหนักเกินตามประกาศคณะปฏิวัติ จำเป็นต้องบรรยายถึงองค์ประกอบความผิดเฉพาะที่ฟ้องหรือไม่
ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ข้อ 56 นั้น ผู้อำนวยการทางหลวงมีอำนาจประกาศห้ามใช้ยานพาหนะที่มีน้ำหนักเกินกว่าที่กำหนดประการหนึ่ง และห้ามใช้ยานพานะที่อาจทำให้ทางหลวงเสียหายอีกประการหนึ่ง ดังนั้นเมื่อฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยขับรถยนต์ประเภทประกอบการขนส่งส่วนบุคคล มี 3 เพลา 6 ล้อ ชนิดเพลาที่ 2 ที่ 3 เป็นเพลาคู่ใช้ยางคู่ ซึ่งตามประกาศของผู้อำนวยการทางหลวงแผ่นดินกำหนดว่าต้องมีน้ำหนักลงเพลาไม่เกินเพลาละ 8,200 กิโลกรัม หรือน้ำหนักยานพาหนะรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน 21,000 กิโลกรัม บรรทุกหินเกล็ดไปตามถนน อันเป็นทางหลวงแผ่นดินโดยมีน้ำหนักยานพาหนะน้ำหนักบรรทุกรวม 35,210 กิโลกรัม ซึ่งเกินกว่ากำหนดตามประกาศดังกล่าวไป 14,210 กิโลกรัม อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จึงเป็นการบรรยายถึงองค์ประกอบแห่งความผิดตามีที่บัญญัติไว้ในกฎหมายที่โจทก์ขอให้ลงโทษครบถ้วนแล้ว หาจำต้องบรรยายมาด้วยว่าอาจทำให้ทางหลวงเสียหายด้วยไม่ เพราะโจทก์มิได้ฟัองขอให้ลงโทษจำเลยฐานใช้ยานพาหนะที่อาจทำให้ทางหลวงเสียหาย คำฟ้องของโจทก์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3827/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องความผิดฐานบรรทุกน้ำหนักเกินเกณฑ์ ไม่ต้องระบุถึงความเสียหายต่อทางหลวง หากโจทก์มิได้ฟ้องในประเด็นดังกล่าว
ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ข้อ 56 นั้น ผู้อำนวยการทางหลวงมีอำนาจประกาศห้ามใช้ยานพาหนะที่มีน้ำหนักเกินกว่าที่กำหนดประการหนึ่ง และห้ามใช้ยานพาหนะที่อาจทำให้ทางหลวงเสียหายอีกประการหนึ่ง ดังนั้นเมื่อฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยขับรถยนต์ประเภทประกอบการขนส่งส่วนบุคคล มี 3 เพลา 6 ล้อ ชนิดเพลาที่ 2 ที่ 3 เป็นเพลาคู่ใช้ยางคู่ ซึ่งตามประกาศของผู้อำนวยการทางหลวงแผ่นดินกำหนดว่าต้องมีน้ำหนักลงเพลาไม่เกินเพลาละ 8,200 กิโลกรัม หรือน้ำหนักยานพาหนะรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน 21,000 กิโลกรัม บรรทุกหินเกล็ดไปตามถนนอันเป็นทางหลวงแผ่นดินโดยมีน้ำหนักยานพาหนะน้ำหนักบรรทุกรวม 35,210กิโลกรัม ซึ่งเกินกว่ากำหนดตามประกาศดังกล่าวไป 14,210 กิโลกรัมอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จึงเป็นการบรรยายถึงองค์ประกอบแห่งความผิดตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายที่โจทก์ขอให้ลงโทษครบถ้วนแล้ว หาจำต้องบรรยายมาด้วยว่าอาจทำให้ทางหลวงเสียหายด้วยไม่ เพราะโจทก์มิได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานใช้ยานพาหนะที่อาจทำให้ทางหลวงเสียหาย คำฟ้องของโจทก์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3769/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบรรยายฟ้องคดีทำร้ายร่างกายต้องระบุรายละเอียดความรุนแรงของบาดแผลเพื่อให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297 ได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยใช้มีดดาบฟันผู้เสียหายโดยเจตนาฆ่าและโดยไตร่ตรองไว้ก่อน แต่การกระทำไม่บรรลุผลเพราะผู้เสียหายยกแขนขึ้นปิดป้องคมมีดจึงถูกที่แขนของผู้เสียหาย และผู้เสียหายหลบหนีไปได้ มิได้บรรยายมาในฟ้องให้เห็นว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสอย่างไร ศาลจึงลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297 ไม่ได้คงลงโทษได้ตามมาตรา 295 เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3753/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยักยอกเงินเช่าซื้อ: หุ้นส่วนผู้จัดการไม่ผิดฐานยักยอกหากไม่ได้เอาเงินไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว ความรับผิดชอบอยู่ที่ตัวแทน
ห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. เป็นตัวแทนของโจทก์ร่วมในการเก็บเงินจากลูกค้าที่เช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ร่วม เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้เบียดบังเอาเงินของโจทก์ร่วมไปเป็นประโยชน์ของจำเลยเองหรือของบุคคลที่ สาม แม้จำเลยจะเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยยักยอกเงินของโจทก์ร่วม การที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. มิได้ส่งเงินที่เก็บจากลูกค้าให้แก่โจทก์ร่วม ก็เป็นเรื่องผิดสัญญาที่โจทก์ร่วมจะต้องเรียกร้องเอาจากห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. ในทางแพ่ง จำเลยไม่มีความผิดฐานยักยอก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3695/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระจำยอม: การใช้ประโยชน์ที่ดินมรดกโดยถือวิสาสะ และผลของการไม่โต้แย้งสิทธิ
ที่ดิน ของ โจทก์ และ จำเลย เดิม เป็น ที่ดิน แปลง เดียว กัน อันเป็น ของ บิดา โจทก์ จำเลย โจทก์ รับโอน ที่ดิน จาก บิดา มา ก่อน จำเลย แล้ว โจทก์ เข้า ทำประโยชน์ โดย ใช้ น้ำ จาก คลอง ซอย หรือ คูน้ำ พิพาท ที่อยู่ ใน ที่ดิน มรดก ที่ ยัง มิได้ โอน ให้ จำเลย ซึ่ง เป็น การ ใช้ น้ำ โดย ถือ วิสาสะ ว่า เป็น ที่ดิน มรดก ของ บิดา เมื่อ จำเลย รับ โอน ที่ดิน มรดก ดังกล่าว จาก บิดา หลังจาก โจทก์ รับมรดก ที่ดิน ส่วน ของ โจทก์ นาน ถึง 16 ปี เศษ โจทก์ มิได้ โต้แย้ง คัดค้าน หรือ อ้าง สิทธิ ใด ๆ ว่า โจทก์ มีสิทธิ ใช้ น้ำ จาก ที่ดิน ของ จำเลย โจทก์ คง ใช้ น้ำ เรื่อย มา แสดง ว่า โจทก์ ถือว่า เป็น ที่ดิน ของ น้องชาย โดย มิได้ แสดง ให้ จำเลย ทราบ ว่า จะ ถือเอา คลอง ซอย หรือ คู่ น้ำ พิพาท เป็น ภาระจำยอม แก่ ที่ดิน ของ โจทก์ แม้ โจทก์ จะ ใช้ น้ำ ใน ที่ดิน ของ จำเลย นาน เท่าใด ก็ ไม่ได้ ภาระจำยอม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3659/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำในที่ดินมรดก การถือวิสาสะ และการได้มาซึ่งภาระจำยอม
ที่ดินของโจทก์และจำเลยเดิมเป็นที่ดินแปลงเดียวกันอันเป็นของบิดาโจทก์จำเลย โจทก์รับโอนที่ดินจากบิดามาก่อนจำเลยแล้วโจทก์เข้าทำประโยชน์โดยใช้น้ำจากคลองซอยหรือคูน้ำพิพาทที่อยู่ในที่ดินมรดกที่ยังมิได้โอนให้จำเลยซึ่งเป็นการใช้น้ำโดยถือวิสาสะว่าเป็นที่ดินมรดกของบิดา เมื่อจำเลยรับโอนที่ดินมรดกดังกล่าวจากบิดาหลังจากโจทก์รับมรดกที่ดินส่วนของโจทก์นานถึง 16 ปีเศษ โจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านหรืออ้างสิทธิใด ๆ ว่าโจทก์มีสิทธิใช้น้ำจากที่ดินของจำเลย โจทก์คงใช้น้ำเรื่อยมา แสดงว่าโจทก์ถือว่าเป็นที่ดินของน้องชาย โดยมิได้แสดงให้จำเลยทราบว่าจะถือเอาคลองซอยหรือคู่น้ำพิพาทเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ แม้โจทก์จะใช้น้ำในที่ดินของจำเลยนานเท่าใดก็ไม่ได้ภาระจำยอม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3624/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
องค์ประกอบความผิดฉ้อโกงประชาชน: ไม่ต้องระบุชื่อผู้เสียหายในฟ้อง หากบรรยายพฤติการณ์หลอกลวงและทรัพย์สินที่ได้ไปครบถ้วน
ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343โจทก์ต้องบรรยายฟ้องให้ครบองค์ประกอบว่าจำเลยหลอกลวงประชาชนโดยทุจริตและโดยการหลอกลวงนั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากประชาชนผู้ถูกหลอกลวง ส่วนประชาชนผู้ใดบ้างเป็นผู้ที่ถูกจำเลยหลอกลวงและจำเลยได้ทรัพย์สินจากผู้ใดบ้างเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์นำสืบได้ในชั้นพิจารณา การที่โจทก์มิได้ระบุชื่อประชาชนผู้ถูกหลอกลวงหรือผู้เสียหายมาในฟ้อง จึงไม่ทำให้ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกับพวกได้ทำการหลอกลวงประชาชนในเขตตำบลสักหลง ตำบลบ้านกลาง และตำบลวัดป่า จังหวัดเพชรบูรณ์การหลอกลวงของจำเลยเป็นเหตุให้ประชาชนในท้องที่ดังกล่าวหลงเชื่อและได้นำใบยาสูบแห้งจำนวน 2,462 กิโลกรัม คิดเป็นเงิน29,491 บาทไปมอบให้จำเลยกับพวก ถือได้ว่าได้บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องพอสมควรที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)แล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม