พบผลลัพธ์ทั้งหมด 482 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1827/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงข้อหาจากปล้นทรัพย์เป็นชิงทรัพย์ และการพิจารณาโทษจำเลยทั้งสอง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานร่วมกันปล้นทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดฐานชิงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่ายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 และลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานทำร้ายร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 จึงมีผลเท่ากับว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาปล้นทรัพย์โดยอาศัยข้อเท็จจริงโจทก์จึงฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองสำหรับข้อหาปล้นทรัพย์ไม่ได้คงฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้เฉพาะข้อหาชิงทรัพย์ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษากลับกันมาเท่านั้น และที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานปล้นทรัพย์นั้น ถือได้ว่าเป็นฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองในข้อหาชิงทรัพย์ด้วยแล้ว เพราะการกระทำผิดฐานชิงทรัพย์เป็นส่วนหนึ่งของความผิดฐานปล้นทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1827/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงข้อหาจากปล้นทรัพย์เป็นชิงทรัพย์ และการพิจารณาความผิดฐานทำร้ายร่างกายควบคู่กัน
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานร่วมกันปล้นทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดฐานชิงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่ายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 และลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานทำร้ายร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 จึงมีผลเท่ากับว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาปล้นทรัพย์โดยอาศัยข้อเท็จจริงโจทก์จึงฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองสำหรับข้อหาปล้นทรัพย์ไม่ได้คงฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้เฉพาะข้อหาชิงทรัพย์ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษากลับกันมาเท่านั้น และที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานปล้นทรัพย์นั้น ถือได้ว่าเป็นฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองในข้อหาชิงทรัพย์ด้วยแล้ว เพราะการกระทำผิดฐานชิงทรัพย์เป็นส่วนหนึ่งของความผิดฐานปล้นทรัพย์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1816/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยิงกันโดยสมัครใจและการป้องกันตัว: ศาลพิจารณาเหตุแห่งการกระทำและลดโทษตามสมควร
น. เป็นพี่สาวของจำเลย ผู้ตายทะเลาะกับ น. จำเลยเข้าไปห้ามทำให้ผู้ตายไม่พอใจ แล้วผู้ตายกับจำเลยใช้อาวุธปืนยิงซึ่งกันและกันในทันทีทันใดนั้นหลายนัด แสดงว่าต่างสมัครใจทำร้ายซึ่งกันและกัน และขณะนั้นพี่น้องและหลานของจำเลยวิ่งออกจากร้านที่เกิดเหตุแล้ว จำเลยจะอ้างว่าผู้ตายยิงจำเลยก่อนจำเลยจึงยิงผู้ตายเพื่อป้องกันตัวจำเลย พี่น้องและหลานของจำเลยหาได้ไม่
พฤติการณ์ก่อนเกิดเหตุที่ผู้ตายถืออาวุธปืนข่มขู่ชวนวิวาทตลอดเวลานับว่าผู้ตายมีส่วนในการก่อเหตุคดีนี้ด้วย ประกอบกับจำเลยก็ให้การรับในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาว่าได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจริง อันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณานับเป็นเหตุบรรเทาโทษ สมควรวางโทษและลดโทษจำเลยให้เบาลงตามความเหมาะสมของพฤติการณ์แห่งคดี.(ที่มา-ส่งเสริม)
พฤติการณ์ก่อนเกิดเหตุที่ผู้ตายถืออาวุธปืนข่มขู่ชวนวิวาทตลอดเวลานับว่าผู้ตายมีส่วนในการก่อเหตุคดีนี้ด้วย ประกอบกับจำเลยก็ให้การรับในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาว่าได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจริง อันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณานับเป็นเหตุบรรเทาโทษ สมควรวางโทษและลดโทษจำเลยให้เบาลงตามความเหมาะสมของพฤติการณ์แห่งคดี.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1811/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาที่โจทก์ไม่สามารถอุทธรณ์คดีอาญาได้เนื่องจากศาลอุทธรณ์ยกฟ้องในข้อหาเดิมที่ฟ้องไว้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362,364, 365 (2) (3), 288, 289 (4), 80, 81, 90, 91 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 81 และมาตรา 365 และความผิดดังกล่าวเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทจึงลงโทษตามมาตรา 288, 81 อันเป็นบทหนักให้จำคุก 1 ปี และรอการลงโทษไว้ 3 ปี ยกคำขออื่น ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 81 ด้วย คงลงโทษในความผิดกรรมนี้ตามมาตรา 365 ให้จำคุก 6 เดือน และรอการลงโทษไว้ 3 ปี ดังนี้ มีผลเท่ากับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 289 (4) ประกอบด้วยมาตรา 80 โจทก์จึงฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงในข้อหาความผิดดังกล่าวไม่ได้ เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1811/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฎีกาข้อหาพยายามฆ่าและบุกรุก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเพราะเป็นการฎีกาข้อเท็จจริงในส่วนที่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 362,364,365(2)(3),288,289(4),80,81,90,91 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,81 และมาตรา365 และความผิดดังกล่าวเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทจึงลงโทษตามมาตรา 288,81 อันเป็นบทหนักให้จำคุก 1 ปี และรอการลงโทษไว้ 3 ปี ยกคำขออื่น ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 28881 ด้วย คงลงโทษในความผิดกรรมนี้ตามมาตรา 365 ให้จำคุก 6เดือน และรอการลงโทษไว้ 3 ปี ดังนี้ มีผลเท่ากับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288,289(4) ประกอบด้วยมาตรา 80 โจทก์จึงฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงในข้อหาความผิดดังกล่าวไม่ได้ เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1685/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจัดการมรดก: แม้แบ่งไม่ถูกต้อง แต่ยังไม่ถือละเลยหน้าที่ หากทายาทส่วนใหญ่เห็นชอบ
ผู้ร้องมิได้ละเลยไม่ทำการตามหน้าที่ผู้จัดการมรดกและได้จัดการแบ่งมรดกให้แก่ทายาทแล้ว แม้การแบ่งทรัพย์มรดกจะไม่ถูกต้องตามส่วนที่ทายาทควรจะได้ตามกฎหมาย ก็เป็นเรื่องที่จะต้องว่ากล่าวกันต่างหากเพราะทายาทส่วนมากเห็นว่าผู้ร้องเหมาะสมที่จะเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายมากกว่าผู้คัดค้าน จึงยังไม่มีเหตุสมควรที่จะถอน ผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1685/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจัดการมรดก: แม้แบ่งไม่ถูกต้องตามส่วน แต่ไม่ถือว่าละเลยหน้าที่ หากทายาทส่วนใหญ่เห็นชอบ
ผู้ร้องมิได้ละเลยไม่ทำการตามหน้าที่ผู้จัดการมรดกและได้จัดการแบ่งมรดกให้แก่ทายาทแล้ว แม้การแบ่งทรัพย์มรดกจะไม่ถูกต้องตามส่วนที่ทายาทควรจะได้ตามกฎหมาย ก็เป็นเรื่องที่จะต้องว่ากล่าวกันต่างหากเพราะทายาทส่วนมากเห็นว่าผู้ร้องเหมาะสมที่จะเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายมากกว่าผู้คัดค้าน จึงยังไม่มีเหตุสมควรที่จะถอนผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1684/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิผู้ซื้อที่ดินตามคำพิพากษาเดิมกับการบังคับคดีชั่วคราว: การคุ้มครองสิทธิก่อนมีคำพิพากษา
ผู้ร้องร้องว่าโจทก์และจำเลยในคดีนี้ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับผู้ร้องในคดีก่อนให้ผู้ร้องซื้อที่ดินซึ่งพิพาทกันในคดีนี้จากจำเลย จนศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมและผู้ร้องได้ชำระราคาแก่จำเลยแล้ว ดังนี้ หากเป็นความจริงผู้ร้องย่อมมีสิทธิตามคำพิพากษาที่จะบังคับให้จำเลยจดทะเบียนสิทธิได้ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 อันจะบังคับคดีในคดีนี้ให้กระทบกระทั่งถึงสิทธิดังกล่าวของผู้ร้องมิได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 การที่ศาลชั้นต้นออกคำสั่งอายัดที่ดินพิพาท และมีหมายห้ามโอนไปยังเจ้าพนักงานที่ดินเป็นวิธีการชั่วคราวก่อนคำพิพากษาเพื่อคุ้มครองปกป้องผลประโยชน์ของโจทก์ให้ได้รับผลตามคำพิพากษาโดยสมบูรณตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 ซึ่งมาตรา 259 ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการบังคับคดีมาใช้บังคับแก่วิธีการชั่วคราวโดยอนุโลมฉะนั้นหากได้ความตามคำร้องของผู้ร้อง คำสั่งอายัดและหมายห้ามโอนนั้นก็กระทบกระทั่งสิทธิของผู้ร้อง อาจต้องเพิกถอนเสีย จึงควรรับคำร้องของผู้ร้องไว้ดำเนินการพิจารณาต่อไปศาลล่างมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1683/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่อนุญาตให้ดำเนินคดีอนาถาหลังประวิงคดี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนถือเป็นคำวินิจฉัยถึงที่สุด
ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของโจทก์โจทก์ขอเลื่อนคดีไป 3 ครั้ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ประวิงคดีไม่อนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ให้งดการไต่สวน และมีคำสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา เท่ากับได้วินิจฉัยในเนื้อหาแห่งคำร้อง ของ โจทก์แล้วว่าโจทก์มิใช่คนอนาถา จะใช้สิทธิดำเนินคดีอย่างคนอนาถาไม่ได้ เมื่อโจทก์อุทธรณ์และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ย่อมถึงที่สุดตาม ป.วิ.พ.มาตรา 156 วรรคท้าย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1683/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่อนุญาตให้ดำเนินคดีอนาถาหลังศาลวินิจฉัยสถานะทางการเงินโจทก์ คดีถึงที่สุด
ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของโจทก์โจทก์ขอเลื่อนคดีไป 3 ครั้ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ประวิงคดีไม่อนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา เท่ากับได้วินิจฉัยในเนื้อหาแห่งคำร้องของโจทก์แล้วว่า โจทก์มิใช่คนอนาถาจะใช้สิทธิดำเนินคดีอย่างคนอนาถาไม่ได้เมื่อโจทก์อุทธรณ์และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีย่อมถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคท้าย ศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ไม่ได้.