คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สีนวล คงลาภ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 502 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2616/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเมิดอำนาจศาล: การไต่สวนที่ไม่ชอบและขอบเขตการละเมิด
คดีละเมิดอำนาจศาล ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนโดยไม่ชอบ เนื่องจากไม่อนุญาตให้ผู้ถูกกล่าวหาถามค้านพยานที่ศาลหมายเรียกมาไต่สวน และไม่อนุญาตให้ผู้ถูกกล่าวหานำพยานของตนเข้าสืบ การที่ผู้ถูกกล่าวหาฎีกาว่า การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาไม่เป็นการละเมิดอำนาจศาลดังนี้ มิใช่เป็นฎีกาที่คัดค้านข้อชี้ขาดคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2549/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกเลิกสัญญาเช่าที่ดิน: ผู้เช่าไม่คัดค้าน คชก.ไม่มีอำนาจพิจารณา ผู้ให้เช่าฟ้องศาลได้โดยตรง
การเลิกสัญญาเช่าที่ดินตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 นั้น เมื่อผู้ให้เช่าบอกเลิกการเช่าเป็นหนังสือต่อผู้เช่า กับส่งสำเนาหนังสือนั้นต่อประธาน คชก. ตำบล และประธาน คชก. ตำบล ได้แจ้งให้ผู้เช่าทราบถึงการบอกเลิกการเช่าดังกล่าวแล้ว แต่ผู้เช่าไม่คัดค้านการบอกเลิกการเช่านั้นต่อ คชก. ตำบล คชก. ตำบลก็ไม่มีอำนาจหน้าที่ที่จะพิจารณาวินิจฉัยการบอกเลิกการเช่า กรณีเช่นนี้ผู้ให้เช่าย่อมมีอำนาจฟ้องผู้เช่าต่อศาลได้โดยตรง ไม่ถือว่าปฏิบัติผิดขั้นตอนของกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2549/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกเลิกสัญญาเช่าที่ดิน: ผู้ให้เช่าฟ้องได้โดยตรงหากผู้เช่าไม่คัดค้านต่อ คชก. และ คชก. ไม่มีอำนาจพิจารณา
การเลิกสัญญาเช่าที่ดินตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 นั้น เมื่อผู้ให้เช่าบอกเลิกการเช่าเป็นหนังสือต่อผู้เช่า กับส่งสำเนาหนังสือนั้นต่อประธาน คชก. ตำบล และประธาน คชก. ตำบล ได้แจ้งให้ผู้เช่าทราบถึงการบอกเลิกการเช่าดังกล่าวแล้ว แต่ผู้เช่าไม่คัดค้านการบอกเลิกการเช่านั้นต่อ คชก. ตำบล คชก. ตำบลก็ไม่มีอำนาจหน้าที่ที่จะพิจารณาวินิจฉัยการบอกเลิกการเช่า กรณีเช่นนี้ผู้ให้เช่าย่อมมีอำนาจฟ้องผู้เช่าต่อศาลได้โดยตรง ไม่ถือว่าปฏิบัติผิดขั้นตอนของกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2549/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกเลิกสัญญาเช่าที่ดิน: ผู้ให้เช่ามีอำนาจฟ้องโดยตรงหากผู้เช่าไม่คัดค้านต่อ คชก. และ คชก. ไม่มีอำนาจวินิจฉัย
การเลิกสัญญาเช่าที่ดินตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 นั้น เมื่อผู้ให้เช่าบอกเลิกการเช่าเป็นหนังสือต่อผู้เช่า กับส่งสำเนาหนังสือนั้นต่อประธาน คชก. ตำบล และประธาน คชก. ตำบล ได้แจ้งให้ผู้เช่าทราบถึงการบอกเลิกการเช่าดังกล่าวแล้ว แต่ผู้เช่าไม่คัดค้านการบอกเลิกการเช่านั้นต่อ คชก. ตำบล คชก. ตำบลก็ไม่มีอำนาจหน้าที่ที่จะพิจารณาวินิจฉัยการบอกเลิกการเช่า กรณีเช่นนี้ผู้ให้เช่าย่อมมีอำนาจฟ้องผู้เช่าต่อศาลได้โดยตรง ไม่ถือว่าปฏิบัติผิดขั้นตอนของกฎหมาย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2452/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร่วมรับผิดในความเสียหายจากการเดินรถแท็กซี่ แม้มิได้เป็นลูกจ้าง หากยอมให้ใช้ชื่อและได้รับประโยชน์
ผู้มีชื่อนำรถแท็กซี่มาจดทะเบียนเป็นชื่อของบริษัทจำเลยที่2 ซึ่งมีวัตถุประสงค์ประกอบการเดินรถยนต์บรรทุกคนโดยสาร แล้วจำเลยที่ 2 ยอมให้จำเลยที่ 1 นำรถคันดังกล่าวออกวิ่งรับคนโดยสารโดยมีตราบริษัทจำเลยที่ 2 ติดอยู่ข้างรถ และจำเลยที่ 2 ได้รับผลประโยชน์จากการนี้ด้วย ดังนี้ เท่ากับจำเลยที่ 2 เชิดให้จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนในการรับจ้างบรรทุกคนโดยสาร จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ผู้ได้รับความเสียหายจากการทำละเมิดของจำเลยที่ 1

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2452/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับผิดของเจ้าของรถแท็กซี่ที่ยินยอมให้ผู้อื่นนำรถไปวิ่งรับจ้าง และการเชิดตัวแทน
ผู้มีชื่อนำรถแท็กซี่มาจดทะเบียนเป็นชื่อของบริษัทจำเลยที่2 ซึ่งมีวัตถุประสงค์ประกอบการเดินรถยนต์บรรทุกคนโดยสาร แล้วจำเลยที่ 2 ยอมให้จำเลยที่ 1 นำรถคันดังกล่าวออกวิ่งรับคนโดยสารโดยมีตราบริษัทจำเลยที่ 2 ติดอยู่ข้างรถ และจำเลยที่2 ได้รับผลประโยชน์จากการนี้ด้วย ดังนี้ เท่ากับจำเลยที่ 2 เชิดให้จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนในการรับจ้างบรรทุกคนโดยสาร จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ผู้ได้รับความเสียหายจากการทำละเมิดของจำเลยที่ 1.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2452/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดร่วมของเจ้าของรถแท็กซี่ที่ยินยอมให้ผู้อื่นเช่าขับและรับประโยชน์จากการเช่า
ผู้มีชื่อนำรถแท็กซี่มาจดทะเบียนเป็นชื่อของบริษัทจำเลยที่ 2ซึ่งมีวัตถุประสงค์ประกอบการเดินรถยนต์ บรรทุกคนโดยสาร แล้วจำเลยที่ 2 ยอมให้จำเลยที่ 1 นำรถคันดังกล่าวออกวิ่งรับคนโดยสารโดยมีตรา บริษัทจำเลยที่ 2 ติดอยู่ข้างรถ และจำเลยที่ 2 ได้รับผลประโยชน์จากการนี้ด้วย ดังนี้ เท่ากับจำเลยที่ 2 เชิดให้จำเลยที่ 1เป็นตัวแทนในการรับจ้างบรรทุกคนโดยสาร จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ผู้ได้รับความเสียหายจากการทำละเมิดของจำเลยที่ 1

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2397/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้เอกสารสิทธิปลอมกู้เงินหลายครั้ง ถือเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน จำเลยที่ 3 มีส่วนร่วม
จำเลยที่ 1 กู้เงินจากโจทก์ร่วมโดยทำหนังสือสัญญากู้กันไว้และจำเลยที่ 1 ได้นำโฉนดที่ดินที่มีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ซึ่งเป็นเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมมอบให้โจทก์ร่วมยึดถือเป็นประกัน ต่อมาจำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงินโจทก์ร่วมเพิ่มขึ้นโดยระบุให้เอาโฉนดที่ดินซึ่งจำเลยที่ 1 มอบให้โจทก์ร่วมยึดถือไว้นั้นเป็นประกันการกู้ครั้งที่สองด้วย การกู้เงินของจำเลยที่ 1 ในครั้งที่สองเป็นการใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมคนละคราวกับการใช้ครั้งแรก จำเลยที่ 1 จึงมีความผิด 2 กระทงครั้งแรกจำเลยที่ 1 ปลอมเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการและใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมด้วยมีความผิดตามป.อ. มาตรา 266(1) และมาตรา 268 วรรค 2 กระทงหนึ่ง ครั้งที่สองจำเลยที่ 1 มิได้ปลอมเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการขึ้นอีก จึงมีความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมอย่างเดียวตาม ป.อ. มาตรา 268 วรรคแรกอีกกระทงหนึ่ง.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2397/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้เอกสารสิทธิปลอมกู้เงินหลายครั้ง และบทบาทของผู้ร่วมกระทำผิด
จำเลยที่ 1 กู้เงินจากโจทก์ร่วมโดยทำหนังสือสัญญากู้กันไว้และจำเลยที่ 1 ได้นำโฉนดที่ดินที่มีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ซึ่งเป็นเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมมอบให้โจทก์ร่วมยึดถือเป็นประกัน ต่อมาจำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงินโจทก์ร่วมเพิ่มขึ้นโดยระบุให้เอาโฉนดที่ดินซึ่งจำเลยที่ 1 มอบให้โจทก์ร่วมยึดถือเป็นประกันในการกู้เงินครั้งแรกเป็นประกันการกู้ครั้งที่สองด้วย เช่นนี้ การกู้เงินของจำเลยที่ 1 ในครั้งที่สองเป็นการใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมอีกและคราวกับการใช้ครั้งแรก เพราะการที่โจทก์ร่วมยินยอมให้จำเลยที่ 1 กู้เงินเพิ่มก็เพราะเชื่อถือในเอกสารฉบับดังกล่าว จำเลยที่ 1 จึงมีความผิด 2 กระทง กล่าวคือ ครั้งแรกจำเลยที่ 1 ปลอมเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการและใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมด้วยมีความผิดตามมาตรา 266 (1) และมาตรา 268 วรรค 2 แต่ในการใช้ครั้งที่สองจำเลยที่ 1 มิได้ปลอมเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการขึ้นอีก คงใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการอันเก่านั้นเอง จึงมีความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมอย่างเดียวตามมาตรา 268 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2355/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหักเงินชดเชยออกจากเงินบำเหน็จ และการคิดดอกเบี้ยจากวันฟ้องในคดีแรงงาน
เงินบำเหน็จเป็นผลประโยชน์นอกเหนือไปจากค่าชดเชย ซึ่งกฎหมายกำหนดให้นายจ้างจ่ายเมื่อเลิกจ้าง นายจ้างจึงย่อมมีสิทธิที่จะกำหนดวิธีการจ่ายเงินบำเหน็จได้ตามที่เห็นสมควร ดังนั้น ข้อบังคับของนายจ้างที่ให้หักค่าชดเชยออกจากเงินบำเหน็จ จึงหาขัดต่อกฎหมายคุ้มครองแรงงานไม่ แต่เมื่อข้อบังคับของนายจ้างมิได้กำหนดให้นายจ้างมีสิทธิหักดอกเบี้ยของค่าชดเชยไว้ด้วย นายจ้างจึงไม่มีสิทธิหักดอกเบี้ยของค่าชดเชยออกจากเงินบำเหน็จ เมื่อไม่ปรากฏว่าลูกจ้างได้ทวงถามให้นายจ้างชำระสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและเงินบำเหน็จแก่ลูกจ้างเมื่อใดจะถือว่านายจ้างผิดนัดแล้วหาได้ไม่ ลูกจ้างมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยจากต้นเงินทั้งสองจำนวนดังกล่าวตั้งแต่วันฟ้อง
of 51