พบผลลัพธ์ทั้งหมด 502 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2851/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประนีประนอมยอมความ: ศาลฎีกาตัดสินว่าการบอกเล่าไม่ตรงความจริงและการขาดสติสัมปชัญญะของทนายโจทก์ ไม่ถือเป็นเหตุฉ้อฉล
ทนายโจทก์มีอำนาจทำสัญญาประนีประนอมยอมความและได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยศาลพิพากษาตามยอมแล้ว ดังนี้แม้ทนายจำเลยจะบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ แก่ทนายโจทก์ไม่ตรงต่อความจริงแต่ทนายโจทก์ย่อมมีโอกาสใช้ดุลพินิจไตร่ตรองแล้วว่าสมควรจะตกลงทำสัญญากับจำเลยหรือไม่ ทั้งข้ออ้างที่ว่าทนายโจทก์ขาดสติสัมปชัญญะเพราะเหตุผลเรื่องสุขภาพ จึงตกลงประนีประนอมยอมความกับทนายจำเลยนั้นก็เป็นความบกพร่องของทนายโจทก์เอง โจทก์จึงจะอ้างว่าได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความไปโดยถูกฝ่ายจำเลยฉ้อฉลหาได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2771/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การละทิ้งหน้าที่ของลูกจ้างเกิน 3 วัน ถือเป็นเหตุให้เลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
ลูกจ้างไม่มาทำงานตั้งแต่วันที่ 8 ถึงวันที่ 15 ในชั้นแรกหยุดงานไปโดยไม่ได้ลาในวันที่ 8 และวันที่ 10 (วันที่ 9 เป็นวันหยุด) ต่อมาได้โทรศัพท์ขอลากิจในวันที่ 11 ถึงวันที่ 13 และโทรศัพท์ลาป่วยในวันที่ 14 และวันที่ 15 ต่อเนื่องมาอีก ครั้นมาทำงานก็มิได้ส่งใบลาตามระเบียบ ถือได้ว่าลูกจ้างได้ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควรนายจ้างจึงเลิกจ้างได้โดยมิต้องจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี
นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างประจำเมื่อวันที่ 17 จึงไม่ต้องจ่ายค่าจ้างในวันเลิกจ้าง ส่วนวันที่ 16 แม้เป็นวันหยุด ลูกจ้างก็ยังคงเป็นลูกจ้างอยู่จึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันดังกล่าว.
นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างประจำเมื่อวันที่ 17 จึงไม่ต้องจ่ายค่าจ้างในวันเลิกจ้าง ส่วนวันที่ 16 แม้เป็นวันหยุด ลูกจ้างก็ยังคงเป็นลูกจ้างอยู่จึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันดังกล่าว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2771/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การละทิ้งหน้าที่ – การเลิกจ้าง – ค่าชดเชย – ค่าจ้างวันหยุดพักผ่อน – การลาที่ถูกต้องตามระเบียบ
ลูกจ้างไม่มาทำงานตั้งแต่วันที่ 8 ถึงวันที่ 15 ในชั้นแรกหยุดงานไปโดยไม่ได้ลาในวันที่ 8 และวันที่ 10(วันที่ 9 เป็นวันหยุด) ต่อมาได้โทรศัพท์ขอลากิจในวันที่ 11 ถึงวันที่ 13 และโทรศัพท์ลาป่วยในวันที่ 14 และวันที่ 15 ต่อเนื่องมาอีก ครั้นมาทำงานก็มิได้ส่งใบลาตามระเบียบ ถือได้ว่าลูกจ้างได้ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควรนายจ้างจึงเลิกจ้างได้โดยมิต้องจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี
นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างประจำเมื่อวันที่ 17 จึงไม่ต้องจ่ายค่าจ้างในวันเลิกจ้าง ส่วนวันที่ 16 แม้เป็นวันหยุด ลูกจ้างก็ยังคงเป็นลูกจ้างอยู่จึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันดังกล่าว.
นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างประจำเมื่อวันที่ 17 จึงไม่ต้องจ่ายค่าจ้างในวันเลิกจ้าง ส่วนวันที่ 16 แม้เป็นวันหยุด ลูกจ้างก็ยังคงเป็นลูกจ้างอยู่จึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันดังกล่าว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2751/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยินยอมของนายจ้างต่อการปฏิบัติผิดระเบียบของลูกจ้าง ทำให้ลูกจ้างไม่ต้องรับผิด
จำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการสาขาสำนักงานของธนาคารโจทก์ปฏิบัติผิดระเบียบข้อบังคับของโจทก์ด้วยการปล่อยสินเชื่อ เกินอำนาจมาเป็นเวลานาน โจทก์ทราบและได้ยอมรับเอาการกระทำของจำเลยเป็นของตนถึงแก่ได้ฟ้องร้องลูกหนี้ส่วนใหญ่ จนมีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันบ้าง ศาลพิพากษาให้เต็มตามคำฟ้องบ้าง และโจทก์ได้ขอรับชำระหนี้ในคดีที่ลูกหนี้บางคนถูกศาลพิพากษาล้มละลายบ้าง โดยหาได้ว่ากล่าวเอาความแก่จำเลยว่าปฏิบัติผิดระเบียบข้อบังคับประการใดไม่ คงปล่อยให้จำเลยปฏิบัติหน้าที่ต่อมาจนเกษียณอายุ การปฏิบัติผิดระเบียบข้อบังคับดังกล่าวผู้จัดการสาขาสำนักงาน สาขาอื่น ก็กระทำโดยทั่วไป ผู้รับตำแหน่งสืบต่อจากจำเลยก็กระทำการเช่นจำเลยโจทก์มิได้ห้ามทักท้วง กลับถือเอาประโยชน์ตลอดมาจึงถือว่าเป็นระเบียบปฏิบัติปกตินิยมภายในของโจทก์อยู่ด้วยส่วนหนึ่งมีผลเท่ากับโจทก์ยินยอม สมัครใจ และเต็มใจยอมรับผลเสียหายอันอาจเกิดขึ้นแก่โจทก์ในอนาคต ภายหลังที่จำเลยและผู้จัดการสาขาสำนักงานอื่นไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ โจทก์หาได้ถือเป็นข้อสำคัญและถือเป็นความผิดอีกต่อไปไม่ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการละเมิดและผิดสัญญาตัวแทน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2751/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยินยอมของนายจ้างต่อการปฏิบัติผิดระเบียบของลูกจ้าง ทำให้ลูกจ้างไม่ต้องรับผิด
จำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการสาขาสำนักงานของธนาคารโจทก์ปฏิบัติผิดระเบียบข้อบังคับของโจทก์ด้วยการปล่อยสินเชื่อเกินอำนาจมาเป็นเวลานาน โจทก์ทราบและได้ยอมรับเอาการกระทำของจำเลยเป็นของตนถึงแก่ได้ฟ้องร้องลูกหนี้ส่วนใหญ่ จนมีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันบ้าง ศาลพิพากษาให้เต็มตามคำฟ้องบ้าง และโจทก์ได้ขอรับชำระหนี้ในคดีที่ลูกหนี้บางคนถูกศาลพิพากษาล้มละลายบ้าง โดยหาได้ว่ากล่าวเอาความแก่จำเลยว่าปฏิบัติผิดระเบียบข้อบังคับประการใดไม่ คงปล่อยให้จำเลยปฏิบัติหน้าที่ต่อมาจนเกษียณอายุ การปฏิบัติผิดระเบียบข้อบังคับดังกล่าวผู้จัดการสาขาสำนักงาน สาขาอื่น ก็กระทำโดยทั่วไป ผู้รับตำแหน่งสืบต่อจากจำเลยก็กระทำการเช่นจำเลยโจทก์มิได้ห้ามทักท้วง กลับถือเอาประโยชน์ตลอดมาจึงถือว่าเป็นระเบียบปฏิบัติปกตินิยมภายในของโจทก์อยู่ด้วยส่วนหนึ่งมีผลเท่ากับโจทก์ยินยอม สมัครใจ และเต็มใจยอมรับผลเสียหายอันอาจเกิดขึ้นแก่โจทก์ในอนาคต ภายหลังที่จำเลยและผู้จัดการสาขาสำนักงานอื่นไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ โจทก์หาได้ถือเป็นข้อสำคัญและถือเป็นความผิดอีกต่อไปไม่ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการละเมิดและผิดสัญญาตัวแทน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2739/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับทราบคำสั่งทางปกครอง: การรับทราบโดยพนักงานชั้นผู้น้อยไม่ถือว่าเป็นการรับทราบของโจทก์
การที่ ป. เป็นเพียงพนักงานชั้นผู้น้อยทำหน้าที่รับส่งหนังสือของโจทก์ รับซอง หนังสือและคำสั่งของอธิบดีกรมแรงงานที่สั่งให้โจทก์จ่ายเงินทดแทนแก่ ค. ไว้ไม่ว่า ป. จะได้เปิดซอง ทราบเนื้อความในหนังสือนำส่งและคำสั่งแล้วหรือไม่ก็ตาม ก็ไม่อาจถือได้ว่าโจทก์โดย ป. ทราบคำสั่งนั้นแล้ว เพราะ ป. มิใช่ผู้แทนของโจทก์ผู้สามารถจะแสดงความประสงค์ประการใดแทนโจทก์ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 75 ฉะนั้นเมื่อคำสั่งดังกล่าวถูกนำเสนอขึ้นไปตามลำดับชั้น จนวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2530รองผู้ว่าการผู้ทำการแทนผู้ว่าการของโจทก์จึงทราบคำสั่ง เช่นนี้ต้องถือว่าโจทก์โดยรองผู้ว่าการได้ทราบคำสั่งเมื่อวันที่ 10กุมภาพันธ์ 2530 และครบกำหนดสามสิบวันนับแต่วันโจทก์ทราบคำสั่งอันจะทำให้คำสั่งดังกล่าวเป็นที่สุดตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ข้อ 60 ที่แก้ไขใหม่ในวันที่ 12 มีนาคม 2530โจทก์นำคดีมาสู่ศาลวันที่ 9 มีนาคม 2530 จึงหาพ้นกำหนดตามประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ ข้อ 60 ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2739/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับรู้คำสั่งทางปกครอง: การรับรู้ผ่านพนักงานชั้นผู้น้อยไม่ถือว่าเป็นการรับรู้ของโจทก์โดยตรง
การที่ ป. เป็นเพียงพนักงานชั้นผู้น้อยทำหน้าที่รับส่งหนังสือของโจทก์ รับซองหนังสือและคำสั่งของอธิบดีกรมแรงงานที่สั่งให้โจทก์จ่ายเงินทดแทนแก่ ค. ไว้ ไม่ว่า ป. จะได้เปิดซองทราบเนื้อความในหนังสือนำส่งและคำสั่งแล้วหรือไม่ก็ตาม ก็ไม่อาจถือได้ว่าโจทก์โดย ป. ทราบคำสั่งนั้นแล้วเพราะ ป. มิใช่ผู้แทนของโจทก์ผู้สามารถจะแสดงความประสงค์ประการใดแทนโจทก์ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 75 ฉะนั้นเมื่อคำสั่งดังกล่าวถูกนำเสนอขึ้นไปตามลำดับชั้น จนวันที่ 10 กุมภาพันธ์2530 รองผู้ว่าการผู้ทำการแทนผู้ว่าการของโจทก์จึงทราบคำสั่งเช่นนี้ต้องถือว่าโจทก์โดยรองผู้ว่าการได้ทราบคำสั่งเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2530 และครบกำหนดสามสิบวันนับแต่วันโจทก์ทราบคำสั่งอันจะทำให้คำสั่งดังกล่าวเป็นที่สุดตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 60 ที่แก้ไขใหม่ในวันที่ 12 มีนาคม 2530 โจทก์นำคดีมาสู่ศาลวันที่ 9 มีนาคม2530 จึงหาพ้นกำหนดตามประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ ข้อ 60 ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2736-2738/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงจ่ายบำเหน็จขัดมติคณะรัฐมนตรี: สัญญาไม่มีผลผูกพันรัฐวิสาหกิจ
บันทึกข้อตกลงระหว่างผู้แทนของจำเลยกับผู้แทนสหภาพโรงแรมเอราวัณที่ตกลงจ่ายเงินบำเหน็จให้แก่พนักงาน เมื่อเลิกจ้าง ถือได้ว่าเป็นการปรับปรุงสวัสดิการที่อาจคิดเป็นตัวเงินได้ตามความหมายของมติคณะรัฐมนตรีลงวันที่ 15 กันยายน 2524 ซึ่งห้ามมิให้รัฐวิสาหกิจใดกระทำการดังกล่าวเป็นอันขาดเว้นแต่จะได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเป็นพิเศษ จำเลยซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม ทั้งพนักงานของจำเลยก็เป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจต้องอยู่ภายใต้บังคับของมติดังกล่าวด้วยเช่นกัน การที่ผู้แทนของจำเลยและผู้แทนของสหภาพแรงงานโรงแรมเอราวัณตกลงกันจ่ายเงินบำเหน็จอันเป็นการปรับปรุงสวัสดิการโดยฝ่าฝืนมติคณะรัฐมนตรี จึงไม่มีผลบังคับ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2736-2738/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
มติคณะรัฐมนตรีห้ามปรับปรุงสวัสดิการรัฐวิสาหกิจ การตกลงจ่ายบำเหน็จขัดต่อมติฯ ไม่มีผลบังคับ
บันทึกข้อตกลงระหว่างผู้แทนของจำเลยกับผู้แทนสหภาพโรงแรมเอราวัณที่ตกลงจ่ายเงินบำเหน็จให้แก่พนักงานเมื่อเลิกจ้าง ถือได้ว่าเป็นการปรับปรุงสวัสดิการที่อาจคิดเป็นตัวเงินได้ตามความหมายของมติคณะรัฐมนตรีลงวันที่ 15 กันยายน2524 ซึ่งห้ามมิให้รัฐวิสาหกิจใดกระทำการดังกล่าวเป็นอันขาดเว้นแต่จะได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเป็นพิเศษ จำเลยซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม ทั้งพนักงานของจำเลยก็เป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจต้องอยู่ภายใต้บังคับของมติดังกล่าวด้วยเช่นกัน การที่ผู้แทนของจำเลยและผู้แทนของสหภาพแรงงานโรงแรมเอราวัณตกลงกันจ่ายเงินบำเหน็จอันเป็นการปรับปรุงสวัสดิการโดยฝ่าฝืนมติคณะรัฐมนตรี จึงไม่มีผลบังคับ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2727/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้บางส่วนตามคำพิพากษา ผลกระทบต่อหนี้ที่เหลือ และการคิดดอกเบี้ย
โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหาอาจถูกบังคับให้ชำระหนี้แต่เพียงบางส่วนไม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 320 หากโจทก์เห็นว่าตนยังมิได้รับชำระหนี้สมดังสิทธิตามคำพิพากษาก็ชอบที่จะบอกปัดไม่ยอมรับ จนกว่าจำเลยจะชำระหนี้ตามคำพิพากษาโดยสิ้นเชิง แต่โจทก์กลับละเสียซึ่งประโยชน์ตามมาตราดังกล่าว โดยยอมรับเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายชำระหนี้ตามคำพิพากษาบางส่วน ดังนั้น หนี้จำนวนนั้นจึงเป็นอันเปลื้องไป ทั้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 275 (2) ก็มีความหมายว่าลูกหนี้ตามคำพิพากษาอาจชำระหนี้แต่บางส่วนได้ เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจึงมีสิทธิขอให้บังคับคดีเฉพาะแต่ส่วนที่เหลือเท่านั้น
จำเลยสั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง เท่าที่คิดว่าพอแก่จำนวนที่โจทก์มีสิทธิเรียกร้องโดยไม่ยอมรับผิดการวางเงินเช่นนี้ย่อมไม่เป็นเหตุระงับการเสียดอกเบี้ยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 136
จำเลยชำระหนี้ตามคำพิพากษาบางส่วนไม่เพียงพอจะเปลื้องหนี้สินได้ทั้งหมด จึงต้องใช้ดอกเบี้ยก่อนแล้วจึงชำระหนี้เงินต้นอันเป็นหนี้ประธานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 329 หักแล้วจำเลยยังค้างชำระอยู่เท่าใดก็ต้องเสียดอกเบี้ยในเงินจำนวนนั้นจนถึงวันที่จำเลยชำระหนี้ครั้งต่อไป
โจทก์ขอเลื่อนนัดสอบถามของศาลแรงงานกลางเกี่ยวกับการรับชำระหนี้ของโจทก์ โดยอ้างว่าขาดการติดต่อทนายความจะขอปรึกษาทนายความโจทก์ก่อน เมื่อศาลฎีกาได้หยิบยกข้อเท็จจริงและพฤติการณ์แห่งคดีตามที่ปรากฏในท้องสำนวนขึ้นวินิจฉัยโดยละเอียดทุกถ้อยกระทงความแล้ว แม้โจทก์มีโอกาสปรึกษาหารือทนายโจทก์ก่อน ก็หาหยิบยกข้อเท็จจริง และพฤติการณ์แห่งคดีนอกเหนือไปจากท้องสำนวนให้เป็นอย่างอื่นได้ไม่ จะทำได้อย่างที่สุดก็เพียงแต่คำแถลงการณ์ ซึ่งไม่อาจเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยให้เป็นอย่างอื่นได้ การที่จะขอปรึกษาทนายโจทก์ก่อน จึงไม่จำเป็นไม่เป็นประโยชน์แก่คดี.
จำเลยสั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง เท่าที่คิดว่าพอแก่จำนวนที่โจทก์มีสิทธิเรียกร้องโดยไม่ยอมรับผิดการวางเงินเช่นนี้ย่อมไม่เป็นเหตุระงับการเสียดอกเบี้ยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 136
จำเลยชำระหนี้ตามคำพิพากษาบางส่วนไม่เพียงพอจะเปลื้องหนี้สินได้ทั้งหมด จึงต้องใช้ดอกเบี้ยก่อนแล้วจึงชำระหนี้เงินต้นอันเป็นหนี้ประธานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 329 หักแล้วจำเลยยังค้างชำระอยู่เท่าใดก็ต้องเสียดอกเบี้ยในเงินจำนวนนั้นจนถึงวันที่จำเลยชำระหนี้ครั้งต่อไป
โจทก์ขอเลื่อนนัดสอบถามของศาลแรงงานกลางเกี่ยวกับการรับชำระหนี้ของโจทก์ โดยอ้างว่าขาดการติดต่อทนายความจะขอปรึกษาทนายความโจทก์ก่อน เมื่อศาลฎีกาได้หยิบยกข้อเท็จจริงและพฤติการณ์แห่งคดีตามที่ปรากฏในท้องสำนวนขึ้นวินิจฉัยโดยละเอียดทุกถ้อยกระทงความแล้ว แม้โจทก์มีโอกาสปรึกษาหารือทนายโจทก์ก่อน ก็หาหยิบยกข้อเท็จจริง และพฤติการณ์แห่งคดีนอกเหนือไปจากท้องสำนวนให้เป็นอย่างอื่นได้ไม่ จะทำได้อย่างที่สุดก็เพียงแต่คำแถลงการณ์ ซึ่งไม่อาจเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยให้เป็นอย่างอื่นได้ การที่จะขอปรึกษาทนายโจทก์ก่อน จึงไม่จำเป็นไม่เป็นประโยชน์แก่คดี.