พบผลลัพธ์ทั้งหมด 502 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2503/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไล่ออกลูกจ้างฐานกระทำผิดวินัยร้ายแรง สั่งขับรถออกนอกเส้นทาง บันทึกเท็จ และละเลยความเสียหายต่อผู้โดยสาร
โจทก์เป็นนายท่ารถโดยสารประจำทางของจำเลย ได้ปล่อยรถโดยสารประจำทางคันสุดท้ายออกจากท่าอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพื่อไปยังท่ามีนบุรีโจทก์โดยสารไปกับรถคันนั้นเพื่อกลับบ้านด้วยโจทก์สั่งให้ ช.พนักงานขับรถขับออกนอกเส้นทางเลี้ยวรถเข้าไปส่งโจทก์ที่บ้านซึ่งห่างจากถนนใหญ่ประมาณ 1 กิโลเมตร เมื่อช.ส่งโจทก์แล้วได้กลับรถ แต่รถติดหล่ม โจทก์จึงใช้รถส่วนตัวนำผู้โดยสารอีก 3 คนที่เหลืออยู่ไปส่งที่ท่ามีนบุรี หลังจากนั้นได้นำรถยกไปยกรถเสร็จประมาณ 2 นาฬิการถจึงกลับไปถึงอู่ช้ากว่ากำหนด โจทก์ได้ทำบันทึกในบิลทำงาน พขร.ของช.ว่าน้ำมันไม่ขึ้น ก.ม.4 เสร็จเวลา 2 นาฬิกา อันเป็นเท็จ และในการขับรถออกนอกเส้นทางทำให้จำเลยสูญเสียน้ำมันเชื้อเพลิงไป 2.19ลิตร คิดเป็นเงิน 15.50 บาทถึงแม้การขับรถออกนอกเส้นทางของ ช.เป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของจำเลยเพียงผู้เดียวก็ตาม แต่โจทก์ไม่มีอำนาจสั่งการเช่นนั้น เป็นเหตุให้จำเลยเสียหายต้องสูญเสียน้ำมันเชื้อเพลิง ทั้งการทำบันทึกเท็จดังกล่าวเป็นการกระทำโดยเจตนาปกปิดการกระทำผิดของโจทก์ด้วย จึงเป็นการรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชาเป็นเหตุให้เสียหายแก่จำเลยอย่างร้ายแรงตามข้อบังคับของจำเลย ฉบับที่ 46 ว่าด้วยวินัย ฯ ข้อ 8.5 จำเลยมีอำนาจลงโทษไล่ออกได้ตาม ข้อ 8 ถือไม่ได้ว่าเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมทั้งเป็นการกระทำความผิดอย่างร้ายแรง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 จำเลยไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์และเป็นการฝ่าฝืนระเบียบเกี่ยวกับการทำงานอย่างร้ายแรง ต้องด้วยข้อยกเว้นที่จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47(3).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2391/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลแรงงานสั่งเยียวยาการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม แม้โจทก์ไม่ขอรับกลับเข้าทำงาน
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522มาตรา 49 เป็นบทบัญญัติที่กำหนดให้ศาลแรงงานมีอำนาจที่จะคุ้มครองป้องกันมิให้นายจ้างเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม โดยถ้าปรากฏต่อศาลแรงงานว่าการเลิกจ้างลูกจ้างรายใดไม่เป็นธรรมต่อลูกจ้าง ศาลแรงงานมีอำนาจสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างเข้าทำงานต่อไปในอัตราค่าจ้างที่เคยได้รับในขณะที่ถูกเลิกจ้างแต่ถ้าศาลแรงงานเห็นว่า ลูกจ้างไม่อาจทำงานร่วมกันต่อไปได้ศาลแรงงานก็มีอำนาจกำหนดให้นายจ้างชดใช้ค่าเสียหายแก่ลูกจ้างแทนการรับกลับเข้าทำงานและตามบทบัญญัติดังกล่าวก็ไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์ หรือขั้นตอนในการที่ลูกจ้างจะฟ้องเรียกค่าเสียหายไว้ การที่ศาลสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างเข้าทำงานต่อไปเป็นอำนาจของศาลแรงงานที่จะวินิจฉัยสั่งตามบทบัญญัติดังกล่าวในเมื่อปรากฏว่าลูกจ้างอาจทำงานร่วมกับนายจ้างต่อไปได้ การที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายเพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้ขอให้รับโจทก์กลับเข้าทำงานต่อไปด้วยนั้น หาใช่เป็นเหตุที่จะแสดงว่าโจทก์พอใจในการที่ถูกเลิกจ้างแล้วและจะถือว่าเป็นกรณีที่ไม่ใช่เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมหาได้ไม่ การเลิกจ้างจะเป็นธรรมหรือไม่ต้องพิจารณาถึงเหตุเลิกจ้างว่ามีเหตุอันสมควรเพียงพอหรือไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2391/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลแรงงานสั่งเยียวยาการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม แม้โจทก์ไม่ขอรับกลับเข้าทำงาน
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 49 เป็นบทบัญญัติที่กำหนดให้ศาลแรงงานมีอำนาจที่จะคุ้มครองป้องกันมิให้นายจ้างเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม โดยถ้าปรากฏต่อศาลแรงงานว่าการเลิกจ้างลูกจ้างรายใดไม่เป็นธรรมต่อลูกจ้าง ศาลแรงงานมีอำนาจสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างเข้าทำงานต่อไปในอัตราค่าจ้างที่เคยได้รับในขณะที่ถูกเลิกจ้างแต่ ถ้าศาลแรงงานเห็นว่า ลูกจ้างไม่อาจทำงานร่วมกันต่อไปได้ศาลแรงงานก็มีอำนาจกำหนดให้นายจ้างชดใช้ค่าเสียหายแก่ลูกจ้างแทน การรับกลับเข้าทำงานและตามบทบัญญัติดังกล่าวก็ไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์ หรือขั้นตอนในการที่ลูกจ้างจะฟ้องเรียกค่าเสียหายไว้ การที่ศาลสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างเข้าทำงานต่อไปเป็นอำนาจของศาลแรงงานที่จะวินิจฉัยสั่งตามบทบัญญัติดังกล่าวในเมื่อปรากฏว่าลูกจ้างอาจทำงานร่วมกับนายจ้างต่อไปได้ การที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายเพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้ขอให้รับโจทก์กลับเข้าทำงานต่อไปด้วยนั้น หาใช่เป็นเหตุที่จะแสดงว่าโจทก์พอใจในการที่ถูกเลิกจ้างแล้วและจะถือว่าเป็นกรณีที่ไม่ใช่เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมหาได้ไม่ การเลิกจ้างจะเป็นธรรมหรือไม่ต้องพิจารณาถึงเหตุเลิกจ้างว่ามีเหตุอันสมควรเพียงพอหรือไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2298/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานเชื่อมโยงจำเลยกับการฆ่าผู้ตาย แม้ไม่มีพยานตรง พบจำเลยอยู่กับผู้ตายก่อนเกิดเหตุและหลบหนีหลังเกิดเหตุ
โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานเบิกความยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายแต่โจทก์มีพยานพฤติเหตุแวดล้อม กรณีเชื่อได้ว่าก่อนเกิดเหตุเล็กน้อยและในขณะเกิดเหตุยิงกันจำเลยอยู่กับผู้ตายเพียงสองคนที่บ้านของจำเลย หลังเกิดเหตุแล้วจำเลยหลบหนีไปทันที ชั้นสอบสวนจำเลยยอมรับว่าหลบหนีไปเพราะจำเลยเป็นผู้ยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย พยานหลักฐานโจทก์ประกอบกันรับฟังลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้ตายได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2298/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานแวดล้อมและการยอมรับในชั้นสอบสวนเพียงพอพิสูจน์ความผิดฐานฆ่าผู้อื่น แม้ไม่มีพยานเห็นเหตุการณ์โดยตรง
โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานเบิกความยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายแต่โจทก์มีพยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีเชื่อได้ว่าก่อนเกิดเหตุเล็กน้อยและในขณะเกิดเหตุยิงกันจำเลยอยู่กับผู้ตายเพียงสองคนที่บ้านของจำเลย หลังเกิดเหตุแล้วจำเลยหลบหนีไปทันที ชั้นสอบสวนจำเลยยอมรับว่าหลบหนีไปเพราะจำเลยเป็นผู้ยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย พยานหลักฐานโจทก์ประกอบกันรับฟังลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้ตายได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2263/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องค่าล่วงเวลาไม่เป็นฟ้องซ้ำ แม้คดีเลิกจ้างยังไม่ถึงที่สุด เพราะเป็นมูลหนี้ต่างรายกัน
คดีก่อนโจทก์ฟ้องว่าจำเลยเลิกจ้างโดยไม่มีความผิด ไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ขอให้จ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกค่าล่วงเวลาที่จำเลยค้างชำระ มูลหนี้ที่ฟ้องในคดีก่อนกับคดีนี้เป็นมูลหนี้ต่างรายกัน ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำหรือฟ้องซ้อน ฟ้องซ้อนเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2263/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเรียกค่าล่วงเวลาไม่เป็นฟ้องซ้ำ แม้คดีเลิกจ้างยังไม่ถึงที่สุด การฟ้องเรียกค่าล่วงเวลาเป็นมูลหนี้ต่างหาก
คดีก่อนโจทก์ฟ้องว่าจำเลยเลิกจ้างโดยไม่มีความผิด ไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ขอให้จ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกค่าล่วงเวลาที่จำเลยค้างชำระ มูลหนี้ที่ฟ้องในคดีก่อนกับคดีนี้เป็นมูลหนี้ต่างรายกัน ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำหรือฟ้องซ้อน
ฟ้องซ้อนเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน.
ฟ้องซ้อนเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2127/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม: การหลับในเวลาทำงานไม่ใช่ความผิดร้ายแรงพอที่จะไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
การที่โจทก์แอบไปพักผ่อนหลับนอนในเวลาปฏิบัติงานตามหน้าที่เพียงสองชั่วโมงเศษ อันเป็นการกระทำผิดต่อสภาพการจ้าง แต่จำเลยไม่มีระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานกำหนดไว้ว่าเป็นความผิดที่ร้ายแรงหรือไม่ หรือมีโทษสถานใด จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์กระทำการฝ่าฝืนข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยเป็นกรณีที่ร้ายแรง การกระทำของโจทก์ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ หรือเป็นการจงใจทำให้จำเลยต้องได้รับความเสียหาย การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ จำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2125-2126/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้างรายวันฐานทุจริตต่อหน้าที่ การกระทำเข้าข่ายผิดวินัยร้ายแรง นายจ้างมีสิทธิเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
โจทก์เป็นลูกจ้างประจำรายวันของจำเลย วันไหนไม่ไปทำงานก็ไม่ได้ค่าจ้าง โจทก์ไม่ได้ไปทำงาน 1 วันโดยลาป่วยเท็จแต่รับค่าจ้างของวันที่ตนลาป่วยเท็จนั้นทั้งที่รู้ว่าไม่มีสิทธิจะได้รับ ดังนี้ การกระทำของโจทก์เป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากการลาป่วยเท็จอันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ ฝ่าฝืนต่อกฎระเบียบและคำสั่งของผู้บังคับบัญชา และจงใจเป็นเหตุให้จำเลยเสียหายอย่างร้ายแรง เป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง หาใช่เป็นการแจ้งเท็จหรือรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชาเพียงประการเดียวซึ่งมีโทษตัดค่าจ้างตามระเบียบของจำเลยเท่านั้นไม่ การที่จำเลยไล่โจทก์ออกจากงานจึงชอบด้วยข้อบังคับที่ให้อำนาจจำเลยไล่ลูกจ้างที่กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงออกจากงานได้แล้ว มิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม และเมื่อการกระทำของโจทก์เป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงเช่นนี้จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่จำต้องตักเตือนก่อนและไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2077/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวการร่วมข่มขืนโทรมหญิง แม้ไม่ได้กระทำเองก็มีความผิดตามกฎหมาย
จำเลยกับพวกร่วมกันจับผู้เสียหายให้ล้มลง แล้วช่วย กันจับแขนขาผู้เสียหายให้พวกของจำเลย 2 คนผลัดกันกระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่คนละครั้งอันเป็นการกระทำผิดฐานโทรมหญิง การกระทำของจำเลยเป็นการร่วมกันกระทำความผิดอันเป็นตัวการตาม ป.อ. มาตรา 83แม้จำเลยจะมิได้กระทำชำเราผู้เสียหาย ก็ถือว่า เป็นตัวการข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงด้วย ฟ้องว่าจำเลยร่วมกับพวกข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยเป็นตัวการข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ไม่เป็นข้อเท็จจริงต่างกับฟ้องศาลพิพากษาลงโทษจำเลยได้ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 276 วรรคสองศาลจะระบุไว้ในคำพิพากษาลอย ๆ แต่เพียงเลขมาตราว่า กระทำผิดตามป.อ. มาตรา 276 เท่านั้นไม่ได้ กรณีสมควรระบุให้แจ้งชัดด้วยว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดในวรรคตอนใด ของมาตรานั้นด้วย.