คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สีนวล คงลาภ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 502 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2077/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวการร่วมข่มขืนกระทำชำเรา แม้ไม่ได้ลงมือเองก็มีความผิดตามกฎหมาย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีก 3 คนร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายจับแขนขาผู้เสียหาย แล้วผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันข่มขืนกระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่คนละครั้ง แต่ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกับพวกช่วยกันจับแขนขาผู้เสียหาย ให้พวกของจำเลยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันข่มขืนกระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่ไปแล้ว 2 คน แม้จำเลยมิได้กระทำชำเราผู้เสียหายด้วยก็ตาม แต่การที่จำเลยช่วยจับขาของผู้เสียหายไว้เพื่อให้พวกของจำเลยข่มขืนกระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่ไปแล้วเช่นนี้ การกระทำของจำเลยถือว่าเป็นตัวการในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงแล้ว ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาจึงหาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องไม่
ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 โดยไม่ระบุวรรคใดนั้น ศาลฎีกาแก้เป็นระบุว่าผิด มาตรา 276 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2077/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวการร่วมข่มขืนกระทำชำเรา แม้ไม่ได้ลงมือเองก็มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีก 3 คนร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายจับแขนขาผู้เสียหาย แล้วผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันข่มขืนกระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่คนละครั้งแต่ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกับพวกช่วยกันจับแขนขาผู้เสียหาย ให้พวกของจำเลยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันข่มขืนกระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่ไปแล้ว 2 คน แม้จำเลยมิได้กระทำชำเราผู้เสียหายด้วยก็ตาม แต่การที่จำเลยช่วยจับขาของผู้เสียหายไว้เพื่อให้พวกของจำเลยข่มขืนกระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่ไปแล้วเช่นนี้ การกระทำของจำเลยถือว่าเป็นตัวการในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงแล้ว ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาจึงหาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องไม่
ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 โดยไม่ระบุวรรคใดนั้น ศาลฎีกาแก้เป็นระบุว่าผิด มาตรา 276 วรรคสอง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1902-1909/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าล่วงเวลา: การอยู่เวรเพื่อรอซ่อมเครื่องจักร ไม่ถือเป็นการทำงานปกติ จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลา
จำเลยให้โจทก์มาอยู่เวร ณ สถานที่ประกอบกิจการของจำเลยหากเครื่องจักรของจำเลยเสียซึ่งต้องทำการซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพที่จะใช้งานได้ต่อไป จำเลยก็จะมีคำสั่งหรือใบแจ้งงานให้โจทก์ซ่อมแซมและโจทก์ต้องลงเวลาการทำงานในบัตรลงเวลา ถ้าเครื่องจักรไม่เสียโจทก์ก็ไม่ต้องทำอะไร แต่ได้รับเบี้ยเลี้ยงในอัตราคนละ 40 บาท ดังนี้การที่โจทก์มาอยู่เวรดังกล่าว ย่อมถือไม่ได้ว่าเป็นการทำงานตามปกติของโจทก์ที่ได้รับมอบหมายให้ทำในกิจการของจำเลยผู้เป็นนายจ้าง โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลา หรือค่าทำงานในวันหยุดหรือค่าล่วงเวลาในวันหยุดแล้วแต่กรณี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1902-1909/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าล่วงเวลา: การอยู่เวรเพื่อรอซ่อมเครื่องจักร ไม่ถือเป็นการทำงานตามปกติ จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลา
จำเลยให้โจทก์มาอยู่เวร ณ สถานที่ประกอบกิจการของจำเลยหากเครื่องจักรของจำเลยเสียซึ่งต้องทำการซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพที่จะใช้งานได้ต่อไป จำเลยก็จะมีคำสั่งหรือใบแจ้งงานให้โจทก์ซ่อมแซมและโจทก์ต้องลงเวลาการทำงานในบัตรลงเวลา ถ้าเครื่องจักรไม่เสียโจทก์ก็ไม่ต้องทำอะไร แต่ได้รับเบี้ยเลี้ยงในอัตราคนละ 40 บาท ดังนี้การที่โจทก์มาอยู่เวรดังกล่าว ย่อมถือไม่ได้ว่าเป็นการทำงานตามปกติของโจทก์ที่ได้รับมอบหมายให้ทำในกิจการของจำเลยผู้เป็นนายจ้าง โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลา หรือค่าทำงานในวันหยุดหรือค่าล่วงเวลาในวันหยุดแล้วแต่กรณี.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1850/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ขณะปฏิบัติงานเข้าข่ายประสบอันตรายจากการทำงาน แม้ไม่ได้บรรยายถึงการสูญเสียอวัยวะ
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนซึ่งจำเลยเป็นประธานและวินิจฉัยว่าโจทก์มิได้ประสบอันตรายเนื่องจากการทำงานให้แก่นายจ้างโดยโจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์ได้รับอันตรายโดยประสบอุบัติเหตุถูกรถยนต์ชนรถจักรยานยนต์ที่ โจทก์ขับขี่ แพทย์ลงความเห็นว่ากระดูกต้นขาขวาและกระดูกหน้าแข้งแตกละเอียดเข่าขวาจะงอพับไม่ได้ตลอดไป กระดูกอักเสบเป็นหนองเรื้อรังที่ขาขวาตลอดไป ดังนี้ โจทก์ได้บรรยายถึงบาดแผลของโจทก์ที่เกิดจากอุบัติเหตุและผลที่ได้รับจากอุบัติเหตุนั้นแล้ว ทั้งตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ข้อ 54 วรรคสอง มีข้อความว่า การประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยซึ่งเป็นเหตุให้สูญเสียสมรรถภาพในการทำงานของอวัยวะไปเพียงบางส่วน ให้ถือว่าลูกจ้างสูญเสียอวัยวะนั้นด้วยฯ โจทก์จึงหาจำต้องบรรยายฟ้องว่าโจทก์ได้สูญเสียอวัยวะหรือทุพพลภาพด้วยไม่ ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1850/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคุ้มครองแรงงาน: บาดเจ็บจากอุบัติเหตุระหว่างทำงาน แม้ไม่บรรยายถึงการสูญเสียอวัยวะโดยตรง ฟ้องไม่เคลือบคลุม
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนซึ่งจำเลยเป็นประธานและวินิจฉัยว่าโจทก์มิได้ประสบอันตรายเนื่องจากการทำงานให้แก่นายจ้างโดยโจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์ได้รับอันตรายโดยประสบอุบัติเหตุถูกรถยนต์ชนรถจักรยานยนต์ที่โจทก์ขับขี่ แพทย์ลงความเห็นว่ากระดูกต้นขาขวาและกระดูกหน้าแข้งแตกละเอียด เข่าขวาจะงอพับไม่ได้ตลอดไป กระดูกอักเสบเป็นหนองเรื้อรังที่ขาขวาตลอดไป ดังนี้ โจทก์ได้บรรยายถึงบาดแผลของโจทก์ที่เกิดจากอุบัติเหตุและผลที่ได้รับจากอุบัติเหตุนั้นแล้ว ทั้งตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 54 วรรคสอง มีข้อความว่า การประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยซึ่งเป็นเหตุให้สูญเสียสมรรถภาพในการทำงานของอวัยวะไปเพียงบางส่วน ให้ถือว่าลูกจ้างสูญเสียอวัยวะนั้นด้วย ฯ โจทก์จึงหาจำต้องบรรยายฟ้องว่าโจทก์ได้สูญเสียอวัยวะหรือทุพพลภาพด้วยไม่ ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1828/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ แม้ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษ แต่คดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 จำคุก 1 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 69 ลงโทษจำคุก 4 เดือน ดังนี้คดีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยที่ 1 ใช้แป๊บน้ำตีโจทก์ร่วมที่ 1 เพราะโจทก์ร่วมที่ 1 ก่อเหตุจะทำร้ายจำเลยที่ 1 ก่อนและจำเลยที่ 2 เข้าช่วยเหลือจำเลยที่ 1 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการป้องกันตัวแต่เกินสมควรแก่เหตุการที่โจทก์ฎีกาว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองไม่เป็นการป้องกันตัว เพราะข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อนโดยใช้แป๊บน้ำตีโจทก์ร่วมที่ 1ขณะโจทก์ร่วมที่ 1 เข็นรถเข็นออกจากประตูร้านโดยมิได้รู้ตัว ขณะโจทก์ร่วมที่ 1 เข้ายื้อแย่งแป๊บน้ำจากจำเลยที่ 1จำเลยที่ 2 ก็เข้ามาชกต่อยโจทก์ร่วมที่ 1 นั้นเป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงซึ่งศาลอุทธรณ์รับฟังมา ฎีกาของโจทก์จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว
การที่จะเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา68 นั้นต้องมีองค์ประกอบข้อสุดท้ายว่าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1828/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุและการห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์รับฟังแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 จำคุก 1 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 69 ลงโทษจำคุก 4 เดือนดังนี้คดีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยที่ 1 ใช้แป๊บน้ำตีโจทก์ร่วมที่ 1 เพราะโจทก์ร่วมที่ 1 ก่อเหตุจะทำร้ายจำเลยที่ 1 ก่อนและจำเลยที่ 2เข้าช่วยเหลือจำเลยที่ 1 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการป้องกันตัวแต่เกินสมควรแก่เหตุการที่โจทก์ฎีกาว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองไม่เป็นการป้องกันตัวเพราะข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อนโดยใช้แป๊บน้ำตีโจทก์ร่วมที่ 1 ขณะโจทก์ร่วมที่ 1 เข็นรถเข็นออกจากประตูร้านโดยมิได้รู้ตัว ขณะโจทก์ร่วมที่ 1 เข้ายื้อแย่งแป๊บน้ำจากจำเลยที่ 1จำเลยที่ 2 ก็เข้ามาชกต่อยโจทก์ร่วมที่ 1 นั้นเป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงซึ่งศาลอุทธรณ์รับฟังมา ฎีกาของโจทก์จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว
การที่จะเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา68 นั้นต้องมีองค์ประกอบข้อสุดท้ายว่าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1793/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การถอนข้อเรียกร้องบางส่วน และการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างโดยไม่ยกเลิกผลัดการทำงาน
กฎหมายไม่ได้บังคับว่าฝ่ายที่ยื่นข้อเรียกร้องจะถอนข้อเรียกร้องทั้งหมดหรือข้อหนึ่งข้อใดไม่ได้ เมื่อสหภาพแรงงานพนักงานยาสูบ ผู้ยื่นข้อเรียกร้องได้ขอถอนข้อเรียกร้องข้อ 10 ที่ขอเปลี่ยนเวลาทำงาน แล้วนำคดีไปฟ้องต่อศาลแรงงานกลางในระหว่างไกล่เกลี่ยของพนักงานประนอมข้อพิพาทข้อเรียกร้องดังกล่าวจึงไม่มีอยู่และพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานไม่อาจดำเนินการไกล่เกลี่ยต่อไป โจทก์ไม่จำต้องปฏิบัติตามขั้นตอนและวิธีการตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 13,21 และ 22 จึงฟ้องคดีต่อศาลแรงงานกลางได้ กรณีไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 8 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522
โจทก์เป็นพนักงานควบคุมหม้อไอน้ำและเครื่องปรับอากาศ ยื่นข้อเรียกร้องขอให้จำเลยแก้ไขสภาพการจ้างโจทก์จากพนักงานประจำรายชั่วโมงเป็นพนักงานประจำรายเดือน แต่ยังคงยืนยันขอให้จำเลยแบ่งพนักงานเข้าทำงานเป็น 2 ผลัด โดยกำหนดเวลาทำงานของแต่ละผลัดไว้ จำเลยยินยอมตามข้อเรียกร้องนี้โจทก์จึงเป็นพนักงานประจำรายเดือนที่ต้องปฏิบัติงานเป็นผลัดต่อไปตามสภาพการจ้างเดิมการที่ต่อมาโรงงานยาสูบได้มีคำสั่งที่ ท.352/2522 ให้ลดเวลาทำงานของพนักงานยาสูบลงเหลือวันละ 8 ชั่วโมงโดยให้บังคับแก่โจทก์ด้วยนั้น มิได้เป็นการยกเลิกการปฏิบัติงานเป็นผลัดของโจทก์ด้วย กำหนดเวลาปฏิบัติงานตามคำสั่งนี้ซึ่งกำหนดเวลาทำงานตั้งแต่ 8.00 นาฬิกา ถึง 17.00 นาฬิกา เวลาพักระหว่าง 12.00 นาฬิกา ถึง 13.00 นาฬิกา จำเลยมุ่งประสงค์จะให้ใช้บังคับแก่พนักงานประจำรายเดือนทั่ว ๆ ไปเท่านั้น และโจทก์ก็ได้ปฏิบัติงานเป็นผลัดดังกล่าวตลอดมาโดยมิได้โต้แย้งคัดค้านโจทก์จะเรียกร้องขอปฏิบัติงานตามกำหนดเวลาในคำสั่งที่ ท.352/2522ไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1717/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าอาหาร/ค่าครองชีพไม่ถือเป็นค่าจ้างฐานคำนวณสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชย
จำเลยจ่ายค่าอาหารให้แก่โจทก์หรือลูกจ้างอื่นซึ่งทำงานประจำอยู่ที่สำนักงานใหญ่ที่กรุงเทพมหานคร เนื่องจากทางสำนักงานใหญ่ไม่ได้จัดอาหารเลี้ยงดังเช่นลูกจ้างที่โรงงานสีคิ้ว การจ่ายค่าอาหารให้จึงเป็นการให้ความสงเคราะห์แก่ลูกจ้างของจำเลย อันมีลักษณะเป็นการให้สวัสดิการแก่ลูกจ้าง มิได้จ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นการตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติ ฉะนั้น ไม่ว่าจะเรียกว่า เป็นค่าอาหารหรือค่าครองชีพและจะจ่ายให้เป็นประจำทุกเดือนหรือไม่ก็ตาม ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นค่าจ้างตามความหมายของประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะนำเงินค่าอาหารมารวมเป็นฐานในการคิดคำนวณสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยได้.
of 51