พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,016 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 667/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บันทึกการจับกุมใช้เป็นหลักฐานได้ แม้ไม่ได้แจ้งสิทธิผู้ถูกจับ โดยมีพยานหลักฐานอื่นประกอบ
บันทึกการจับกุมของเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมที่ไม่ได้บอกให้ผู้ถูกจับทราบก่อนว่า ถ้อยคำที่ผู้ถูกจับกล่าวนั้นอาจใช้เป็นพยานหลักฐานยันเขาในชั้นพิจารณาได้นั้น รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 608/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าซื้อ, ความรับผิดผู้เช่าซื้อเมื่อทรัพย์สินถูกยึด, สภาพทรัพย์สินชำรุด, การไม่ขอรับคืนทรัพย์สิน
ตามสัญญาเช่าซื้อระบุว่า "ถ้าทรัพย์สินที่เช่าซื้อถูกโจรภัยอัคคีภัย วินาศภัย สูญหาย ชำรุด บุบสลาย ถูกทำลาย ถูกอายัดถูกยึดหรือถูกริบไม่ว่าโดยเหตุสุดวิสัยหรือโดยเหตุใด ๆ ผู้เช่าซื้อยอมรับผิดฝ่ายเดียวและจะแจ้งให้เจ้าของทราบทันที ยอมติดตามฟ้องร้องเอาคืน...และยอมชำระเงินค่าเช่าซื้อทั้งสิ้นจนครบ" และปรากฏจากคำเบิกความพยานจำเลยซึ่งเป็นผู้ยึดรถยนต์พิพาทว่า ปัจจุบันรถยนต์พิพาทอยู่ในสภาพใช้การไม่ได้ พังไปหมดแล้ว เพราะถูกน้ำท่วมใหญ่2 ครั้ง รถยนต์พิพาทยังอยู่ระหว่างการยึดไว้เป็นของกลาง ยังไม่สามารถส่งมอบคืนแก่เจ้าของได้ จะคืนได้ต่อเมื่อศาลได้มีคำพิพากษาในคดีอาญาที่ยึดรถยนต์พิพาทไว้เป็นของกลางแล้ว จำเลยผู้เช่าซื้อจึงต้องรับผิดในกรณีที่รถยนต์พิพาทถูกยึดและโจทก์ไม่อาจขอรับรถยนต์พิพาทคืนได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 600/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความละเมิดและการยกอายุความของผู้ค้ำประกัน คดีนี้ใช้อายุความอาญามากกว่าอายุความแพ่ง
โจทก์ฟ้องบรรยายแสดงสภาพข้อหาว่าจำเลยที่ 1 ลูกจ้างโจทก์ยักยอกเงินค่าขายสินค้าของโจทก์ไป เป็นการฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายในมูลละเมิดอันเป็นความผิดมีโทษทางอาญา มีอายุความ 10 ปี กำหนดอายุความทางอาญายาวกว่าอายุความละเมิด จึงต้องเอาอายุความที่ยาวกว่ามาบังคับแก่คดี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 448 วรรคสอง โจทก์ฟ้องคดียังไม่พ้นกำหนด 10 ปี จึงไม่ขาดอายุความ จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 1ไม่อาจยกอายุความ 1 ปี ตามมาตรา 448 วรรคแรก ขึ้นต่อสู้โจทก์ได้จำเลยที่ 2 ก็ไม่อาจยกอายุความดังกล่าวขึ้นต่อสู้ได้เช่นเดียวกันจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 ให้การเพียงว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมไม่บรรยายให้ชัดแจ้งว่าวันเวลาใดที่จำเลยที่ 1 ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ดังนั้น การที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าฟ้องโจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหายเคลือบคลุม จึงเป็นที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 600/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องละเมิด: คดีอาญา (ยักยอกทรัพย์) มีอายุความยาวกว่าคดีแพ่ง จึงใช้บังคับ
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างโจทก์ได้ยักยอกเงินค่าสินค้าของโจทก์ไป เป็นการฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายในมูลละเมิดอันเป็นความผิดมีโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ซึ่งระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี มีอายุความที่จะต้องฟ้องและได้ตัวผู้กระทำผิดมายังศาลภายใน 10 ปี นับแต่วันที่กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95(3) กำหนดอายุความทางอาญาจึงยาวกว่าอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448วรรคแรก จึงต้องเอาอายุความที่ยาวกว่ามาบังคับตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคสองบัญญัติไว้จะนำอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448วรรคแรก มาบังคับแก่จำเลยที่ 1 ตลอดทั้งจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 579/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์: ศาลฎีกาวินิจฉัยประเด็นการเปลี่ยนแปลงลักษณะการยึดถือและการโต้แย้งสิทธิครอบครอง
ย.และส. รวมทั้งจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์มาก่อน จำเลยให้การเพียงว่า ที่ดินพิพาทเดิมเป็นของย.และส.ซึ่งได้บุกเบิกมาย.และส. ตายเมื่อ พ.ศ. 2527ก่อนตายได้ยกที่ดินพิพาทให้จำเลย จำเลยครอบครองตลอดมาและได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) โดยชอบ จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ว่า ย.และส. หรือจำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือที่ดินพิพาท จึงอ้างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 ไม่ได้ ดังนั้นศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยเองว่า จำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือที่ดินพิพาทเป็นการโต้แย้งสิทธิครอบครองของโจทก์หาได้ไม่ เพราะว่าเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือจากประเด็นที่จำเลยให้การต่อสู้ไว้ และไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 579/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์: การเปลี่ยนลักษณะการยึดถือต้องมีการต่อสู้คดีก่อน มิเช่นนั้นถือเป็นการครอบครองแทนเจ้าของเดิม
ย.และส. รวมทั้งจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์มาก่อน จำเลยให้การเพียงว่า ที่ดินพิพาทเดิมเป็นของย.และ ส.ซึ่งได้บุกเบิกมาย.และส. ตายเมื่อ พ.ศ. 2527ก่อนตายได้ยกที่ดินพิพาทให้จำเลย จำเลยครอบครองตลอดมา และได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) โดยชอบ จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ว่า ย.และส. หรือจำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือที่ดินพิพาท จึงอ้างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375ไม่ได้ ดังนั้นศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยเองว่าจำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือที่ดินพิพาทเป็นการโต้แย้งสิทธิครอบครองของโจทก์หาได้ไม่ เพราะว่าเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือจากประเด็นที่จำเลยให้การต่อสู้ไว้ และไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 558/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการนำสืบข้อเท็จจริงนอกคำให้การ และประเด็นที่มิได้ว่ากล่าวกันในศาลชั้นต้น
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากจำเลย และชำระค่าเช่าซื้อแล้ว 192,000 บาท จำเลยผิดสัญญา ขอให้บังคับจำเลย ส่งมอบ รถยนต์หรือคืนค่าเช่าซื้อ การที่จำเลยให้การว่า โจทก์จำเลย ไม่เคยทำหนังสือสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ สัญญาเช่าซื้อเป็นโมฆะ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ให้ จำเลยส่งมอบรถยนต์และให้ใช้เงินที่อ้างว่า ได้ผ่อนส่งเป็นค่าเช่าซื้อ เป็นคำให้การที่ไม่ปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ ที่ว่าโจทก์ได้ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่จำเลย จึงไม่มีประเด็นเรื่อง ค่าเช่าซื้อ และที่จำเลยนำสืบว่า จำเลยให้โจทก์เช่ารถยนต์เดือนละ เท่าใด ก็เป็นการนำสืบนอกเหนือคำให้การและนอกประเด็น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 558/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการต่อสู้คดี: การนำสืบเกินคำให้การ และประเด็นที่มิได้ยกขึ้นว่ากันในศาลชั้นต้น
คำให้การจำเลยว่า จำเลยไม่เคยทำหนังสือสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทสัญญาเช่าซื้อจึงเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยส่งมอบรถยนต์และให้จำเลยชดใช้เงินที่จำเลยอ้างว่าได้ผ่อนส่งเป็นค่าเช่าซื้อรถยนต์จำนวน 192,000 บาท ดังนี้เป็นการปฏิเสธฟ้องโจทก์โดยไม่ชัดแจ้ง ไม่มีประเด็นข้อพิพาทในเรื่องค่าเช่าซื้อ โจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่าโจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทจากจำเลยด้วยวาจา และโจทก์ชำระค่าเช่าซื้อให้จำเลยรวมเป็นเงิน 192,000 บาทจำเลยให้การต่อสู้เพียงว่า โจทก์ไม่เคยทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทเป็นหนังสือ การเช่าซื้อรถยนต์พิพาทจึงเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง การที่จำเลยนำสืบต่อสู้ว่าจำเลยให้โจทก์เช่ารถยนต์พิพาทเดือนละ 8,000 บาท จึงเป็นการนำสืบนอกเหนือคำให้การและนอกประเด็น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 517/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนตัวทนาย & การชี้สองสถานคดีภาษี: เหตุผลการถอนตัวไม่ชอบ & การดำเนินการชี้สองสถานชอบตามกฎหมาย
คำร้อง ของ ทนายโจทก์กล่าวเพียงว่าทนายโจทก์กับโจทก์มีความเห็นทางคดีไม่ตรงกัน และโจทก์ไม่ชำระค่าทนายความตามที่ตกลงกันจึงขอถอนตัวจากการเป็นทนาย มิได้กล่าวในคำร้องว่าทนายโจทก์ได้แจ้งให้ตัวความทราบแล้ว หรือหาตัวความไม่พบ ถือได้ว่าทนายโจทก์มิได้แสดงให้เป็นที่พอใจแก่ศาลถึงเหตุดังกล่าวตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 65 วรรคแรก ประกอบพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลภาษีอากรฯ มาตรา 17 บังคับไว้ เป็นคำร้องขอถอนตัวจากการตั้งแต่งให้เป็นทนายความที่ไม่ชอบ แม้ทนายของคู่ความหรือตัวความไม่มาศาลในวันชี้สองสถานศาลภาษีอากรกลางก็มีอำนาจทำการชี้สองสถานไปได้โดยไม่จำต้องเลื่อนการชี้สองสถานออกไป ตามข้อกำหนดคดีภาษีอากรข้อ 13 การที่ศาลภาษีอากรกลางสั่งคำร้อง ของ ทนายโจทก์ที่ขอถอนตัวจากการเป็นทนายและขอเลื่อนคดี เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณา นอกจากการนั่งพิจารณาและพิพากษาคดีที่ผู้พิพากษาศาลภาษีอากรคนใดคนหนึ่งมีอำนาจกระทำ หรือออกคำสั่งได้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรฯมาตรา 16 การที่ศาลภาษีอากรกลางจดรายงานกระบวนพิจารณาการชี้สองสถานมาอ่านให้คู่ความฟังที่หน้าห้องโดยมิได้ขึ้นนั่งพิจารณาบนบัลลังก์นั้นชอบด้วยข้อกำหนดคดีภาษีอากร ข้อ 20 ซึ่งกำหนดว่า ศาลอาจมีคำสั่งกำหนดการนั่งพิจารณาคดี ณ สถานที่ใด หรือในวันเวลาใด ๆก็ได้ ตามที่เห็นสมควร โจทก์มิได้คัดค้านว่าผู้พิพากษาคนเดียวทำการชี้สองสถานไม่ครบองค์คณะในขณะนั้น ถือว่าไม่ติดใจคัดค้านในเรื่ององค์คณะไม่อาจยกขึ้นอุทธรณ์ได้ ศาลภาษีอากรกลางนำข้ออ้างข้อเถียงที่ปรากฏในคำคู่ความเทียบกันดูแล้ว ทำการชี้สองสถานไปโดยมิได้สอบถามคู่ความถึงข้ออ้าง ข้อเถียงว่าฝ่ายใดยอมรับหรือโต้แย้ง ข้ออ้าง ข้อเถียงนั้นอย่างไร เพราะเห็นว่าไม่จำเป็นต้องสอบถาม เนื่องจากเป็นข้อที่คู่ความโต้แย้งกันในคำฟ้องและคำให้การโดยตรงอยู่แล้วเป็นการชี้สองสถานที่ชอบตามข้อกำหนดคดีภาษีอากร ข้อ 12
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 517/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนตัวทนาย, การชี้สองสถานโดยผู้พิพากษาคนเดียว และการดำเนินการตามข้อกำหนดคดีภาษีอากร
คำร้องขอถอนตัวของทนายโจทก์ไม่ปรากฏว่าทนายโจทก์ได้แจ้งให้ตัวความทราบแล้วหรือหาตัวความไม่พบ จึงเป็นคำร้องขอถอนตนจากการตั้งแต่งให้เป็นทนายความที่ไม่ชอบ ไม่มีเหตุที่ศาลต้องอนุญาตให้ทนายถอนตัว และศาลไม่มีหน้าที่คอยระวังความเสียหายให้โจทก์จากการกระทำที่ไม่ชอบของทนายความที่โจทก์เป็นผู้แต่งตั้งการสั่งคำร้องดังกล่าวเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณานอกจากการนั่งพิจารณาและพิพากษาคดี ที่ผู้พิพากษาศาลภาษีอากรคนใดคนหนึ่งมีอำนาจกระทำ หรือออกคำสั่งได้ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลภาษีอากรฯ มาตรา 16 แม้ทนายของคู่ความหรือตัวความไม่มาศาลในวันชี้สองสถาน ศาลก็ทำการชี้สองสถานไปได้ตามข้อกำหนดคดีภาษีอากร ข้อ 13 โดยไม่จำต้องเลื่อนการชี้สองสถาน ศาลภาษีอากรกลางนำรายงานกระบวนพิจารณาการชี้สองสถานมาอ่านให้คู่ความฟังที่หน้าห้องโดยมิได้ขึ้นนั่งพิจารณาบนบัลลังก์เป็นการชอบตามข้อกำหนดคดีภาษีอากร ข้อ 20 ที่กำหนดไว้ว่าศาลอาจมีคำสั่งกำหนดการนั่งพิจารณาคดี ณ สถานที่ใด หรือในวันเวลาใด ๆ ก็ได้ ตามที่เห็นสมควร ในการชี้สองสถาน ศาลไม่จำต้องสอบถามคู่ความเสมอไปเกี่ยวกับข้ออ้างข้อเถียงว่าฝ่ายใดยอมรับหรือโต้แย้งข้ออ้างข้อเถียงนั้นอย่างไร หากเป็นข้อที่คู่ความโต้แย้งกันในคำฟ้องและคำให้การโดยตรงอยู่แล้ว.