คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ประวิทย์ ขัมภรัตน์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,016 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2587/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินราคาภาษีอากรที่ต่ำกว่าความเป็นจริง และผลของการไม่อุทธรณ์การประเมินภาษีการค้า
จำเลยนำสินค้าของเด็กเล่นจากเมืองฮ่องกงเข้ามาในราชอาณาจักร เจ้าหน้าที่ศุลกากรตรวจสอบแล้วปรากฏว่าจำเลยสำแดงราคาสินค้าต่ำกว่าความเป็นจริง จึงแจ้งการประเมินให้จำเลยชำระภาษีอากรขาเข้า ภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลเพิ่มเติม เมื่อจำเลยมิได้อุทธรณ์การประเมินให้จำเลยชำระภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลเพิ่มขึ้นต่อคณะกรรมการพิจารณา อุทธรณ์ตาม ป. รัษฎากรจึงต้องถือว่าการประเมินให้จำเลยชำระภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลเพิ่มขึ้นเป็นอันชอบแล้ว.
ตาม ป. รัษฎากร มาตรา 89 ทวิ ผู้ประกอบการค้าต้องชำระเงินเพิ่มตามอัตราที่กฎหมายกำหนด เมื่อไม่ชำระภาษีการค้าภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้อันเป็นทางแก้ กรณีที่ลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้โดยเฉพาะแล้ว จะนำ ป.พ.พ. มาตรา 224ว่าด้วยดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดมาเรียกร้องเอากับลูกหนี้ซ้ำอีกหาได้ไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2587/2532 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินราคาศุลกากร, การอุทธรณ์ภาษี, และเงินเพิ่มทางภาษีอากร: ศาลฎีกาวินิจฉัยการประเมินราคาศุลกากรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการบังคับชำระภาษีอากร
จำเลยนำสินค้าของเด็กเล่นจากเมือง ฮ่องกง เข้ามาในราชอาณาจักรเจ้าหน้าที่ศุลกากรตรวจสอบแล้วปรากฏว่าจำเลยสำแดงราคาสินค้าต่ำกว่าความเป็นจริง จึงแจ้งการประเมินให้จำเลยชำระภาษีอากรขาเข้าภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลเพิ่มเติม เมื่อจำเลยมิได้อุทธรณ์การประเมินที่ประเมินให้จำเลยชำระภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลเพิ่มขึ้นต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามประมวลรัษฎากร จึงต้องถือว่าการประเมินให้จำเลยชำระภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลเพิ่มขึ้นเป็นอันชอบแล้ว
ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 89 ทวิ ผู้ประกอบการค้าต้องชำระเงินเพิ่มตามอัตราที่กฎหมายกำหนด เมื่อไม่ชำระภาษีการค้าภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ อันเป็นทางแก้กรณีที่ลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้โดยเฉพาะแล้ว จะนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 ว่าด้วยดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดมาเรียกร้องเอากับลูกหนี้ซ้ำอีกหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2585/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลผูกพันคำพิพากษาคดีรวมพิจารณา: คดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ข้อเท็จจริงไม่ผูกพันคดีที่เปิดให้อุทธรณ์ได้
โจทก์ผู้รับประกันภัยฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยอ้างว่า รถคันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ถูกรถคันที่จำเลยรับประกันภัยไว้ชนได้รับความเสียหาย จำเลยก็ได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากโจทก์อันเนื่องมาจากการที่รถเกิดชนกันในเหตุครั้งเดียวกันนี้ด้วย ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีรวมกันแล้วฟังว่า เหตุที่รถชนกันเกิดเพราะความประมาทของผู้ขับรถคันที่จำเลยรับประกันภัยไว้แต่ฝ่ายเดียว พิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ และยกฟ้องคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ แม้คดีหลังนี้จะต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง แต่ก็ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายใดที่ให้ถือว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในคดีหลังดังกล่าวนี้มีผลผูกพันคู่ความในคดีแรกที่คู่ความมีสิทธิอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง หรืออีกนัยหนึ่งไม่มีบทมาตราใดให้ศาลอุทธรณ์จำต้องถือข้อเท็จจริงในคดีที่ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ จำเลยจึงมีสิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าผู้ขับรถคันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ก็มีส่วนประมาทด้วย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2585/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลผูกพันคำพิพากษาคดีรวมพิจารณา: คดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ข้อเท็จจริงไม่ผูกพันคดีที่เปิดให้อุทธรณ์ได้
โจทก์ผู้รับประกันภัยฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยอ้างว่ารถคันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ถูกรถคันที่จำเลยรับประกันภัยไว้ชนได้รับความเสียหาย จำเลยก็ได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากโจทก์อันเนื่องมาจากการที่รถเกิดชนกันในเหตุครั้งเดียวกันนี้ด้วยศาลชั้นต้นพิจารณาคดีรวมกันแล้วฟังว่า เหตุที่รถชนกันเกิดเพราะความประมาทของผู้ขับรถคันที่จำเลยรับประกันภัยไว้แต่ฝ่ายเดียวพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ และยกฟ้องคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ แม้คดีหลังนี้จะต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงแต่ก็ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายใดที่ให้ถือว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในคดีหลังดังกล่าวนี้มีผลผูกพันคู่ความในคดีแรกที่คู่ความมีสิทธิอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง หรืออีกนัยหนึ่งไม่มีบทมาตราใดให้ศาลอุทธรณ์จำต้องถือข้อเท็จจริงในคดีที่ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์จำเลยจึงมีสิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า ผู้ขับรถคันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ก็มีส่วนประมาทด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2585/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับประกันภัยรถยนต์: ศาลฎีกาตัดสินว่าคำพิพากษาคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ ไม่ผูกพันคดีที่มีสิทธิอุทธรณ์ได้
โจทก์ผู้รับประกันภัยฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยอ้างว่า รถคันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ถูกรถคันที่จำเลยรับประกันภัยไว้ชนได้รับความเสียหาย จำเลยก็ได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากโจทก์อันเนื่องมาจากการที่รถเกิดชนกันในเหตุครั้งเดียวกันนี้ด้วยศาลชั้นต้นพิจารณา คดีรวมกันแล้วฟังว่า เหตุที่รถชนกันเกิดเพราะความประมาทของผู้ขับรถคันที่จำเลยรับประกันภัยไว้แต่ฝ่ายเดียว พิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์และยกฟ้องคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ แม้คดีหลังนี้จะต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงแต่ก็ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายใดที่ให้ถือว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในคดีหลังดังกล่าวนี้มีผลผูกพันคู่ความในคดีแรกที่คู่ความมีสิทธิอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง หรืออีกนัยหนึ่งไม่มีบทมาตราใดให้ศาลอุทธรณ์จำต้องถือข้อเท็จจริงในคดีที่ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ จำเลยจึงมีสิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าผู้ขับรถคันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ก็มีส่วนประมาทด้วย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2585/2532 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลผูกพันคำพิพากษาคดีรวมพิจารณา: คดีต้องห้ามอุทธรณ์ข้อเท็จจริงไม่ผูกพันคดีที่เปิดให้อุทธรณ์ได้
โจทก์ผู้รับประกันภัยฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยอ้างว่า รถคันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ถูกรถคันที่จำเลยรับประกันภัยไว้ชนได้รับความเสียหาย จำเลยก็ได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากโจทก์อันเนื่องมาจากการที่รถเกิดชนกันในเหตุครั้งเดียวกันนี้ด้วย ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีรวมกันแล้วฟังว่า เหตุที่รถชนกันเกิดเพราะความประมาทของผู้ขับรถคันที่จำเลยรับประกันภัยไว้แต่ฝ่ายเดียว พิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ และยกฟ้องคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ แม้คดีหลังนี้จะต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง แต่ก็ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายใดที่ให้ถือว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในคดีหลังดังกล่าวนี้มีผลผูกพันคู่ความในคดีแรกที่คู่ความมีสิทธิอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง หรืออีกนัยหนึ่งไม่มีบทมาตราใดให้ศาลอุทธรณ์จำต้องถือข้อเท็จจริงในคดีที่ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ จำเลยจึงมีสิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าผู้ขับรถคันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ก็มีส่วนประมาทด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2550/2532 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคำนวณเงินได้พึงประเมินจากเงินที่ได้รับเมื่อออกจากงาน และการหักค่าใช้จ่ายตามมาตรา 42 ทวิ วรรคสาม
เงินได้ที่โจทก์ได้รับครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานนั้นมีวิธีการคำนวณจ่ายตามระเบียบของบริษัทผู้เป็นนายจ้าง แตกต่างจากวิธีการคำนวณบำเหน็จบำนาญ การคำนวณหาเงินได้พึงประเมินที่จะถือเป็นเกณฑ์ในการคำนวณค่าใช้จ่ายตามมาตรา 42 ทวิ วรรคสามจึงต้องเป็นไปตามข้อ 3 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากรว่าด้วยภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 2) เรื่องกำหนดระเบียบการคำนวณเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) และ (2) แห่งประมวลรัษฎากรซึ่งนายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานโดยคำนวณจ่ายจากระยะเวลาที่ทำงานที่ใช้เป็นเกณฑ์การคำนวณค่าใช้จ่ายตามมาตรา 42 ทวิ วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร
เงินได้พึงประเมินที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานไม่ว่าจะเป็นเงินได้ ตามมาตรา 40(1) หรือ (2) แห่งประมวลรัษฎากรก็ตาม ต้องนำมาคำนวณหาเงินได้พึงประเมินที่ใช้เป็นเกณฑ์การคำนวณค่าใช้จ่ายตามมาตรา 42 ทวิ วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากรทั้งสิ้น ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรว่าด้วยภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 2)
คำว่าเงินได้สำหรับระยะเวลาเต็มเดือนเดือนสุดท้าย และเงินได้รายเดือนถัวเฉลี่ย ของ 12 เดือน สุดท้ายก่อนออกจากงาน ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรว่าด้วยภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 2) หมายความถึงเงินได้ที่ได้รับในระยะเวลาดังกล่าวทั้งหมดมิได้หมายความถึงเฉพาะเงินเดือนซึ่งเป็นเงินได้ตามมาตรา 40(1) แห่งประมวลรัษฎากรเพียงอย่างเดียว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2550/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคำนวณเงินได้พึงประเมินจากเงินที่ได้รับเมื่อออกจากงาน ต้องเป็นไปตามประกาศกรมสรรพากร โดยพิจารณาเงินได้ทั้งหมด ไม่เฉพาะเงินเดือน
เงินได้ที่โจทก์ได้รับครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน มีวิธีการคำนวณจ่ายตามระเบียบของบริษัทผู้เป็นนายจ้างแตกต่างจากวิธีการคำนวณบำเหน็จบำนาญ การคำนวณหาเงินได้พึงประเมินที่จะถือเป็นเกณฑ์ในการคำนวณค่าใช้จ่ายตามมาตรา 42 ทวิ วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร จึงต้องเป็นไปตามข้อ 3 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากรว่าด้วยภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 2) เรื่อง กำหนดระเบียบการคำนวณเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) และ (2) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งนายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานโดยคำนวณจ่ายจากระยะเวลาที่ทำงาน ที่ใช้เป็นเกณฑ์การคำนวณค่าใช้จ่ายตามมาตรา 42 ทวิ วรรคสาม เงินได้พึงประเมินที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน ไม่ว่าจะเป็นเงินได้ตามมาตรา 40(1) หรือ (2) แห่งประมวลรัษฎากร ก็ต้องนำมาคำนวณหาเงินได้พึงประเมินที่ใช้เป็นเกณฑ์การคำนวณค่าใช้จ่ายตามมาตรา 42 ทวิ วรรคสามทั้งสิ้น ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรว่าด้วยภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 2) คำว่า เงินได้สำหรับระยะเวลาเต็มเดือนเดือนสุดท้ายและเงินได้รายเดือนถัวเฉลี่ยของ 12 เดือนสุดท้ายก่อนออกจากงาน ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรว่าด้วยภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 2) หมายความถึงเงินได้ที่ได้รับในระยะเวลาดังกล่าวทั้งหมด มิได้หมายความถึงเฉพาะเงินเดือนซึ่งเป็นเงินได้ตามมาตรา 40(1) แห่งประมวลรัษฎากรเพียงอย่างเดียว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2550/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคำนวณภาษีเงินได้กรณีเงินได้จากการออกจากงาน ต้องพิจารณาตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรที่เกี่ยวข้อง
เงินได้ที่โจทก์ได้รับครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานนั้นมีวิธีการคำนวณจ่ายตามระเบียบของบริษัทผู้เป็นนายจ้าง แตกต่างจากวิธีการคำนวณบำเหน็จบำนาญ การคำนวณหาเงินได้พึงประเมินที่จะถือเป็นเกณฑ์ในการคำนวณค่าใช้จ่ายตามมาตรา 42 ทวิ วรรคสาม จึงต้องเป็นไปตามข้อ 3ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากรว่าด้วยภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 2)เรื่อง กำหนดระเบียบการคำนวณเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1)และ (2) แห่ง ป. รัษฎากร ซึ่งนายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานโดยคำนวณจ่ายจากระยะเวลาที่ทำงานที่ใช้เป็นเกณฑ์การคำนวณค่าใช้จ่ายตามมาตรา 42 ทวิ วรรคสามแห่ง ป. รัษฎากร.
เงินได้พึงประเมินที่นายจ้าง จ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานไม่ว่าจะเป็นเงินได้ตามมาตรา 40(1) หรือ(2) แห่ง ป.รัษฎากรก็ตามก็ต้องนำมาคำนวณหาเงินได้พึงประเมินที่ใช้เป็นเกณฑ์การคำนวณค่าใช้จ่ายตามมาตรา 42 ทวิ วรรคสาม แห่ง ป.รัษฎากรทั้งสิ้น ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรว่าด้วยภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 2).
คำว่า เงินได้สำหรับระยะเวลาเต็มเดือนเดือนสุดท้ายและเงินได้รายเดือนถัวเฉลี่ย ของ 12 เดือนสุดท้ายก่อนออกจากงาน ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรว่าด้วยภาษีเงินได้(ฉบับที่ 2) หมายความถึงเงินได้ที่ได้รับในระยะเวลาดังกล่าวทั้งหมด มิได้หมายความถึงเฉพาะเงินเดือนซึ่งเป็นเงินได้ตามมาตรา 40(1) แห่ง ป.รัษฎากร เพียงอย่างเดียว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2550/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคำนวณเงินได้พึงประเมินจากเงินที่ได้รับเมื่อออกจากงาน และการหักค่าใช้จ่ายตามมาตรา 42 ทวิ วรรคสาม
เงินได้ที่โจทก์ได้รับครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานนั้นมีวิธีการคำนวณจ่ายตามระเบียบของบริษัทผู้เป็นนายจ้าง แตกต่างจากวิธีการคำนวณบำเหน็จบำนาญ การคำนวณหาเงินได้พึงประเมินที่จะถือเป็นเกณฑ์ในการคำนวณค่าใช้จ่ายตามมาตรา 42 ทวิ วรรคสามจึงต้องเป็นไปตามข้อ 3 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากรว่าด้วยภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 2) เรื่องกำหนดระเบียบการคำนวณเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) และ (2) แห่งประมวลรัษฎากรซึ่งนายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานโดยคำนวณจ่ายจากระยะเวลาที่ทำงานที่ใช้เป็นเกณฑ์การคำนวณค่าใช้จ่ายตามมาตรา 42 ทวิ วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร เงินได้พึงประเมินที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานไม่ว่าจะเป็นเงินได้ ตามมาตรา 40(1) หรือ (2) แห่งประมวลรัษฎากรก็ตาม ต้องนำมาคำนวณหาเงินได้พึงประเมินที่ใช้เป็นเกณฑ์การคำนวณค่าใช้จ่ายตามมาตรา 42 ทวิ วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากรทั้งสิ้น ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรว่าด้วยภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 2) คำว่าเงินได้สำหรับระยะเวลาเต็มเดือนเดือนสุดท้าย และเงินได้รายเดือนถัวเฉลี่ย ของ 12 เดือน สุดท้ายก่อนออกจากงาน ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรว่าด้วยภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 2) หมายความถึงเงินได้ที่ได้รับในระยะเวลาดังกล่าวทั้งหมดมิได้หมายความถึงเฉพาะเงินเดือนซึ่งเป็นเงินได้ตามมาตรา 40(1) แห่งประมวลรัษฎากรเพียงอย่างเดียว.
of 102