พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,016 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3322/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในที่ดินหลังประกาศเป็นป่าสงวน: การสละสิทธิจากการไม่แสดงเจตนาภายในกำหนด
จำเลยยึดถือครอบครองที่ดินมาก่อนที่กฎกระทรวงกำหนดให้เป็นป่าสงวนแห่งชาติ แต่เมื่อจำเลยได้ทราบประกาศให้ที่ดินที่จำเลยครอบครองเป็นป่าสงวนแห่งชาติแล้ว จำเลยไม่ยื่นแสดงสิทธิของจำเลยต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ว่ามีสิทธิอยู่ในเขตป่าสงวนได้ภายใน 90 วัน นับแต่วันที่กฎกระทรวงใช้บังคับ จึงถือว่าจำเลยได้สละสิทธิหรือประโยชน์นั้นแล้วตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ. 2507 มาตรา 12 วรรคแรก จำเลยจึงไม่มีสิทธิยึดถือครอบครองที่ดินดังกล่าว เมื่อป่าไม้อำเภอแจ้งว่าจำเลยบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติให้ออกไป จำเลยไม่ยอมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกโดย ยังคงยึดถือครอบครองที่ดินนั้นต่อไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามมาตรา 14,31
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3322/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวน: การสละสิทธิเมื่อไม่แสดงตนภายใน 90 วันหลังประกาศ
แม้จำเลยได้ยึดถือครอบครองที่ดินมาก่อนที่กฎกระทรวงกำหนดให้ป่าดงขุนดำ เป็นป่าสงวนแห่งชาติก็ตาม แต่เมื่อจำเลยได้ทราบประกาศให้ที่ดินที่จำเลยครอบครองเป็นป่าสงวนแห่งชาติแล้ว จำเลยไม่ยื่นแสดงสิทธิของจำเลยว่ามีสิทธิอยู่ในเขตป่าสงวนได้ภายใน90 วัน นับแต่วันที่กฎกระทรวงดังกล่าวใช้บังคับ จึงถือว่า จำเลยได้สละสิทธิหรือประโยชน์นั้นแล้ว ตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติฯมาตรา 12 วรรคแรก จำเลยจึงไม่มีสิทธิยึดถือครอบครองที่ดินดังกล่าวเมื่อป่าไม้อำเภอแจ้งว่า จำเลยบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติให้ออกไป จำเลยไม่ยอมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปโดยยังคงยึดถือครอบครองที่ดินนั้นต่อไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3226/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งหมายเรียกปิดหมายที่ภูมิลำเนาของผู้ถูกฟ้อง และการขาดนัดยื่นคำให้การมีผลอย่างไรต่อการต่อสู้คดี
จำเลยมีถิ่นที่อยู่ 2 แห่ง ถือว่าแห่งใดแห่งหนึ่งเป็นภูมิลำเนาของจำเลยเมื่อเจ้าหน้าที่ปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง ณ ภูมิลำเนาแห่งหนึ่งของจำเลยโดยชอบแล้ว จำเลยไม่ยื่นคำให้การภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดถือว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การโดยจงใจย่อมมีสิทธิเพียงสาบานตนให้การเป็นพยานและถามค้านพยานโจทก์ เมื่อจำเลยเบิกความยอมรับว่าจำเลยไม่ส่งไม้ให้โจทก์ตามสัญญาแล้ว จำเลยจะอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ชำระค่าไม้ที่เหลือหาได้ไม่ เพราะจำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3222/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องกู้ยืมเงินไม่เคลือบคลุม และไม่ขาดอายุความ 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า โจทก์ประกอบกิจการค้าข้าวและจำเลยประกอบกิจการโรงสีข้าวมีธุรกิจการค้าต่อกัน จำเลยได้ยืมเงินโจทก์จำนวน 362,729.50 บาท ตามหลักฐานการกู้ยืมท้ายฟ้อง โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยไม่ชำระ จำเลยจึงต้องรับผิดชำระเงินให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ย เป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยว่า เหตุใดโจทก์จึงยอมให้จำเลยกู้เงินจำนวนดังกล่าวโดยมิได้กำหนดเวลาชำระเงินคืน และเหตุใดจึงมิได้กำหนดดอกเบี้ยไว้ ไม่จำต้องบรรยายในฟ้อง เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่เป็นรายละเอียดนำสืบภายหลังได้ ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม สัญญากู้ยืมเงินมิได้กำหนดวันชำระเงินไว้ สิทธิเรียกร้องที่จะให้ชำระเงินคืนเริ่มนับแต่วันกู้เป็นต้นไป และมีอายุความ 10 ปีจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์วันที่ 31 กรกฎาคม 2518 โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2528 จึงเป็นการฟ้องคดีภายใน 10 ปีไม่ขาดอายุความ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3222/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องกู้ยืมเงินไม่เคลือบคลุมและไม่ขาดอายุความ ศาลยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า โจทก์ประกอบกิจการค้าข้าว และจำเลยประกอบกิจการโรงสีข้าวมีธุรกิจการค้าต่อกัน จำเลยได้ยืมเงินโจทก์จำนวน 362,729.50 บาท ตามหลักฐานการกู้ยืมท้ายฟ้อง โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยไม่ชำระ จำเลยจึงต้องรับผิดชำระเงินให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยว่า เหตุใดโจทก์จึงยอมให้จำเลยกู้เงินจำนวนดังกล่าวโดยมิได้กำหนดเวลาชำระเงินคืน และเหตุใดจึงมิได้กำหนดดอกเบี้ยไว้ ไม่จำต้องบรรยายในฟ้องอย่างใด เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่เป็นรายละเอียดนำสืบภายหลังได้ ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
สัญญากู้มิได้กำหนดวันชำระเงินไว้ จำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์วันที่ 31 กรกฎาคม2518 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2528 จึงเป็นการฟ้องคดีภายในกำหนด 10 ปี ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ
สัญญากู้มิได้กำหนดวันชำระเงินไว้ จำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์วันที่ 31 กรกฎาคม2518 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2528 จึงเป็นการฟ้องคดีภายในกำหนด 10 ปี ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3127/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานหลักฐาน - สำเนาเอกสารแทนต้นฉบับ กรณีจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล
โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอให้จำเลยที่ 1 ส่งต้นฉบับเอกสารซึ่งอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 1 ต่อศาลแล้ว แต่จำเลยที่ 1 มิได้นำส่งต้นฉบับเอกสารดังกล่าวตามคำสั่งศาล จึงรับฟังสำเนาเอกสารดังกล่าวประกอบพยานบุคคลของโจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2998/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: การฟ้องคดีเดิมด้วยเหตุและเอกสารหลักฐานชุดเดียวกัน ศาลพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์
ในคดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกันศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากโจทก์ไม่มีหนังสือสัญญาค้ำประกันมาแสดง คดีถึงที่สุดโจทก์มาฟ้องคดีนี้ขอให้จำเลยที่ 2 รับผิดตามหนังสือสัญญาค้ำประกันฉบับเดียวกับที่ฟ้องในคดีก่อน จึงเป็นการฟ้องขอให้ศาลวินิจฉัยในประเด็นโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน เป็นฟ้องซ้ำ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2998/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: การฟ้องคดีเดิมซ้ำ โดยอาศัยเหตุผลและเอกสารหลักฐานเดิม ศาลยกฟ้อง
คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ให้รับผิดตามหนังสือสัญญาค้ำประกันฉบับเดียวกับที่โจทก์นำมาฟ้องในคดีนี้ และศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องคดีก่อนคดีถึงที่สุดแล้วโดยวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีเอกสารหนังสือสัญญาค้ำประกันมาแสดง เป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 680 วรรคสอง เท่ากับศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีแล้วว่า จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันโดยอาศัยเหตุที่โจทก์ไม่มีหนังสือสัญญาค้ำประกันมาแสดงต่อศาล โจทก์ฟ้องคดีนี้ขอให้จำเลยที่ 2 รับผิดตามหนังสือสัญญาค้ำประกันฉบับเดียวกับที่ฟ้องในคดีก่อน จึงเป็นการขอให้ศาลวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีโดยอาศัยเหตุเรื่องหนังสือสัญญาค้ำประกันฉบับเดิมนั้นอีก เป็นการฟ้องขอให้ศาลวินิจฉัยในประเด็นโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน จึงเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2982/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หลักฐานการกู้ยืมเงินเป็นหนังสือ ไม่ต้องระบุคำว่า 'กู้ยืม' โดยชัดเจน หากมีลายมือชื่อผู้ยืมและพยานหลักฐานสนับสนุน
หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือนั้นกฎหมายมิได้มีความหมายเคร่งครัดถึงกับว่าจะต้องมีถ้อยคำว่ากู้ยืมอยู่ในหนังสือนั้นไม่เมื่อโจทก์มีหนังสือรับสภาพหนี้ซึ่งมีใจความว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์และจำเลยรับจะชดใช้เงินแก่โจทก์ กับมีลายมือชื่อจำเลยในฐานะลูกหนี้ลงไว้มาแสดง ทั้งมีพยานบุคคลมาสืบประกอบอธิบายถึงมูลหนี้ดังกล่าว ถือได้ว่าหนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือตามที่ ป.พ.พ. มาตรา 653 บัญญัติไว้แล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2982/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หลักฐานการกู้ยืมเงิน หนังสือรับสภาพหนี้เพียงพอ แม้ไม่มีคำว่า 'กู้ยืม' โดยตรง
คำว่า หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 นั้น กฎหมายมิได้มีความหมายเคร่งครัดถึงกับว่าจะต้องมีถ้อยคำว่ากู้ยืมอยู่ในหนังสือนั้น เมื่อโจทก์มีหนังสือรับสภาพหนี้ซึ่งมีใจความว่าจำเลยเป็นหนี้เงินโจทก์จำนวน 19,780 บาท จำเลยรับจะชดใช้เงินให้แก่โจทก์กับมีลายมือชื่อจำเลยในฐานะลูกหนี้ลงไว้มาแสดงและมีพยานบุคคลมาสืบประกอบอธิบายได้ว่าหนี้เงินจำนวนดังกล่าวเป็นหนี้ที่เกิดจากการกู้เงินจำนวนเท่าใด จากการซื้อสินค้าเชื่อจำนวนเท่าใดก็ถือได้ว่าหนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือแล้ว