พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,016 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2387/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองในที่สาธารณะ: การครอบครองและทำประโยชน์ในหนองน้ำสาธารณะไม่ถือเป็นสิทธิครอบครอง
ประเด็นข้อพิพาทมีว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นหนองน้ำสาธารณะสำหรับประชาชนใช้ร่วมกันเท่ากับวินิจฉัยว่าที่พิพาทไม่ได้เป็นของโจทก์นั่นเองจึงเป็นการวินิจฉัยตรงตามประเด็นในคดี โจทก์เพียงแต่เข้าไปขุดบ่อไว้เป็นแห่ง ๆ ในที่พิพาทซึ่งเป็นหนองน้ำสาธารณะสำหรับประชาชนใช้ร่วมกัน เพื่อจับปลาเช่นเดียวกับจำเลยและราษฎรคนอื่น ๆ และในหน้าน้ำทุกปีน้ำท่วมพื้นที่ทั้งหมดไม่มีผู้ใดสามารถใช้ประโยชน์จากบ่อที่ขุดไว้ได้ ทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ทำประโยชน์อย่างอื่นในที่พิพาท โจทก์จึงไม่มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2387/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองในที่ดินสาธารณะ: การขุดบ่อจับปลาไม่ถือเป็นการครอบครองที่ดิน
ประเด็นข้อพิพาทในคดีมีว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ การที่ศาลวินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นหนองน้ำสาธารณะสำหรับประชาชนใช้ร่วมกันก็คือวินิจฉัยว่าที่พิพาทไม่ได้เป็นของโจทก์นั่นเอง เป็นการวินิจฉัยตามประเด็นในคดี ที่พิพาทเป็นหนองน้ำสาธารณะสำหรับประชาชนใช้ร่วมกันโจทก์เพียงแต่เข้าไปขุดบ่อไว้เป็นแห่ง ๆ เพื่อจับปลาซึ่งเป็นการกระทำในลักษณะทำนองเดียวกับจำเลยและราษฎรคนอื่น ๆ และในหน้าน้ำทุกปีมีน้ำท่วมพื้นที่ทั้งหมดไม่มีผู้ใดสามารถใช้ประโยชน์จากบ่อที่ขุดไว้ได้โจทก์จึงไม่มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยที่ลงหลักปักเขตขุดคูในที่พิพาทเพื่อเป็นบ่อปลา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2350/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ตัวผู้กระทำผิดจากการเบิกความพยาน, พยานหลักฐาน, และคำรับสารภาพของผู้ต้องหา
ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 นุ่งโสร่งและใส่เสื้อแขนสั้นตรงกับที่จำเลยที่ 1 แต่งกายในตอนเช้าและในตอนเย็น ขณะเจ้าพนักงานตำรวจไปจับกุมก็ยังแต่งกายชุดเดิมการปล้นกระทำกันในระยะประชิดโดยจำเลยที่ 1 วิ่งจากข้างทางมายืนขวางหน้ารถแล้วยกอาวุธปืนขึ้นจ้องขู่บังคับให้หยุดรถ แม้ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 จะสวมหมวกถักด้วยไหมพรม แต่ใบหน้าตั้งแต่ระดับคิ้วลงมาจดคางไม่มีสิ่งใดปิดบัง เหตุเกิดเวลากลางวัน พยานโจทก์เคยเห็นหน้าจำเลยที่ 1 มาก่อนเกิดเหตุเพียงไม่กี่ชั่วโมง และเห็นรอยแผลเป็นที่บริเวณใกล้ข้อมือซ้ายของจำเลยที่ 1 ขณะยกอาวุธปืนจ้องขู่บังคับอยู่ตรงหน้ารถ พยานโจทก์ย่อมจำคนร้ายได้ถูกต้อง และหลังเกิดเหตุยังได้ระบุตำหนิรูปพรรณคนร้ายจนเป็นเหตุให้เจ้าพนักงานตำรวจติดตามไปจับจำเลยที่ 1 ได้ แล้วจำเลยที่ 1 ซัดทอดว่าจำเลยที่ 2 เป็นคนร้ายและนำเจ้าพนักงานตำรวจไปจับจำเลยที่ 2 ได้พร้อมของกลางจำเลยที่ 2 ให้การรับว่าเงินของกลางได้มาจากการปล้นทรัพย์ของผู้เสียหาย ชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การรับสารภาพพยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักรับฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดจริงตามฟ้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2302/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนทรัพย์สินเพื่อเลี่ยงชำระหนี้: อุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้ามตาม พ.ร.บ.ศาลแขวง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยพยานหลักฐานในสำนวนแล้วฟังว่า การที่จำเลยมีชื่อเป็นเจ้าของรถพิพาทก่อนโอนให้ ป. นั้น จำเลยมิได้มีกรรมสิทธิ์ในรถคันพิพาทอย่างแท้จริง แต่เป็นการปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่างจำเลยกับ ป. ในฐานะลูกหนี้เจ้าหนี้ การกระทำของจำเลยหาได้มีเจตนาที่จะมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนไม่ โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทที่โอนให้แก่ ป. และการโอนรถพิพาทมีเจตนาเพื่อมิให้โจทก์ได้รับชำระหนี้แล้ว เป็นการโต้เถียงดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นอุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 22.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2215/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเรียกค่าปรับก่อนบอกเลิกสัญญา: การบอกเลิกสัญญาตามข้อ 20 ไม่ครอบคลุมสิทธิเรียกร้องค่าปรับ
ตามสัญญาข้อ 19 มีข้อความว่า ถ้าผู้รับจ้างส่งมอบงานล่าช้ากว่าวันแล้วเสร็จตามสัญญา แต่ผู้ว่าจ้างยังมิได้บอกเลิกสัญญาผู้รับจ้างยอมให้ผู้ว่าจ้างปรับผู้รับจ้างเป็นรายวัน วันละ6,240 บาท นับแต่วันที่ล่วงเลยกำหนดวันแล้วเสร็จตามสัญญาจนถึงวันที่งานแล้วเสร็จบริบูรณ์และข้อ 19 วรรคสองว่า ในระหว่างที่มีการปรับนั้น ถ้าผู้ว่าจ้างเห็นว่า ผู้รับจ้างไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ ผู้ว่าจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและใช้สิทธิตามข้อ 20 นอกเหนือจากการปรับจนถึงวันบอกเลิกสัญญาด้วย และสัญญาข้อ 20 มีข้อความว่า ถ้าผู้ว่าจ้างบอกเลิกสัญญาแล้ว ผู้รับจ้างยอมให้ผู้ว่าจ้างริบหลักประกันสัญญาดังกล่าวในสัญญาข้อ 3 ดังนั้นเมื่อจำเลยที่ 1 ผิดสัญญา โจทก์ต้องใช้สิทธิเรียกร้องค่าปรับจากจำเลยเสียก่อนที่จะบอกเลิกสัญญา การที่โจทก์มีหนังสือถึงจำเลยที่ 1 บอกเลิกสัญญาที่จำเลยที่ 1 ไม่ส่งมอบงานตามสัญญาให้แก่โจทก์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงต้องริบหลักประกันและเรียกค่าปรับเป็นรายวัน วันละ 6,240 บาท นับแต่วันถัดจากวันสิ้นสุดสัญญาถึงวันบอกเลิกสัญญานั้น ถือไม่ได้ว่าเป็นการบอกเลิกสัญญาในระหว่างที่มีการปรับตามสัญญาข้อ 19 วรรคสอง แต่เป็นการบอกเลิกสัญญาตามข้อ 20 ซึ่งไม่ได้ระบุให้สิทธิแก่โจทก์ในการเรียกค่าปรับจากจำเลยทั้งสอง โจทก์จึงเรียกค่าปรับจากจำเลยทั้งสองด้วยไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2172/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดของนายจ้าง, หุ้นส่วนผู้จัดการ, และผู้รับประกันภัย เมื่อพิสูจน์ไม่ได้ว่าลูกจ้างประมาท
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะนายจ้างของ ว. ให้ร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดที่ ว. ได้กระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 และฟ้องจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1และจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัย ให้ร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ เป็นเรื่องเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแยกได้เมื่อศาลฎีกาฟังว่า ว. มิได้ขับรถโดยประมาท แม้จำเลยที่ 2 จะมิได้ฎีกา คงฎีกาขึ้นมาเฉพาะจำเลยที่ 1 ที่ 3 ศาลฎีกาก็พิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 2 ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245ประกอบด้วยมาตรา 247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2172/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย: ศาลมีอำนาจพิพากษาถึงจำเลยที่ไม่ฎีกา หากเป็นหนี้ที่ไม่สามารถแบ่งแยกได้
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะนายจ้างของ ว. ให้ร่วมรับผิด ใน ผลแห่งละเมิดที่ ว. ได้กระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1และฟ้องจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 และ จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัย ให้ร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย แก่โจทก์ กรณีจึงเป็นเรื่องเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจ แบ่งแยกได้แม้จำเลยที่ 2จะมิได้อุทธรณ์ฎีกา คงฎีกาขึ้นมาเฉพาะ จำเลยที่ 1 ที่ 3 แต่เมื่อศาลฎีกาฟังว่า ว. มิได้ขับรถโดยประมาท พิพากษายกฟ้องโจทก์ ก็ย่อมมี อำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 2 ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 245 ประกอบด้วย มาตรา 247.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2165/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลื่อนคดี: เหตุจำเป็นไม่อาจก้าวล่วง & ผลกระทบต่อความยุติธรรม
เมื่อศาลชั้นต้นสั่งให้เลื่อนคดีแก่ทนายจำเลยทั้งสามมาครั้งหนึ่งแล้ว ทนายจำเลยทั้งสามจะขอเลื่อนการพิจารณาอีกไม่ได้เว้นแต่มีเหตุจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงเสียได้ และหากศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีไปจะทำให้เสียความยุติธรรม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 40 วรรคแรก การที่ทนายจำเลยทั้งสามยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีครั้งต่อมาโดยอ้างเหตุแห่งความจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงเสียได้ว่าเพราะทนายจำเลยทั้งสามติดว่าความที่ศาลอื่นซึ่งนัดไว้ก่อนและเป็นนัดสุดท้ายฝ่ายโจทก์ไม่ได้คัดค้านว่าไม่เป็นความจริง ดังนั้น ต้องถือว่าทนายจำเลยทั้งสามติดว่าความที่ศาลอื่นจริง ทนายจำเลยทั้งสามย่อมไม่สามารถว่าความสองคดีต่างศาลกันในเวลาเดียวกันได้ นับว่ามีเหตุจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงเสียได้ และเมื่อจำเลยทั้งสามยังไม่ได้เบิกความเป็นพยานตนเอง หากศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีย่อมจะทำให้เสียความยุติธรรมแก่จำเลยทั้งสาม ชอบที่ศาลชั้นต้นจะสั่งเลื่อนคดีไปเท่าที่จำเป็นแม้จะเกินกว่าหนึ่งครั้งตามบทกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2133/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามตามมาตรา 248 กรณีโต้แย้งดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์
สุกรที่ผู้ร้องขอให้ปล่อยจากการยึด เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาไว้เป็นเงิน 21,000 บาท จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ไม่เกิน50,000 บาท ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า ส. และจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นพยานผู้ร้องเบิกความถึงเอกสารหมาย ร.1 แตกต่างกันเป็นพิรุธน่าสงสัยว่าเอกสารดังกล่าวได้จัดทำขึ้นหลังยึดสุกรแล้วที่ผู้ร้องฎีกาว่าสุกรดังกล่าวเป็นของผู้ร้องไม่ใช่ของจำเลยที่ 2 การที่ศาลรับฟังพยานโจทก์เป็นการสืบพยานบุคคลเปลี่ยนแปลงข้อความในเอกสารหมาย ร.1 นั้น จึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2086/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทุจริตในการยืมรถยนต์: การใช้รถเพื่อย้ายที่อยู่ไม่ใช่ความผิดฐานลักทรัพย์
ป. เป็นลูกจ้างของผู้เสียหาย มีหน้าที่เฝ้าดูแลรถยนต์ในร้านของผู้เสียหาย ป. กับพวกรวมทั้งจำเลยใช้รถยนต์ของผู้เสียหายบรรทุกข้าวของส่วนตัวออกจากที่พักในร้านของผู้เสียหายเพื่อย้ายที่อยู่ใหม่ โดยมิได้เอาทรัพย์สินมีค่าอย่างอื่นของผู้เสียหายไปด้วย เมื่อใช้รถยนต์ของผู้เสียหายเสร็จก็นำไปจอดทิ้งไว้แล้วพวกของป. โทรศัพท์แจ้งให้พี่ชายผู้เสียหายทราบถึงสถานที่ที่ทิ้งรถไว้ เพื่อให้ผู้เสียหายติดตามเอาคืน แสดงให้เห็นว่าจำเลยกับ ป. และพวกมิได้เอารถยนต์ของผู้เสียหายไปโดยเจตนาทุจริตจำเลยจึงไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์