พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,016 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2859/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องขอคืนอากรศุลกากร: ต้องฟ้องภายใน 2 ปีนับจากวันนำเข้า และแจ้งความก่อนส่งมอบของ
สิทธิในการเรียกร้องหรือในการฟ้องคดีเพื่อเรียกคืนเงินอากรเพราะเหตุที่ได้เสียไว้เกินจำนวนที่พึงต้องเสียนั้น จะต้องฟ้องเสียภายในสองปีนับแต่วันที่นำของเข้า และถ้า เป็นการเรียกร้องหรือฟ้องคดีเพื่อขอคืนอากรเพราะเหตุอันเกี่ยวกับชนิด คุณภาพ ปริมาณ น้ำหนักหรือราคาแห่งของใด ๆ หรือเกี่ยวกับอัตราอากรสำหรับของใด ๆ นอกจากจะต้องเรียกร้องหรือฟ้องคดีภายในสองปีแล้ว ยังจะต้องแจ้งความไว้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อนส่งมอบของว่าจะยื่นคำเรียกร้องด้วย โจทก์นำสินค้าเข้าเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2521 แต่โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2529 เป็นเวลาล่วงเลยเกินกว่าสองปีนับแต่วันที่นำสินค้าเข้าแล้ว ทั้งโจทก์มิได้แจ้งความไว้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อนส่งมอบสินค้าว่าโจทก์จะยื่นคำเรียกร้องขอคืนอากร ดังนั้นคดีของโจทก์ขาดอายุความแล้วตามนัยที่กล่าวข้างต้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2859/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องขอคืนอากร และการแจ้งความก่อนส่งมอบสินค้า
สิทธิในการเรียกร้องหรือในการฟ้องคดีเพื่อเรียกคืนเงินอากรเพราะเหตุที่ได้เสียไว้เกินจำนวนที่พึงต้องเสียนั้นจะต้องฟ้องเสียภายในสองปีนับแต่วันที่นำของเข้า และถ้าเป็นการเรียกร้องหรือฟ้องคดีเพื่อขอคืนอากรเพราะเหตุอันเกี่ยวกับชนิด คุณภาพ ปริมาณ น้ำหนัก หรือราคาแห่งของใด ๆ หรือเกี่ยวกับอัตราอากรสำหรับของใด ๆ นอกจากจะต้องเรียกร้องหรือฟ้องคดีภายในสองปีแล้ว ยังจะต้องแจ้งความไว้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อนส่งมอบของว่าจะยื่นคำเรียกร้องด้วย
โจทก์นำสินค้าเข้าเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2521 แต่โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2529 เป็นเวลาล่วงเลยเกินกว่าสองปีนับแต่วันที่นำสินค้าเข้าแล้ว ทั้งโจทก์มิได้แจ้งความไว้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อนส่งมอบสินค้าว่าโจทก์จะยื่นคำเรียกร้องขอคืนอากร ดังนั้นคดีของโจทก์ขาดอายุความแล้วตามนัยที่กล่าวข้างต้น.
โจทก์นำสินค้าเข้าเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2521 แต่โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2529 เป็นเวลาล่วงเลยเกินกว่าสองปีนับแต่วันที่นำสินค้าเข้าแล้ว ทั้งโจทก์มิได้แจ้งความไว้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อนส่งมอบสินค้าว่าโจทก์จะยื่นคำเรียกร้องขอคืนอากร ดังนั้นคดีของโจทก์ขาดอายุความแล้วตามนัยที่กล่าวข้างต้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2853/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ตัวผู้กระทำผิดจากพยานหลักฐานที่ไม่ชัดเจน การชี้ตัวผู้ต้องหาโดยอาศัยลักษณะภายนอกย่อมมีน้ำหนักน้อย
ผู้เสียหายชี้ตัวจำเลยได้ถูกต้อง เพราะได้พิจารณาดูรูปถ่ายหน้าตา ผิวพรรณ และความยาวของผม แล้วจึงลงความเห็นว่าจำเลยเป็นคนร้าย เช่นนี้ การชี้ตัวมิได้มาจากการจำคนร้ายได้แม่นยำแน่นอน แต่เป็นการพินิจพิจารณาเชื่อมโยงลักษณะของคนร้ายที่ได้เห็น กับลักษณะของจำเลยมาเปรียบเทียบกันคำเบิกความของผู้เสียหายที่ว่าจำจำเลยได้จึงไม่มีน้ำหนักพอที่จะรับฟังว่าจำเลยได้กระทำผิด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2853/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ตัวผู้กระทำผิดจากคำเบิกความของผู้เห็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยรู้จักผู้ต้องหา ต้องมีน้ำหนักเพียงพอและมีพยานหลักฐานสนับสนุน
ผู้เสียหายชี้ ตัวจำเลยได้ถูกต้อง เพราะได้พิจารณาดู รูปถ่ายหน้าตา ผิวพรรณ และความยาวของผม แล้วจึงลงความเห็นว่าจำเลยเป็นคนร้าย เช่นนี้ การชี้ ตัวมิได้มาจากการจำคนร้ายได้แม่นยำแน่นอนแต่เป็นการพินิจ พิจารณาเชื่อมโยงลักษณะของคนร้ายที่ได้เห็น กับลักษณะของจำเลยมาเปรียบเทียบกัน คำเบิกความของผู้เสียหายที่ว่าจำจำเลยได้จึงไม่มีน้ำหนักพอที่จะรับฟังว่าจำเลยได้กระทำผิด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2768/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภูมิลำเนาจำเลยต่างประเทศ: ศาลรับฟ้องเมื่อจำเลยระบุภูมิลำเนาในเขตศาลแพ่ง ทั้งในคำฟ้องและคดีอื่น
เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องถึงภูมิลำเนาของจำเลยไว้ชัดแจ้งแล้วว่าอยู่ในเขตศาลแพ่ง ทั้งตามฟ้องที่จำเลยได้ยื่นฟ้องโจทก์เป็นจำเลยต่อศาลแพ่งเป็นอีกคดีหนึ่งนั้น จำเลยก็ระบุว่าตนมีภูมิลำเนาอยู่ ณ ที่เดียวกัน ในชั้นนี้จึงฟังข้อเท็จจริงไว้ก่อนว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลแพ่งตามที่โจทก์บรรยายฟ้องชอบที่จะต้องรับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(2).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2768/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภูมิลำเนาจำเลยต่างประเทศ: ศาลรับฟ้องได้หากระบุชัดเจนในฟ้องและปรากฏในคดีอื่น
เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องถึงภูมิลำเนาของจำเลยไว้ชัดแจ้งแล้วว่าอยู่ในเขตศาลแพ่ง ทั้งตามฟ้องที่จำเลยได้ยื่นฟ้องโจทก์เป็นจำเลยต่อศาลแพ่งเป็นอีกคดีหนึ่งนั้น จำเลยก็ระบุว่าตนมีภูมิลำเนาอยู่ ณ ที่เดียวกัน ในชั้นนี้จึงฟังข้อเท็จจริงไว้ก่อนว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลแพ่งตามที่โจทก์บรรยายฟ้องชอบที่จะต้องรับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4 (2).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2768/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดภูมิลำเนาของจำเลยเพื่อรับฟ้องคดีแพ่ง: ศาลฎีกาวินิจฉัยรับฟ้องจากข้อมูลที่ปรากฏในฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 518/4อาคารสิริณี ถนนเพลินจิต แขวงลุมพินี เขตปทุมวันกรุงเทพมหานครซึ่งอยู่ในเขตศาลแพ่งและเมื่อจำเลยที่ 1 ยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลแพ่งก็ระบุภูมิลำเนาของจำเลยที่เดียวกันกับที่โจทก์บรรยายในฟ้อง ดังนี้จึงต้องฟังข้อเท็จจริงไว้ก่อนว่าภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1อยู่ในเขตศาลแพ่ง โจทก์ชอบที่จะยื่นฟ้องคดีต่อศาลแพ่งได้ตามนัยแห่งป.วิ.พ. มาตรา 4(2).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2746/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฉ้อโกงประชาชนด้วยการอ้างความศักดิ์สิทธิ์ของเด็กและหลอกลวงให้หลงเชื่อในน้ำมนต์เพื่อหวังผลประโยชน์
จำเลยทั้งสองหลอกลวงว่าเด็กชาย ว. บุตรของตน เทพให้มาเกิดได้รับยกย่อง ว่าเป็นอาจารย์น้อย เป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์ รักษาโรคต่าง ๆได้ประชาชนที่ไปรับการรักษาต้องนำเงิน 12 บาทพร้อมด้วยดอกไม้ธูป เทียนใส่จานไปยื่นให้จำเลย โดยนำไปวางไว้ที่ขันน้ำจำนวน 6 ใบแล้วจำเลยที่ 1 จะจุดเทียนหยด น้ำตา เทียนในขันและบอกว่าน้ำดังกล่าวเป็นน้ำมนต์ใช้รักษาโรคได้ ซึ่งมีจำเลยที่ 2 คอยช่วย ตัก น้ำเพื่อใช้ทำน้ำมนต์ จำเลยที่ 1 จะเป็นผู้หยิบเอาดอกไม้ธูป เทียนและเงิน 12 บาทไป การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการกระทำให้ปรากฏแก่สายตา ประชาชนและเป็นการร่วมกันโดยทุจริตโดยกระทำด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชน เพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวง มีความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ. มาตรา 343.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2746/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฉ้อโกงประชาชนด้วยการอ้างน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์รักษาโรค และเรียกเก็บค่าครู
จำเลยทั้งสองทำน้ำมันมนต์ให้แก่ประชาชนโดยอ้างว่ารักษาโรคได้และเก็บเงินจากประชาชนที่มารับน้ำมนต์ไปคนละ 12 บาทเป็นค่าครู ซึ่งจำเลยทั้งสองก็รู้ว่าน้ำมนต์นั้นไม่ใช่ยารักษาโรค แต่จำเลยทั้งสองกลับอวดอ้างว่าเด็กชาย ว. บุตรของจำเลยทั้งสองเป็นอาจารย์น้อย เป็นคนมีบุญ เทพให้มาเกิดทำนองว่าเป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์ ทำให้ประชาชนหลงเชื่อว่าน้ำมนต์นั้นศักดิ์สิทธิรักษาโรคได้อันเป็นการหลอกลวงประชาชนเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สิน การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน
เมื่อศาลล่างปรับบทลงโทษจำเลยโดยไม่ระบุว่าเป็นความผิดตามวรรคใดในมาตราที่ลงโทษ ศาลฎีกาจึงระบุเสียให้ถูกต้อง.
เมื่อศาลล่างปรับบทลงโทษจำเลยโดยไม่ระบุว่าเป็นความผิดตามวรรคใดในมาตราที่ลงโทษ ศาลฎีกาจึงระบุเสียให้ถูกต้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2746/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฉ้อโกงประชาชนด้วยการอ้างน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์รักษาโรค โดยหลอกลวงเรียกเก็บเงิน
จำเลยทั้งสองทำน้ำมันมนต์ให้แก่ประชาชนโดยอ้างว่ารักษาโรคได้และเก็บเงินจากประชาชนที่มารับน้ำมนต์ไปคนละ 12 บาท เป็นค่าครู ซึ่งจำเลยทั้งสองก็รู้ว่าน้ำมนต์นั้นไม่ใช่ยารักษาโรค แต่จำเลยทั้งสองกลับอวดอ้างว่าเด็กชาย ว. บุตรของจำเลยทั้งสองเป็นอาจารย์น้อย เป็นคนมีบุญเทพให้มาเกิดทำนองว่าเป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์ ทำให้ประชาชนหลงเชื่อว่าน้ำมนต์นั้นศักดิ์สิทธิรักษาโรคได้อันเป็นการหลอกลวงประชาชนเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สิน การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน
เมื่อศาลล่างปรับบทลงโทษจำเลยโดยไม่ระบุว่าเป็นความผิดตามวรรคใดในมาตราที่ลงโทษ ศาลฎีกาจึงระบุเสียให้ถูกต้อง.
เมื่อศาลล่างปรับบทลงโทษจำเลยโดยไม่ระบุว่าเป็นความผิดตามวรรคใดในมาตราที่ลงโทษ ศาลฎีกาจึงระบุเสียให้ถูกต้อง.