คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ประวิทย์ ขัมภรัตน์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,016 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1901/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องฎีกาต้องแสดงสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับตามที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและอุทธรณ์
ฟ้องฎีกาเป็นคำฟ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 1(3) จึงต้องแสดงให้ชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา และต้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ฎีกาของโจทก์มิได้บรรยายถึงเนื้อหาแห่งคำฟ้อง คำให้การ และคำพิพากษาศาลชั้นต้น คงบรรยายโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ในข้อที่โจทก์ไม่เห็นด้วย ซึ่งเมื่ออ่านฎีกาของโจทก์โดยตลอดแล้วไม่อาจทราบได้ว่า โจทก์ฟ้องจำเลยอย่างไรจำเลยให้การต่อสู้ว่าอย่างไร ข้อที่โจทก์ยกขึ้นโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์นั้นเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นหรือไม่ ฟ้องฎีกาของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 171 ประกอบด้วย มาตรา 246,247 ศาลฎีกาไม่อาจรับวินิจฉัยได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1879/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางแพ่งกรณีทรัพย์สินสูญหาย ผู้ดูแลรักษาต้องแสดงความระมัดระวังตามสมควร หากไม่มีความประมาเลิศไม่ต้องรับผิด
จำเลยที่ 1 เป็นหัวหน้าภาควิชาคหกรรมศาสตร์ จำเลยที่ 2เป็นหัวหน้าสาขาวิชาอาหารและโภชนาการ อันเป็นสาขาวิชาหนึ่งในภาควิชาคหกรรมศาสตร์ จำเลยที่ 1 ที่ 2 มีหน้าที่ดูแลรักษาทรัพย์สินของโจทก์ที่ใช้ทำการสอนอยู่ในภาควิชาและสาขาวิชาที่แต่ละคนรับผิดชอบ ให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย ปลอดภัย ไม่สูญหาย ปรากฏว่าเครื่องชั่งน้ำหนักระบบไฟฟ้า 1 เครื่อง ซึ่งใช้ประจำอยู่ในห้องปฏิบัติการของสาขาวิชาดังกล่าวสูญหายไป แต่จำเลยที่ 1 ที่ 2มิได้กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้เครื่องชั่งน้ำหนักดังกล่าวสูญหาย และจำเลยที่ 1 ที่ 2 มิได้มอบหมายให้บุคคลอื่นดูแลรักษา เนื่องจากได้ติดตั้งประจำที่อยู่ในห้องปฏิบัติการนั้นอยู่แล้ว เท่ากับจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีหน้าที่ดูแลรักษาทรัพย์ดังกล่าวเอง เมื่อเห็นว่ามีความปลอดภัยตามสมควรแล้วจึงไม่จำเป็นต้องจัดวางระเบียบในการเก็บรักษาอีก ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2ไม่จัดวางระเบียบจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายโดยตรง จำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ที่เครื่องชั่งน้ำหนักดังกล่าวถูกคนร้ายลักเอาไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1860/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ราคาซื้อขายที่ไม่เป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาด กรณีลดราคาเพื่อส่งเสริมการขายและแข่งขันทางการค้า
การที่ผู้ขายในต่างประเทศ กำหนดราคาลดลงจากราคาเดิมที่ผู้นำเข้าเคยนำเข้ามา เพราะเมื่อผู้นำเข้านำสินค้ารถยนต์พิพาทเข้ามาครั้งก่อน ผู้นำเข้าขายได้น้อยกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ การลดราคาให้ผู้นำเข้าครั้งนี้ก็เพื่อสนับสนุนการขายของผู้นำเข้าให้มีผู้ซื้อมากขึ้น โดยคำนึงถึงการแข่งขันกับรถยนต์ยี่ห้ออื่นในระดับเดียวกันราคาที่ลดลงจึงเป็นราคาที่ผู้ขายในต่างประเทศลดราคาให้เป็นพิเศษเพื่อขายแข่งกับรถยนต์ที่นำเข้ายี่ห้ออื่น ซึ่งเป็นเพียงนโยบายทางการค้าเท่านั้น จึงหาใช่ราคาที่ซื้อขายกันโดยปกติไม่ ราคาดังกล่าวจึงมิใช่ราคาอันแท้จริงในท้องตลาด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1860/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ราคาซื้อขายที่แท้จริงในท้องตลาด: การลดราคาเพื่อส่งเสริมการขายเป็นนโยบายทางการค้า ไม่ใช่ราคาปกติ
ผู้ขายในต่างประเทศกำหนดราคารถยนต์ลดลงจากราคาเดิมที่โจทก์เคยนำเข้ามา เพราะเมื่อโจทก์นำรถยนต์เข้ามาครั้งก่อนโจทก์ขายได้น้อยกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ การลดราคาให้โจทก์ก็เพื่อสนับสนุนการขายของโจทก์ให้มีผู้ซื้อมากขึ้น โดยคำนึงถึงการแข่งขันกับรถยนต์ยี่ห้ออื่นในระดับเดียวกัน ราคาที่ลดลงจึงเป็นราคาที่ผู้ขายในต่างประเทศลดราคาให้เป็นพิเศษเพื่อขายแข่งกับรถยนต์ที่นำเข้ายี่ห้ออื่น ซึ่งเป็นเพียงนโยบายทางการค้าเท่านั้น หาใช่ราคาที่ซื้อขายกันโดยปกติไม่ ราคาดังกล่าวจึงมิใช่ราคาอันแท้จริงในท้องตลาด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1845/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนจากจ้างวาน: พฤติการณ์ไล่ติดตามและลงมือสังหารโดยไม่มีสาเหตุส่วนตัวบ่งชี้การวางแผน
พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ให้จำเลยที่ 1นั่งซ้อนท้ายไล่ตามรถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับและจำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนสั้นจ่อยิงผู้ตายที่ศีรษะด้านหลังทันที โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองกับผู้ตายมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน เชื่อได้ว่าจำเลยทั้งสองถูกจ้างวานใช้จากผู้อื่นให้มาฆ่าผู้ตายโดยมีการตระเตรียมวางแผนฆ่าผู้ตายไว้ล่วงหน้าดังนี้การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1831/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนี้ค่าใช้บริการโทรศัพท์เป็นสินจ้างตาม ป.พ.พ. มาตรา 165(7) มีอายุความ 2 ปี
ผู้ใช้เครื่องโทรศัพท์ต้องเสียค่าบริการพูดโทรศัพท์ตามอัตราที่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยกำหนด ค่าใช้บริการจึงเป็นสินจ้างและถือได้ว่าองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยเป็นผู้ค้าโดยรับทำการงานเอาสินจ้างอันจะพึงได้รับในการนั้น หนี้ค่าใช้บริการดังกล่าวจึงมีอายุความ 2 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 165(7).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1586/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ร่วมกันทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย: เจตนาและความรับผิดทางอาญา
พฤติการณ์ที่จำเลยกับพวกลงรถที่ปากซอยแล้วถูกผู้ตายขว้างแก้วมาทางจำเลยกับพวก ย่อมก่อความไม่พอใจแก่จำเลยกับพวก การที่จำเลยกับพวกปรึกษากันก่อนที่จะเข้าไปทำร้ายผู้ตายกับผู้เสียหายทั้งสองจึงเห็นได้ว่า เป็นการตกลงร่วมกันที่จะเข้าไปทำร้ายผู้ตายกับผู้เสียหายทั้งสองนั่นเอง เมื่อพวกของจำเลยเข้าไปสอบถามสาเหตุจากผู้ตายและได้ใช้สุราที่ผู้ตายส่งให้ดื่มสาด หน้าผู้ตาย จำเลยก็เข้าทำร้ายผู้ตายทันที เมื่อผู้ตายวิ่งหนี พวกของจำเลยก็ไล่ติดตามไปรุมทำร้ายผู้ตายต่อเนื่องกันไป ขณะเดียวกันพวกของจำเลยอีกหลายคนก็แบ่งแยกกันทำร้าย ส. และ ม. ผู้เสียหายทั้งสองพร้อมกันไปด้วย มีลักษณะเป็นการนัดแนะกันไว้ก่อน หลังจากทำร้ายแล้วจำเลยกับพวกก็พากันหลบหนีไปด้วยกัน ย่อมเป็นกรณีที่ถือได้ว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาร่วมกันทำร้ายผู้ตาย และผู้เสียหายทั้งสองแต่เนื่องจากมูลเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นโดยบังเอิญ จำเลยไม่อาจคาดคิดได้ว่า พวกของจำเลยซึ่งมาด้วยกันกว่าสิบคนนั้นคนใดได้พกอาวุธติดตัวมาด้วย ขณะจำเลยกับพวกเดินเข้าไปสอบถามสาเหตุจากผู้ตายนั้น ก็ไม่ปรากฏว่าพวกของจำเลยคนใดได้ถือมีดอยู่ในมือแสดงอาการว่าจะเข้าไปแทงผู้ตาย ประกอบทั้งมูลเหตุที่จำเลยกับพวกไม่พอใจผู้ตายนั้น ก็ไม่ใช่สาเหตุร้ายแรงถึงขนาดที่จำเลยกับพวกจะต้องฆ่าผู้ตาย ทั้งจำเลยเพียงแต่ชกหน้าผู้ตาย 1 ที ไม่ได้ติดตามไปรุมทำร้ายผู้ตายด้วยอาวุธซ้ำอีก พฤติการณ์ดังกล่าวยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาร่วมกับพวกฆ่าผู้ตาย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1586/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทำร้ายร่วมกับผู้อื่นเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย
จำเลยกับพวกปรึกษากันก่อนที่จะเข้าไปทำร้ายผู้ตายกับผู้เสียหาย เมื่อพวกของจำเลยใช้สุราสาดหน้าผู้ตาย จำเลยก็เข้าทำร้ายผู้ตายทันที เมื่อผู้ตายวิ่งหนี พวกของจำเลยก็ไล่ติดตามไปรุมทำร้ายต่อเนื่องกันไป ขณะเดียวกันพวกของจำเลยก็แบ่งแยกกันทำร้ายผู้เสียหายพร้อมกันไปด้วย มีลักษณะเป็นการนัดแนะกันไว้ก่อน หลังจากทำร้ายแล้วจำเลยกับพวกก็หลบหนีไปด้วยกันถือได้ว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาร่วมกันทำร้ายผู้ตายและผู้เสียหาย
เหตุวิวาทเกิดขึ้นโดยบังเอิญ จำเลยไม่อาจคาดคิดได้ว่าพวกของจำเลยคนใดพกอาวุธติดตัวมาด้วย ทั้งไม่ปรากฎว่าพวกของจำเลยคนใดได้ถือมีดอยู่ในมือแสดงอาการว่าจะเข้าไปแทงผู้ตาย ประกอบทั้งมูลเหตุที่วิวาทก็เพียงแต่เพราะถูกผู้ตายขว้างแก้วใส่ ไม่ใช่สาเหตุร้ายแรงถึงขนาดที่จำเลยกับพวกจะต้องฆ่าผู้ตาย ทั้งจำเลยเพียงชกหน้าผู้ตาย 1 ที มิได้ติดตามไปรุมทำร้ายผู้ตายด้วยอาวุธซ้ำอีก พฤติการณ์ดังกล่าวยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาร่วมกับพวกฆ่าผู้ตาย คงฟังได้เพียงว่าจำเลยมีเจตนาร่วมกับพวกทำร้ายผู้ตายและผู้เสียหายเท่านั้น เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตาย และผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย เพราะถูกพวกของจำเลยใช้มีดแทงและทำร้าย จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้ตายเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย และฐานร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย อันเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษจำเลยตาม ป.อ.มาตรา 290 วรรคแรก ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1586/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทำร้ายร่วมกัน และความรับผิดในความตายจากอาวุธของพวก, การกระทำเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท
จำเลยกับพวกปรึกษากันก่อนที่จะเข้าไปทำร้ายผู้ตายกับผู้เสียหายเมื่อพวกของจำเลยใช้สุราสาดหน้าผู้ตาย จำเลยก็เข้าทำร้ายผู้ตายทันที เมื่อผู้ตายวิ่งหนี พวกของจำเลยก็ไล่ติดตามไปรุมทำร้ายต่อเนื่องกันไป ขณะเดียวกันพวกของจำเลยก็แบ่งแยกกันทำร้ายผู้เสียหายพร้อมกันไปด้วย มีลักษณะเป็นการนัดแนะกันไว้ก่อนหลังจากทำร้ายแล้วจำเลยกับพวกก็หลบหนีไปด้วยกันถือได้ว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาร่วมกันทำร้ายผู้ตายและผู้เสียหาย เหตุวิวาทเกิดขึ้นโดยบังเอิญ จำเลยไม่อาจคาดคิดได้ว่าพวกของจำเลยคนใดพกอาวุธติดตัวมาด้วย ทั้งไม่ปรากฏว่าพวกของจำเลยคนใดได้ถือมีดอยู่ในมือแสดงอาการว่าจะเข้าไปแทงผู้ตาย ประกอบทั้งมูลเหตุที่วิวาทก็เพียงแต่เพราะถูกผู้ตายขว้างแก้วใส่ ไม่ใช่สาเหตุร้ายแรงถึงขนาดที่จำเลยกับพวกจะต้องฆ่าผู้ตาย ทั้งจำเลยเพียงชกหน้าผู้ตาย 1 ที มิได้ติดตามไปรุมทำร้ายผู้ตายด้วยอาวุธซ้ำอีก พฤติการณ์ดังกล่าวยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาร่วมกับพวกฆ่าผู้ตาย คงฟังได้เพียงว่าจำเลยมีเจตนาร่วมกับพวกทำร้ายผู้ตายและผู้เสียหายเท่านั้น เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตาย และผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย เพราะถูกพวกของจำเลยใช้มีดแทงและทำร้ายจำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้ตายเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย และฐานร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย อันเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคแรก ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1570/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาชิงทรัพย์ต่อเนื่องกับการทำร้ายร่างกาย ผู้กระทำผิดฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตราย
จำเลยใช้สนับมือเป็นอาวุธทำร้ายผู้เสียหายจนได้รับอันตรายแก่กาย แล้วเข้าค้นเอาทรัพย์จากกระเป๋าเสื้อของผู้เสียหายไปโดยเจตนาทุจริต และจำเลยยังได้ปัสสาวะรดใส่ศีรษะผู้เสียหายและขู่ผู้เสียหายว่าถ้าบอกพ่อแม่จะฆ่าล้างโคตร การทำร้ายและการค้นเอาทรัพย์กระทำต่อเนื่องกันไป หลังจากได้ทรัพย์แล้วยังมีการข่มขู่ผู้เสียหายอีก ดังนี้ เห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนากระทำการทั้งหมดเป็นอันเดียวกันมาแต่ต้น หาใช่เจตนาเพียงทำร้ายร่างกายผู้เสียหายแต่แรกแล้วเกิดเจตนาลักทรัพย์ของผู้เสียหายขึ้นภายหลังไม่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายเพื่อความสะดวกในการลักทรัพย์ เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสาม ฎีกาของจำเลยกล่าวอ้างข้อเท็จจริงซึ่งไม่มีปรากฏในคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ เพื่อจะให้ศาลฎีกาวินิจฉัยในข้อกฎหมายเกี่ยวกับอำนาจฟ้องว่าผู้เสียหายไม่มีอำนาจร้องทุกข์นั้น เป็นข้อกฎหมายที่ไร้สาระเพราะเมื่อไม่มีข้อเท็จจริงตามที่จำเลยกล่าวอ้าง ย่อมไม่เกิดข้อกฎหมายอันจะเป็นสาระแก่คดีขึ้นได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
of 102