พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,016 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 925/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความภาษีอากร: การเจรจาระงับคดีและการละเสียซึ่งสิทธิเรียกร้อง
เมื่อพ้นกำหนด 10 ปี นับจากวันที่จำเลยนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรแล้ว แต่อยู่ในระหว่างที่จำเลยถูกดำเนินคดีอาญาข้อหาสำแดงเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงอากร บริษัทจำเลยมีหนังสือถึงกรมศุลกากรโจทก์ ความว่า '...บริษัท ฯ มีความประสงค์จะขอทำความตกลงเพื่อให้กรม ฯ ระงับคดีในชั้นศุลกากรโดยยอมชำระภาษีอากรที่ขาด ...' ข้อความดังกล่าวมีความหมายเป็นเงื่อนไขบังคับก่อนว่าหากโจทก์ยอมระงับคดีในชั้นศุลกากรแล้วจำเลยก็จะยอมชำระค่าภาษีอากรที่ขาดให้โจทก์ เมื่อโจทก์ยืนยันให้ดำเนินคดีกับจำเลย เงื่อนไขบังคับก่อนจึงยังไม่สำเร็จ ความยินยอมชำระค่าภาษีอากรที่ขาดยังไม่เกิดขึ้น จำเลยจึงยังมิได้ละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 192 คดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 855/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความรับผิดทางแพ่งในคดีรับของโจร ศาลจำกัดเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับความผิดอาญา ผู้เสียหายขอบังคับคดีเกินกว่านั้นไม่ได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรและขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหายเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษฐานรับของโจร ความรับผิดทางแพ่งของจำเลยคงมีอยู่เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับความผิดทางอาญาฐานรับของโจรเท่านั้น แม้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ ก็ต้องแปลว่าเป็นคำสั่งให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ในส่วนที่จำเลยรับของโจร เมื่อผู้เสียหายได้รับของกลางที่จำเลยรับของโจรไว้คืนไปแล้ว ย่อมไม่อาจขอให้ยึดทรัพย์ของจำเลยขายทอดตลาดอีกได้ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 3/2530)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 855/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความรับผิดทางแพ่งในคดีรับของโจร: การบังคับคดีชำระหนี้เฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับความผิดอาญา
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์เงินเหรียญของผู้เสียหายรวมเป็นเงิน 110,000 บาท หรือรับของโจรเงินเหรียญของผู้เสียหาย ซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจยึดได้จากจำเลยรวมเป็นเงิน22,300 บาท และขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 87,700 บาทที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหายจำเลยให้การรับสารภาพฐานรับของโจรเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษฐานรับของโจร ความรับผิดทางแพ่งของจำเลยคงมีอยู่เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับความผิดทางอาญาฐานรับของโจรเท่านั้น แม้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 87,700 บาท ตามคำขอท้ายฟ้องแก่ผู้เสียหาย ก็ต้องแปลว่าเป็นคำสั่งให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ในส่วนที่จำเลยรับของโจร เมื่อผู้เสียหายได้รับของกลางที่จำเลยรับของโจรไว้คืนไปแล้วย่อมไม่อาจขอให้ยึดทรัพย์ของจำเลยขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้อีกได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 737/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเคลือบคลุม - เช็คพิพาท - ดอกเบี้ย - ผู้ผิดนัด - การแก้ไขคำพิพากษา
ฟ้องโจทก์บรรยายชัดแจ้งแล้วว่า โจทก์ได้รับเช็คพิพาทมาโดยมีผู้นำมาแลกเงินสดไปจากโจทก์ ซึ่งแสดงถึงมูลหนี้ที่มาแห่งการที่โจทก์ได้รับเช็คพิพาทแล้ว. ส่วนเรื่องผู้ใดเป็นผู้นำเช็คพิพาทมาแลกเงินสดจากโจทก์ ที่ไหนอย่างไร นั้น เป็นเพียงรายละเอียดซึ่งโจทก์อาจนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นครบถ้วนแล้วไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุมแต่อย่างใด
โจทก์ขอให้จำเลยชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาท ที่ศาลล่างพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่เช็คพิพาทถึงกำหนดชำระเงินซึ่งเป็นคนละวันกับวันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินนั้น นอกจากจะเกินคำขอแล้วยังเป็นการไม่ถูกต้องเนื่องจากจำเลยยังมิได้ตกเป็นผู้ผิดนัดจนกว่าธนาคารจะปฏิเสธการจ่ายเงิน ข้อนี้แม้จะมิได้ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็ชอบที่จะแก้ไขเสียให้ถูกต้อง.(ที่มา-ส่งเสริม)
โจทก์ขอให้จำเลยชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาท ที่ศาลล่างพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่เช็คพิพาทถึงกำหนดชำระเงินซึ่งเป็นคนละวันกับวันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินนั้น นอกจากจะเกินคำขอแล้วยังเป็นการไม่ถูกต้องเนื่องจากจำเลยยังมิได้ตกเป็นผู้ผิดนัดจนกว่าธนาคารจะปฏิเสธการจ่ายเงิน ข้อนี้แม้จะมิได้ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็ชอบที่จะแก้ไขเสียให้ถูกต้อง.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 717/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดี: ราคาขายทอดตลาดเหมาะสมและประกาศขายแพร่หลายแล้ว ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม
ในการประกาศขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทรวม 14 ครั้ง ในระยะเวลา3 ปี ไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดเสนอราคาสูงกว่าราคาที่ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้ขายได้ในการขายทอดตลาดครั้งที่ 15 ราคาที่ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้ขายจึงเป็นราคาที่เหมาะสมแล้ว
เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งคำสั่งของศาลที่อนุญาตให้ขายทอดตลาดและวันขายทอดตลาดแก่บรรดาบุคคลผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินที่จะขายทอดตลาดซึ่งทราบได้ตามทะเบียน หรือโดยประการอื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 306 ครบถ้วนแล้ว ถือได้ว่าเป็นการประกาศขายทอดตลาดทรัพย์สินพิพาทที่แพร่หลายตามสมควรแล้วไม่มีเหตุที่จะต้องขายทอดตลาดใหม่.(ที่มา-เนติ)
เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งคำสั่งของศาลที่อนุญาตให้ขายทอดตลาดและวันขายทอดตลาดแก่บรรดาบุคคลผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินที่จะขายทอดตลาดซึ่งทราบได้ตามทะเบียน หรือโดยประการอื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 306 ครบถ้วนแล้ว ถือได้ว่าเป็นการประกาศขายทอดตลาดทรัพย์สินพิพาทที่แพร่หลายตามสมควรแล้วไม่มีเหตุที่จะต้องขายทอดตลาดใหม่.(ที่มา-เนติ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 715/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุน ทำให้ต้องเสียภาษีอากรย้อนหลัง แม้จะสุจริต
จำเลยนำของเข้ามาในราชอาณาจักร โดยได้รับยกเว้นการเสียภาษีอากรจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ต่อมาจำเลยถูกเพิกถอนสิทธิและประโยชน์ที่ได้รับยกเว้นทั้งหมด ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.ศ. 2520 มาตรา 55 ให้ถือว่าผู้ได้รับการส่งเสริมนั้นไม่เคยได้รับยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีอากรมาแต่ต้น ฉะนั้นจำเลยจะต้องชำระภาษีอากรโดยไม่คำนึงว่า เมื่อจำเลยนำของเข้ามานั้นได้กระทำโดยสุจริตหรือไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 715/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เพิกถอนสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุน ทำให้ต้องเสียภาษีอากรย้อนหลัง แม้จะสุจริต
จำเลยนำของเข้ามาในราชอาณาจักร โดยได้รับยกเว้นการเสียภาษีอากรจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ต่อมาจำเลยถูกเพิกถอนสิทธิและประโยชน์ที่ได้รับยกเว้นทั้งหมด ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.ศ. 2520 มาตรา 55 ให้ถือว่าผู้ได้รับการส่งเสริมนั้นไม่เคยได้รับยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีอากรมาแต่ต้น ฉะนั้นจำเลยจะต้องชำระภาษีอากรโดยไม่คำนึงว่า เมื่อจำเลยนำของเข้ามานั้นได้กระทำโดยสุจริตหรือไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 715/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนทำให้ต้องเสียภาษีอากรย้อนหลัง แม้จะสุจริต
เมื่อคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนสั่งเพิกถอนสิทธิและประโยชน์ทั้งหมดที่ให้แก่จำเลย เครื่องจักรที่จำเลยนำเข้าซึ่งได้รับยกเว้นภาษีอากรจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนในตอนนำเข้าจึงถือว่าไม่เคยได้รับยกเว้นภาษีอากรมาแต่ต้น จำเลยมีหน้าที่ต้องชำระภาษีอากรโดยไม่คำนึงว่าเมื่อตอนนำเข้านั้นได้กระทำโดยสุจริตหรือไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 694/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรื้อถอนอาคารต่อเติมที่ไม่ได้รับอนุญาต: อำนาจฟ้องมีจำกัดตามกฎหมายที่ใช้บังคับ ณ ขณะกระทำผิด
ในขณะที่จำเลยที่ 2 แก้ไขต่อเติมอาคารโดยมิได้รับอนุญาต และจำเลยที่ 1 รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและอาคารดังกล่าวมาจากจำเลยที่ 2 นั้น เป็นระยะเวลาที่พระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคาร พุทธศักราช 2479 ยังใช้บังคับซึ่งตามบทกฎหมายดังกล่าวไม่มีบทบัญญัติให้อำนาจโจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารซึ่งรับโอนกรรมสิทธิ์จากผู้ทำการก่อสร้างรื้อถอนอาคาร แม้ขณะที่โจทก์ฟ้องคดีจะเป็นระยะเวลาที่อยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งมีบทบัญญัติให้อำนาจโจทก์ฟ้องขอให้ศาลสั่งให้เจ้าของหรือผู้ครองครองนั้นรื้อถอนได้ก็ตามแต่บทบัญญัติดังกล่าวนี้ไม่มีผลย้อนหลังโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ให้รื้อถอนอาคาร และปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จะไม่มีปัญหานี้ขึ้นสู่ศาลฎีกา เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 694/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรื้อถอนอาคารต่อเติมที่ผิดกฎหมาย: อำนาจฟ้องและการใช้กฎหมายย้อนหลัง
ในขณะที่จำเลยที่ 2 แก้ไขต่อเติมอาคารโดยมิได้รับอนุญาต และจำเลยที่ 1 รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและอาคารดังกล่าวมาจากจำเลยที่ 2 นั้น เป็นระยะเวลาที่พระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคาร พุทธศักราช 2479 ยังใช้บังคับซึ่งตามบทกฎหมายดังกล่าวไม่มีบทบัญญัติให้อำนาจโจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารซึ่งรับโอนกรรมสิทธิ์จากผู้ทำการก่อสร้างรื้อถอนอาคาร แม้ขณะที่โจทก์ฟ้องคดีจะเป็นระยะเวลาที่อยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งมีบทบัญญัติให้อำนาจโจทก์ฟ้องขอให้ศาลสั่งให้เจ้าของหรือผู้ครองครองนั้นรื้อถอนได้ก็ตามแต่บทบัญญัติดังกล่าวนี้ไม่มีผลย้อนหลังโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ให้รื้อถอนอาคาร และปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จะไม่มีปัญหานี้ขึ้นสู่ศาลฎีกา เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้