คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ประวิทย์ ขัมภรัตน์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,016 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 611/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทุจริตในการเติมน้ำมันแล้วหลีกเลี่ยงการชำระเงิน ถือเป็นการลักทรัพย์
จำเลยขับรถยนต์เข้าไปสั่งให้เติมน้ำมันรถยนต์ที่ปั๊มน้ำมันของผู้เสียหาย เมื่อคนเติมน้ำมันเติมน้ำมันเกือบจะเต็มถังจำเลยพูดว่าไม่มีเงินเดี๋ยวจะเอามาให้ คนเติมน้ำมันบอกว่าต้องไปบอกผู้เสียหายก่อน แต่จำเลยได้ขับรถออกไปทันที ขณะเติมน้ำมันจำเลยไม่ได้ดับเครื่องยนต์รถและฝาปิดถังน้ำมันก็ไม่มีโดยใช้ผ้าอุดไว้แทนแสดงให้เห็นว่าจำเลยได้วางแผนการไว้เพื่อจะไม่ชำระเงินค่าน้ำมันเมื่อได้น้ำมันมาแล้ว โดยจะรีบหนีไปอันเป็นอุบายอย่างหนึ่งในการที่จะทำให้ลักทรัพย์สำเร็จ พฤิตการณ์แสดงว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตมาตั้งแต่ต้นที่จะลักเอาน้ำมันของผู้เสียหาย.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 606/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขาดนัดพิจารณาคดีและการจำหน่ายคดีออกจากสารบบความเมื่อจำเลยไม่ติดใจดำเนินคดี
โจทก์ทราบนัดแล้วไม่มาศาลในวันเวลานัดสืบพยานโจทก์ โดยมิได้ร้องขอเลื่อนคดีหรือแจ้งเหตุขัดข้องให้ศาลทราบ ถือได้ว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาตามบทบัญญัติมาตรา 197 วรรค 2 แห่ง ป.วิ.พ.เมื่อจำเลยมิได้ขอให้ดำเนินการพิจารณาคดีต่อไป ศาลชั้นต้นย่อมต้องสั่งจำหน่ายคดีนั้นเสียจากสารบบความ ตามมาตรา 201 ศาลชั้นต้นมิได้ดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างใดที่ผิดระเบียบ จึงไม่จำเป็นต้องไต่สวนคำร้องของโจทก์เพราะไม่มีการพิจารณาที่ผิดระเบียบอย่างใดที่จะต้องเพิกถอน ที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องขอไต่สวนของโจทก์จึงชอบแล้ว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 606/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขาดนัดพิจารณาคดีและการจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ โดยมิได้แจ้งเหตุขัดข้องหรือขอเลื่อนคดี
ศาลนัดสืบพยานโจทก์เวลา 9 นาฬิกา และรอโจทก์อยู่จนถึงเวลา 9.35 นาฬิกา โจทก์และพยานโจทก์ก็ยังไม่มาศาลโดยมิได้ร้องขอเลื่อนคดีหรือแจ้งเหตุขัดข้องให้ศาลทราบ การที่ศาลมีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาและสั่งจำหน่ายคดีจึงมิได้เป็นการเข้าใจผิด เพราะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 197 วรรคสองบัญญัติว่าเมื่อโจทก์ไม่มาศาลโดยมิได้ร้องขอเลื่อนคดีหรือแจ้งเหตุขัดข้องให้ศาลทราบ ไม่ว่าจะเป็นประการใด ถือได้ว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณา เมื่อจำเลยมิได้ขอให้ดำเนินการพิจารณาคดีต่อไป การที่ศาลสั่งจำหน่ายคดีนั้นเสียจากสารบบความจึงมิได้ดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างใดที่ผิดระเบียบ ที่ศาลยกคำร้องของโจทก์ที่ขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งที่ว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาและสั่งจำหน่ายคดีโดยไม่ไต่สวนคำ ร้องชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 545/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรุกล้ำที่ดินโดยสุจริตและภาระจำยอม: ศาลพิจารณาค่าใช้ที่ดินแทนการรื้อถอน
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่เช่าและเรียกค่าเสียหายโดยอาศัยสัญญาเช่าเป็นหลักแห่งข้อหา และอ้างว่าจำเลยไม่ชำระค่าเช่าอันเป็นการผิดข้อตกลงในสัญญาเช่า โจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว แม้โจทก์จะไม่ได้บรรยายว่าที่พิพาท 5 ตารางวาตามสัญญาเช่าอยู่ตรงส่วนไหนของที่ดินโจทก์ก็ตาม แต่ต่อมาในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นคู่ความทั้งสองฝ่ายก็ได้ขอให้ศาลสั่งเจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครออกไปทำแผนที่พิพาทแล้ว ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ทายาทในฐานะเจ้าของรวม ปลูกบ้านในที่ดินมรดกซึ่งครอบครองร่วมกันอยู่โดยสุจริต ต่อมามีการแบ่งแยกโฉนดระหว่างทายาทปรากฏว่าบ้านที่ทายาทคนหนึ่งปลูกบางส่วนรุกล้ำที่ดินของทายาทอื่น กรณีเช่นนี้ไม่มีบทกฎหมายมาตราใดบัญญัติไว้โดยตรง ต้องอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งตามที่มาตรา 4แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้กำหนดไว้ บทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งก็คือมาตรา 1312 วรรคแรก ซึ่งให้เจ้าของที่ดินได้ค่าใช้ที่ดินส่วนรุกล้ำและจดทะเบียนสิทธิเป็นภาระจำยอม (วรรคสองวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่1/2530).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 545/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรุกล้ำที่ดินหลังแบ่งแยกโฉนด สิทธิในการใช้ที่ดินส่วนรุกล้ำ และภาระจำยอม
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหายโดยอาศัยสัญญาเช่าเป็นหลักแห่งข้อหา โดยโจทก์อ้างว่าจำเลยไม่ชำระค่าเช่าอันเป็นการผิดข้อตกลงในสัญญาเช่า โจทก์บอกเลิกสัญญาแล้วขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปและให้ใช้ค่าเสียหาย เป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 172 แล้วแม้โจทก์จะไม่ได้บรรยายว่าที่พิพาท 5 ตารางวาตามสัญญาเช่าจะอยู่ตรงส่วนไหนของที่ดินโจทก์ก็ตาม แต่ต่อมาศาลชั้นต้นก็ได้สั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินทำแผนที่วิวาทมาแล้ว ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม การที่จำเลยซึ่งเป็นทายาทคนหนึ่งปลูกบ้านในที่ดินมรดกในฐานะเป็นเจ้าของรวมก่อนที่จะมีการแบ่งแยกนั้น เป็นการปลูกสร้างโดยสุจริตและมีสิทธิปลูกได้โดยชอบด้วยกฎหมาย เหตุที่บ้านของจำเลยบางส่วนรุกล้ำที่ดินของโจทก์ 5 ตารางวาเนื่องจากการแบ่งแยกโฉนด ระหว่างทายาทในภายหลัง กรณีเช่นนี้ไม่มีบทกฎหมายมาตราใดบัญญัติไว้โดยตรง จึงต้องอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 4บทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งที่จะปรับแก่คดีนี้คือ มาตรา 1312วรรคแรกซึ่งให้เจ้าของที่ดินได้ค่าใช้ที่ดินส่วนที่รุกล้ำโจทก์จะขอให้จำเลยรื้อบ้านส่วนรุกล้ำที่ดินของโจทก์ออกไปไม่ได้. (วรรคสองวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 545/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรุกล้ำที่ดินและภาระจำยอม: การวินิจฉัยตามกฎหมายใกล้เคียงเมื่อไม่มีบทบัญญัติโดยตรง
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่เช่าและเรียกค่าเสียหายโดยอาศัยสัญญาเช่าเป็นหลักแห่งข้อหา และอ้างว่าจำเลยไม่ชำระค่าเช่าอันเป็นการผิดข้อตกลงในสัญญาเช่า โจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว แม้โจทก์จะไม่ได้บรรยายว่าที่พิพาท 5 ตารางวาตามสัญญา เช่าอยู่ตรงส่วนไหนของที่ดินโจทก์ก็ตาม แต่ต่อมาในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นคู่ความทั้งสองฝ่ายก็ได้ขอให้ศาลสั่งเจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครออกไปทำแผนที่พิพาทแล้ว ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ทายาทในฐานะเจ้าของรวม ปลูกบ้านในที่ดินมรดกซึ่งครอบครองร่วมกันอยู่โดยสุจริต ต่อมามีการแบ่งแยกโฉนดระหว่างทายาท ปรากฏว่าบ้านที่ทายาทคนหนึ่งปลูกบางส่วนรุกล้ำที่ดินของทายาทอื่น กรณีเช่นนี้ไม่มีบทกฎหมายมาตราใดบัญญัติไว้โดยตรง ต้องอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งตามที่มาตรา 4 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้กำหนดไว้ บทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งก็คือมาตรา 1312 วรรคแรก ซึ่งให้เจ้าของที่ดินได้ค่าใช้ที่ดินส่วนรุกล้ำและจดทะเบียนสิทธิเป็นภาระจำยอม
(วรรคสองวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่1/2530).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 530/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำหน่ายอาวุธปืน: ผู้ติดต่อไม่ได้เป็นตัวการร่วม หากไม่มีส่วนร่วมในการต่อรองราคาและตัดสินใจขาย
อาวุธปืนของกลางมิใช่เป็นของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 เป็นเพียงผู้ติดต่อกับ ป. ให้ไปซื้ออาวุธปืนของกลางจากจำเลยที่ 1โดยจำเลยที่ 2 พา ป. ไปเจรจาซื้อขายกับจำเลยที่ 1 โดยตรง ซึ่งจำเลยที่ 1 แต่เพียงผู้เดียวที่ได้เจรจาต่อรอง ราคาอาวุธปืนของกลางกับ ป. จำเลยที่ 2 มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย แม้จำเลยที่ 2 อาจจะได้ผลประโยชน์คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ ของ ราคาขายอาวุธปืนของกลางก็ตาม แต่การจะขายอาวุธปืนหรือไม่อยู่ที่การตัดสินใจของจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียว ทั้งไม่ได้ความว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมมือกับจำเลยที่ 1 มาแต่ต้น พฤติการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานจำหน่ายอาวุธปืนของกลาง คงฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ช่วยเหลือจำเลยที่ 1 จำหน่ายอาวุธปืนของกลางอันเป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนเท่านั้น.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 530/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ บทบาทผู้สนับสนุนความผิดฐานจำหน่ายอาวุธปืน: การกระทำที่มิได้ร่วมวางแผนหรือเจรจาต่อรองราคา
อาวุธปืนของกลางเป็นของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 เป็นเพียงผู้ติดต่อพาผู้ซื้อไปซื้อจากจำเลยที่ 1 โดยตรง การเจรจาต่อรองราคาและการจะขายอาวุธปืนหรือไม่อยู่ที่การตัดสินใจของจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียว จำเลยที่ 2มิได้มีส่วนร่วมด้วยแม้ว่าจำเลยที่ 2 อาจจะได้ผลประโยชน์จากการขายอาวุธปืนของกลางก็ตาม ตามพฤติการณ์ยังฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานจำหน่ายอาวุธปืนจำเลยที่ 2 คงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 จำหน่ายอาวุธปืนเท่านั้น.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 530/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ บทบาทผู้สนับสนุนความผิดจำหน่ายอาวุธปืน: การกระทำที่ไม่ได้ร่วมมือตั้งแต่ต้น
อาวุธปืนของกลางเป็นของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 เป็นเพียงผู้ติดต่อพาผู้ซื้อไปซื้อจากจำเลยที่ 1 โดยตรง การเจรจาต่อรองราคาและการจะขายอาวุธปืนหรือไม่อยู่ที่การตัดสินใจของจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียว จำเลยที่ 2 มิได้มีส่วนร่วมด้วย แม้ว่าจำเลยที่ 2 อาจจะได้ผลประโยชน์จากการขายอาวุธปืนของกลางก็ตาม ตามพฤติการณ์ยังฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานจำหน่ายอาวุธปืน จำเลยที่ 2 คงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 จำหน่ายอาวุธปืนเท่านั้น.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 510/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การต่อแชชซีรถยนต์ที่ไม่เข้าข่ายปลอมเอกสาร แม้จะมีการเปลี่ยนแชชซี แต่ไม่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงตัวอักษรหรือตัวเลข
การที่จำเลยตัดเลขหมายประจำแชชซีรถยนต์คันสีแดงออกแล้วตัดเอาหมายเลขประจำแชชซีของรถยนต์คันสีฟ้ามาเชื่อมต่อไว้แทน เมื่อหมายเลขประจำแชชซีรถยนต์คันสีฟ้าเป็นหมายเลขประจำรถยนต์ที่แท้จริง แม้จะนำมาติดกับรถยนต์คันอื่นแต่ไม่มีการขูดลบแก้ไข เปลี่ยนแปลงตัวอักษร หรือตัวเลขหมายแต่อย่างใดจำเลยจึงไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสารเพราะความผิดฐานปลอมเอกสารนั้นจะต้องมีการปลอมแปลงเอกสารขึ้นทั้งฉบับหรือแต่บางส่วน หรือกระทำให้ข้อความหรือความหมายในเอกสารที่แท้จริงเปลี่ยนแปลงไป.
of 102