พบผลลัพธ์ทั้งหมด 366 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1446/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายเวลาการยื่นภาษี, เหตุสุดวิสัย, ความรับผิดของผู้เสียภาษี, อำนาจประเมินภาษี
โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลต่อกรมสรรพากรจำเลยที่ 1 การที่จำเลยที่ 1 ไม่แจ้งคำสั่งให้โจทก์ทราบ จะถือว่าจำเลยที่ 1 ได้อนุญาตให้โจทก์ขยายเวลาตามคำร้องของโจทก์โดยปริยายไม่ได้เพราะตามประมวลรัษฎากร มาตรา 3 อัฏฐ มิได้บัญญัติบังคับให้ต้องแจ้งคำสั่งให้ผู้ร้องทราบ เหมือนดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 65(ข)
การที่โจทก์ไม่สามารถยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลภายในกำหนดเวลาที่จำเลยที่ 1 อนุญาตให้ขยายเวลาโดยอ้างว่าผู้ตรวจสอบบัญชีของโจทก์ไม่ยอมรับรองบัญชีงบดุลซึ่งจะต้องยื่นพร้อมแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษี เนื่องจากสมุดบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีอยู่ที่จำเลยที่ 1ผู้ตรวจสอบบัญชีของโจทก์ไม่สามารถตรวจสอบได้นั้น ไม่ใช่เป็นเหตุสุดวิสัยและไม่ใช่ความบกพร่องของพนักงานของจำเลยที่ 1แต่อย่างใด เพราะผู้ตรวจสอบบัญชีของโจทก์สามารถจะไปขออนุญาตตรวจสอบหรือขอถ่ายบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชี ณ ที่ทำการของจำเลยที่ 1 ได้
เมื่อโจทก์ไม่ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลภายในกำหนดเวลาที่จำเลยที่ 1 ขยายให้ เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1จึงมีอำนาจทำการประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 71(1) ได้.
การที่โจทก์ไม่สามารถยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลภายในกำหนดเวลาที่จำเลยที่ 1 อนุญาตให้ขยายเวลาโดยอ้างว่าผู้ตรวจสอบบัญชีของโจทก์ไม่ยอมรับรองบัญชีงบดุลซึ่งจะต้องยื่นพร้อมแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษี เนื่องจากสมุดบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีอยู่ที่จำเลยที่ 1ผู้ตรวจสอบบัญชีของโจทก์ไม่สามารถตรวจสอบได้นั้น ไม่ใช่เป็นเหตุสุดวิสัยและไม่ใช่ความบกพร่องของพนักงานของจำเลยที่ 1แต่อย่างใด เพราะผู้ตรวจสอบบัญชีของโจทก์สามารถจะไปขออนุญาตตรวจสอบหรือขอถ่ายบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชี ณ ที่ทำการของจำเลยที่ 1 ได้
เมื่อโจทก์ไม่ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลภายในกำหนดเวลาที่จำเลยที่ 1 ขยายให้ เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1จึงมีอำนาจทำการประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 71(1) ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1400/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประกันภัย: การไม่นำตัวจำเลยมาศาล, การประวิงคดี, และการลดค่าปรับตามสมควร
ผู้ประกันไม่นำตัวจำเลยมาส่งศาลตามกำหนด โดยอ้างว่าตัวจำเลยป่วยถึงสองนัดติดต่อกัน ถึงแม้จะมีใบรับรองแพทย์มาแสดงต่อศาลแต่ความเห็นของแพทย์ก็มิได้ระบุว่าอาการป่วยของจำเลยรุนแรงจนถึงขนาดไม่สามารถมาศาลได้ และเมื่อศาลให้ทนายจำเลยนำแพทย์ที่ออกใบรับรองมาศาลเพื่อไต่สวน ทนายจำเลยก็ไม่สามารถนำแพทย์มาให้ศาลไต่สวนได้ โดยอ้างลอย ๆ ว่าติดราชการพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่าจำเลยประวิงคดี และถือได้ว่าผู้ประกันผิดสัญญาประกัน แต่เมื่อศาลมีคำสั่งปรับผู้ประกันเต็มตามสัญญาประกันและออกหมายจับจำเลย ผู้ประกันก็ได้พยายามติดตามนำตัวจำเลยมามอบต่อศาลภายในเวลาเพียง 2 วันนับแต่วันที่ศาลสั่งปรับผู้ประกัน และในวันที่ศาลสั่งปรับตามสัญญาประกันผู้ประกันก็มาศาล แสดงให้เห็นว่าผู้ประกันเอาใจใส่ในหน้าที่ ทั้งช่วยติดตามนำตัวจำเลยมามอบต่อศาลโดยไม่ชักช้า เป็นการให้ความสะดวกรวดเร็วแก่ศาล มีเหตุที่ศาลจะลดค่าปรับให้ตามสมควร.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1387/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิประโยชน์ทางภาษีตาม พรฎ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 14) หากยังไม่ได้ถูกประเมินภาษี โจทก์มีสิทธิฟ้องได้โดยไม่ต้องอุทธรณ์
จำเลยได้มีหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลสั่งให้โจทก์นำไปชำระภายหลังที่ พระราชกำหนด แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร(ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2529 ใช้บังคับ โจทก์ได้ยื่นคำขอเสียภาษีอากรตามแบบที่อธิบดีกำหนด และชำระภาษีอากรตามจำนวนที่ต้องเสียภายในระยะเวลาและหลักเกณฑ์ โจทก์จึงชอบที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ตาม มาตรา 30 แห่ง พระราชกำหนด ดังกล่าว โดยได้รับยกเว้นจากการเรียกตรวจสอบไต่สวน ประเมินหรือสั่งให้เสียภาษีอากรและความผิดทางอาญาตามประมวลรัษฎากร ผู้ที่จะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์จากมาตรา 30 นั้น หมายถึงผู้ที่เจ้าพนักงานประเมินได้ทำการประเมินหรือสั่งให้เสียภาษีอากรหรือให้นำส่งภาษีอากรก่อนวันที่ พระราชกำหนด นี้ใช้บังคับเท่านั้น
เมื่อโจทก์ได้รับยกเว้นจากการตรวจสอบไต่สวน ประเมินหรือสั่งให้เสียภาษีอากรแล้ว การประเมินและคำสั่งของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่มีผลบังคับ เสมือนหนึ่งว่าไม่ได้มีการประเมินและไม่มีคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมิน โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องโดยไม่ต้องอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์.
เมื่อโจทก์ได้รับยกเว้นจากการตรวจสอบไต่สวน ประเมินหรือสั่งให้เสียภาษีอากรแล้ว การประเมินและคำสั่งของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่มีผลบังคับ เสมือนหนึ่งว่าไม่ได้มีการประเมินและไม่มีคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมิน โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องโดยไม่ต้องอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1387/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิประโยชน์ทางภาษีตามพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2529 การประเมินภาษีหลังพระราชกำหนดมีผล
มาตรา 30 วรรคหก (2) แห่งพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร ได้บัญญัติมิให้นำมาตรา 30 ดังกล่าว มาใช้แก่บุคคลที่เจ้าพนักงานประเมินได้ทำการประเมินหรือสั่งให้เสียภาษีอากรหรือนำส่งภาษีอากร โดยได้ทำการประเมินหรือสั่งก่อนวันที่พระราชกำหนดดังกล่าวใช้บังคับ ปรากฏว่าเจ้าพนักงานประเมินได้มีหนังสือลงวันที่30 เมษายน 2529 แจ้งให้โจทก์นำภาษีเงินได้นิติบุคคลไปชำระอันเป็นเวลาภายหลังที่พระราชกำหนดดังกล่าวใช้บังคับแล้ว ทั้งโจทก์ก็ได้ยื่นคำขอตามแบบ อ.1 และชำระภาษีอากรตามจำนวนที่ต้องเสียภายในระยะเวลาและหลักเกณฑ์ที่อธิบดีกำหนด โจทก์จึงชอบที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ตามมาตรา 30 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าว โดยได้รับยกเว้นจากการเรียกตรวจสอบไต่สวน ประเมินหรือสั่งให้เสียภาษีอากรและความผิดตาม ป.รัษฎากร เมื่อโจทก์ได้สิทธิประโยชน์ตามมาตรา 30 ของพระราชกำหนดดังกล่าวโดยได้รับยกเว้นจากการเรียกตรวจสอบไต่สวน ประเมินหรือสั่งให้เสียภาษีอากรแล้ว การประเมินและคำสั่งของจำเลยตามหนังสือลงวันที่30 เมษายน 2529 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีผลบังคับ เสมือนหนึ่งว่าไม่ได้มีการประเมินและไม่มีคำสั่งของเจ้าพนักงานที่โจทก์จะต้องอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1352/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับรองฎีกาต้องระบุปัญหาข้อเท็จจริงสำคัญ การรับรองลอยๆ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองให้จำเลยฎีกาว่า"ฎีกาของจำเลยทั้งสองมีเหตุอันควรฎีกาในข้อเท็จจริงได้ จึงรับรองให้ฎีกา" คำรับรองดังกล่าวไม่ปรากฏข้อความว่าได้พิเคราะห์เห็นว่าข้อความที่ตัดสินนั้นข้อใด เป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูง สุดและอนุญาตให้ฎีกาจึงถือไม่ได้ว่าเป็นการอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงโดยชอบด้วยกฎหมาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1352/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับรองฎีกาที่ไม่ชัดเจนปัญหาสำคัญ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองให้จำเลยฎีกาว่า 'ฎีกาของจำเลยทั้งสองมีเหตุอันควรฎีกาในข้อเท็จจริงได้ จึงรับรองให้ฎีกา' คำรับรองดังกล่าวไม่ปรากฏข้อความว่าได้พิเคราะห์เห็นว่าข้อความที่ตัดสินนั้นข้อใดเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุด และอนุญาตให้ฎีกาจึงถือไม่ได้ว่าเป็นการอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงโดยชอบด้วยกฎหมาย.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1342/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวง กรณีเช็คพิพาท
ในคดีต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาใน ศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 22 โจทก์อุทธรณ์ใจความว่า จำเลยออกเช็คพิพาทและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินอ้างว่าลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายไม่เหมือนตัวอย่างที่ให้ไว้ เป็นการออกเช็คโดยจำเลยมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คและมีเจตนาทุจริตหลอกลวงโจทก์ อุทธรณ์ดังกล่าวจึงเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงที่จะต้องฟังจากพยานหลักฐานในสำนวน ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามบทกฎหมายดังกล่าว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1342/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวง คดีเช็คพิพาท
ในคดีต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 22โจทก์อุทธรณ์ใจความว่า จำเลยออกเช็คพิพาทและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินอ้างว่าลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายไม่เหมือนตัวอย่างที่ให้ไว้ เป็นการออกเช็คโดยจำเลยมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คและมีเจตนาทุจริตหลอกลวงโจทก์ อุทธรณ์ดังกล่าวจึงเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงที่จะต้องฟังจากพยานหลักฐานในสำนวน ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามบทกฎหมายดังกล่าว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1331/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปฏิบัติตามคำพิพากษาเปิดลำห้วย ศาลต้องไต่สวนข้อเท็จจริงก่อนสั่งให้บังคับตามคำพิพากษา
ศาลพิพากษาให้จำเลยเปิดลำห้วยทางตะวันออกของที่ดินโจทก์ให้กว้าง 1 วา ลึก 50 ซม. ยาว 7 วา ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องว่าจำเลยเปิดลำห้วยเพียงบางส่วนซึ่งห่างไกลคันเขตที่ดินโจทก์จำเลยไม่พอที่จะให้น้ำไหลผ่านไปได้ จำเลยแถลงว่าได้ขุดคันนาด้านตะวันออกของที่ดินโจทก์ตามคำพิพากษาแล้ว แต่น้ำไม่ไหลถ้าโจทก์เห็นว่าขุดไม่ได้ขนาดตามคำพิพากษา จำเลยยอมให้โจทก์ขุดได้ตามคำพิพากษา โจทก์แถลงว่าจำเลยขุดไม่ได้ขนาดตามคำพิพากษา น้ำจึงไม่ไหล ดังนี้ปัญหาจึงมีว่าจำเลยขุดที่ดินได้ขนาดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เมื่อโจทก์ยังโต้แย้งอยู่ว่าจำเลยขุดไม่ได้ขนาดตามคำพิพากษา ก็ชอบที่ศาลจะไต่สวนให้ได้ความเสียก่อนว่าเป็นความจริงดังที่โจทก์แถลงหรือไม่ แล้วจึงมีคำสั่งต่อไป ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์ไปขุดเองให้ได้ขนาดตามคำพิพากษา และศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยขุดดินออกจากลำห้วยตามคำพิพากษาจนกว่าน้ำในนาโจทก์จะไหลไปได้นั้น เป็นการไม่ชอบ.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1330/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไขไม่เกี่ยวเนื่องกับฟ้องเดิม ไม่รวมพิจารณาได้
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารให้รื้อถอนลวดหนามที่จำเลยและบริวารได้เข้าไปครอบครองในที่ดินทางหลวง ซึ่งอยู่ในความควบคุมดูแลของโจทก์ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ได้ขยายเขตทางหลวงรุกล้ำในที่ดินจำเลย หากศาลฟังว่าทางหลวงดังกล่าวมีการขยายเขตถูกต้องและมีแนวเขตเข้ามาในที่ดินจำเลยแล้วโจทก์ต้องใช้ค่าที่ดินและอาคารและค่ารื้อถอนให้จำเลย เป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไข ซึ่งการที่จำเลยจะต้องรื้อรั้วลวดหนามออกไปจากทางหลวงดังกล่าวและโจทก์จะต้องใช้ค่าชดเชยที่ดินแก่จำเลยหรือไม่ ยังไม่เป็นที่แน่นอนต้องรอจนศาลพิพากษาให้จำเลยรื้อลวดหนามตามฟ้องเดิมก่อน ฟ้องแย้งจึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม.(ที่มา-ส่งเสริม)