พบผลลัพธ์ทั้งหมด 366 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4427/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดินจากสัญญาประนีประนอมยอมความและการโอนสิทธิโดยไม่ชอบ
ส. พี่สาวโจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ 1ในคดีก่อนแบ่งที่ดินส่วนของ ส. ออกเป็น 3 ส่วนเท่ากันโจทก์ทั้งสองได้คนละหนึ่งส่วน โจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่นั้นมาและมีสิทธิติดตามเอาที่ดินพิพาทของตนคืนจากจำเลยที่ 1ได้ เมื่อจำเลยที่ 1 โอนขายที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 และจำเลยที่ 2 และที่ 3 เข้าครอบครองที่ดินพิพาทอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ โจทก์ได้ที่ดินพิพาทมาขณะยังเป็นผู้เยาว์ และอาศัยอยู่กับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นอา ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์เมื่อจำเลยที่ 2 ที่ 3 ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1และครอบครองต่อมาย่อมได้สิทธิไปเพียงเท่าที่ผู้โอนมีอยู่คือเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์จะถือว่าแย่งการครอบครองไม่ได้แม้ยึดถือนานเท่าใดก็ไม่ได้สิทธิครอบครอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3838/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิคืนภาษีอากร กรณีสินค้าผิดแบบ – ความล่าช้าของเจ้าหน้าที่
สินค้าที่โจทก์นำเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นสินค้าผิดแบบโจทก์มีสิทธิที่จะขอส่งกลับคืนไว้ตามที่กำหนดไว้ในข้อ 7 ของประกาศกรมศุลกากรที่ 9/2535 โจทก์ได้แจ้งเรื่องอุปกรณ์สินค้าที่นำเข้ามาผิดแบบให้จำเลยทราบทันที และขออนุมัติส่งคืนให้แก่ผู้ขายหลังจากทำการตรวจสอบสินค้าแล้ว แต่จำเลยมิได้มีคำสั่งเรื่องที่โจทก์ขอส่งสินค้ากลับคืนไปแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่ของจำเลยเพิ่งจะมีคำสั่งแจ้งเรื่องให้โจทก์ทราบเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์นำสินค้าเข้ามา ดังนั้นการที่โจทก์ไม่สามารถส่งสินค้ากลับออกไปภายใน 1 ปีได้นั้น จึงมิใช่ความผิดของโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิขอคืนเงินอากรที่ชำระให้จำเลยพร้อมดอกเบี้ย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3838/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอคืนอากรกรณีสินค้าผิดแบบ: ความล่าช้าของเจ้าหน้าที่รัฐไม่เป็นเหตุให้เสียสิทธิ
สินค้าที่โจทก์นำเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นสินค้าผิดแบบโจทก์มีสิทธิที่จะขอส่งกลับคืนได้ตามที่กำหนดไว้ในข้อ 7ของประกาศกรมศุลกากรที่ 9/2525 โจทก์ได้แจ้งเรื่องอุปกรณ์สินค้าที่นำเข้ามาผิดแบบให้จำเลยทราบทันที และขออนุมัติส่งคืนให้แก่ผู้ขายหลังจากทำการตรวจสอบสินค้าแล้ว แต่จำเลยมิได้มีคำสั่งเรื่องที่โจทก์ขอส่งสินค้ากลับคืนไปแต่อย่างใดเจ้าหน้าที่ของจำเลยเพิ่งจะมีคำสั่งแจ้งเรื่องให้โจทก์ทราบเมื่อพ้นกำหนด 1 ปีนับแต่วันที่โจทก์นำสินค้าเข้ามา ดังนั้นการที่โจทก์ไม่สามารถส่งสินค้ากลับออกไปภายใน 1 ปีได้นั้น จึงมิใช่ความผิดของโจทก์โจทก์ยอมมีสิทธิขอคืนเงินอากรที่ชำระให้จำเลยพร้อมดอกเบี้ย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3780/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งขอเลื่อนคดีและการพิจารณาเหตุจำเป็นอื่นใดที่ทำให้โจทก์ไม่มาศาลตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ศาลนัดสืบพยานโจทก์เวลา 9 นาฬิกา ในวันนัด ศาลออกนั่งพิจารณาคดีเวลา 9.25 นาฬิกา โจทก์ไม่มาศาล ศาลจึงมีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาและจำหน่ายคดีโจทก์ ต่อมา โจทก์ยื่นคำร้องว่า วันนัดสืบพยาน ทนายโจทก์ป่วยได้มอบให้เสมียนทนายนำคำร้องขอเลื่อนคดีมายื่นต่อศาลเมื่อเวลา 9.25 นาฬิกา ที่มาถึงศาลช้ากว่าเวลานัดเนื่องจากเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ประกอบทั้งทนายโจทก์และเสมียนทนายเข้าใจเรื่องเวลานัดของศาลผิดไปว่าเป็นเวลา 9.30 นาฬิกา ดังนี้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดการไต่สวนและยกคำร้องของโจทก์ย่อมเป็นการไม่ชอบ เพราะหากเป็นจริงตามคำร้องของโจทก์ กรณีก็ยังไม่ถนัดที่จะถือว่าโจทก์มิได้ร้องขอเลื่อนคดีหรือแจ้งเหตุขัดข้องที่ไม่มาศาลก่อนลงมือสืบพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 197 วรรคสองและหากฟังได้ว่าทนายโจทก์ป่วยจริง ก็เป็นเหตุที่ศาลต้องให้เลื่อนการพิจารณาคดีไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 40ศาลชั้นต้นชอบที่จะไต่สวนและมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3780/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดพิจารณาคดี: ศาลต้องพิจารณาเหตุขอเลื่อนคดีและการป่วยของทนายความ
ศาลนัดสืบพยานโจทก์เวลา 9 นาฬิกา ในวันนัด ศาลออกนั่งพิจารณาคดีเวลา 9.25 นาฬิกา โจทก์ไม่มาศาล ศาลจึงมีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาและจำหน่ายคดีโจทก์ ต่อมา โจทก์ยื่นคำร้องว่า วันนัดสืบพยานทนายโจทก์ป่วยได้มอบให้เสมียนทนายนำคำร้องขอเลื่อนคดีมายื่นต่อศาลเมื่อเวลา 9.25 นาฬิกา ที่มาถึงศาลช้ากว่าเวลานัดเนื่องจากเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ประกอบทั้งทนายโจทก์และเสมียนทนายเข้าใจเรื่องเวลานัดของศาลผิดไปว่าเป็นเวลา 9.30 นาฬิกา ดังนี้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดการไต่สวนและยกคำร้องของโจทก์ย่อมเป็นการไม่ชอบ เพราะหากเป็นจริงตามคำร้องของโจทก์ กรณีก็ยังไม่ถนัดที่จะถือว่าโจทก์มิได้ร้องขอเลื่อนคดีหรือแจ้งเหตุขัดข้องที่ไม่มาศาลก่อนลงมือสืบพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 197 วรรคสอง และหากฟังได้ว่าทนายโจทก์ป่วยจริง ก็เป็นเหตุที่ศาลต้องให้เลื่อนการพิจารณาคดีไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 40 ศาลชั้นต้นชอบที่จะไต่สวนและมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3776/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้ขนส่งมีหน้าที่รับผิดชอบความเสียหายของสินค้า เว้นแต่พิสูจน์ได้ว่าเกิดจากเหตุสุดวิสัย
จำเลยมิได้ให้การโดยชัดแจ้งว่า การกระทำต่าง ๆ ของจำเลยเป็นการกระทำในฐานะตัวแทนของบริษัท ฟ. ซึ่งอยู่ต่างประเทศไม่มีประเด็นที่ศาลชั้นต้นจะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำการต่าง ๆในประเทศไทยในฐานะตัวแทนของบริษัทฟ. หรือไม่ จึงมิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะไม่รับวินิจฉัยให้ จำเลยมีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการขนส่ง บริษัทฟ.ซึ่งเป็นผู้ขนส่งไม่มีสำนักงานสาขาในประเทศไทย แต่ได้มอบหมายให้จำเลยเป็นผู้ดำเนินการติดต่อกับหน่วยราชการต่าง ๆ ในประเทศไทยเพื่อนำเรือบรรทุกสินค้าของบริษัทฟ. เข้าออกท่าเรือกรุงเทพ ขนสินค้าลงจากเรือและแจ้งการมาถึงของเรือให้เจ้าของสินค้าหรือผู้รับตราส่งทราบ ตลอดจนออกใบปล่อยสินค้าให้แก่ผู้รับตราส่งไปรับสินค้าออกจากท่าเรือ เมื่อปรากฏว่า จำเลยได้แจ้งวันที่เรือสินค้าจะมาถึงท่าเรือกรุงเทพให้ผู้รับตราส่งทราบ เป็นผู้ขออนุมัตินำเรือเข้าเทียบท่าและแจ้งหน่วยราชการต่าง ๆ เกี่ยวกับการขออนุญาตเปิดระวางเรือและขนถ่ายสินค้า ขอเช่าเครื่องมืออุปกรณ์การขนถ่ายสินค้า รับคืนใบตราส่งแลกกับใบปล่อยสินค้า และเพื่อให้ผู้รับตราส่งนำไปขอรับสินค้าจากการท่าเรือแห่งประเทศไทยมิฉะนั้นจะรับสินค้าไม่ได้ การดำเนินงานของจำเลยในช่วงนี้เป็นขั้นตอนสำคัญของการขนส่งอันจะทำให้สินค้าที่ขนส่งมาถึงผู้รับตราส่ง และจะขาดช่วยนี้เสียมิได้ มิฉะนั้นการขนส่งจะชะงักนอกจากนี้เมื่อผู้ส่งยังไม่ได้ชำระค่าระวางในการขนส่งโดยให้มาเก็บค่าระวางปลายทาง จำเลยก็มีสิทธิเก็บค่าระวางขนส่งเสียก่อนที่จะออกใบปล่อยสินค้าให้ผู้รับตราส่ง ส่วนบุคคลผู้ที่ขนถ่ายสินค้าลงจากเรือไม่ว่าจำเลยจะใช้พนักงานของจำเลยหรือผู้อื่นทำการขนถ่ายก็ต้องอยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยซึ่งเป็นเรื่องวิธีดำเนินการค้าระหว่างบริษัทฟ. กับจำเลยโดยจำเลยได้รับบำเหน็จจากทางการค้าตามปกติของตน จึงถือว่าจำเลยเป็นผู้ทำการขนส่ง นอกจากจำเลยจะดำเนินการดังกล่าวแก่สินค้าขาเข้าแล้ว จำเลยยังดำเนินการเกี่ยวกับการขนสินค้าขาออกจากประเทศไทยให้แก่บริษัทฟ. ด้วย พฤติการณ์ที่จำเลยเข้าเกี่ยวข้องดำเนินงานดังกล่าวเป็นลักษณะร่วมประกอบธุรกิจขนส่งด้วยกันอันเป็นการขนส่งหลายทอดตามวิธีการขนส่งทางทะเลโดยจำเลยเป็นผู้ขนส่งทอดสุดท้าย จำเลยจึงต้องร่วมรับผิดในการสูญหายหรือบุบสลายของสินค้าที่ขนส่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 618 จำเลยให้การว่า ผู้ส่งทำการบรรจุหีบห่อสินค้าไม่ดี เมื่อสินค้าสูญหายไปในระหว่างขนส่ง ผู้ส่งจึงต้องเป็นผู้รับผิดชอบบริษัทฟ. ผู้ขนส่งหรือจำเลยไม่ต้องรับผิด แต่จำเลยอุทธรณ์ว่าการซื้อขายสินค้าพิพาทเป็นการซื้อขายระบบซีแอนด์เอฟซึ่งสิทธิทั้งหลายจะตกแก่ผู้รับตราส่งเมื่อของหรือสินค้าได้ถึงตำบลที่กำหนดให้ส่งและผู้รับตราส่งได้เรียกให้ส่งมอบของหรือสินค้าแล้ว แต่ปรากฏว่าสินค้าพิพาทสูญหายก่อนส่งมอบให้แก่ผู้รับตราส่งจึงเป็นเรื่องที่ผู้ส่งจะต้องไปว่ากล่าวกับผู้ขนส่งผู้รับตราส่งยังไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้ขนส่ง เช่นนี้เห็นได้ชัดว่าข้ออุทธรณ์ของจำเลยไม่ตรงกับที่จำเลยให้การไว้ จึงมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะไม่รับวินิจฉัยให้ ภาระการพิสูจน์ว่าสินค้าที่ขนส่งสูญหายไปเพราะสุดวิสัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 616 ตกแก่ผู้ขนส่งแม้จะปรากฏว่าขณะเรือบรรทุกสินค้ารายพิพาทมาได้ถูกมุรสมอย่างรุนแรงระหว่างทางก็ตาม แต่ผู้ขนส่งไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาแสดงให้เห็นว่า หีบที่บรรจุสินค้ารายพิพาทได้แตกและสินค้าได้สูญหายไปเพราะเรือโดนมรสุมดังกล่าว และไม่มีพยานยืนยันแน่ชัดว่าหีบที่บรรจุสินค้าพิพาทแตกชำรุดขณะใด จึงยังถือไม่ได้ว่าสินค้าพิพาทได้สูญหายไปเนื่องจากเหตุสุดวิสัย ผู้ขนส่งต้องรับผิดเพื่อความสูญหายนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3772/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาษีซ้ำซ้อน: การประเมินภาษีบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลจากแหล่งรายได้เดียวกัน มิใช่ภาษีซ้ำซ้อน
โจทก์เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท จ. เกินกว่าร้อยละ 50 บริษัท จ. จึงต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลอย่างบุคคลธรรมดา ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 75 ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะเกิดเหตุพิพาท การที่โจทก์เสียภาษีในส่วนของบริษัทดังกล่าวจึงเป็นการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งเป็นคนละส่วนกับภาษีเงินได้บุคคลธรรดาที่โจทก์ถูกเจ้าพนักงานประเมินจากการที่โจทก์ให้บริษัท จ. ยืมเงินทดรองอันถือเป็นเงินได้ของโจทก์ ภาษีเงินได้สองส่วนนี้จึงไม่ซ้ำซ้อนกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3772/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลจากเงินยืมทดรองของบริษัทที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่เป็นผู้ให้กู้ ไม่เป็นภาษีซ้ำซ้อน
โจทก์เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท จ. เกินกว่าร้อยละ 50 บริษัทจ. จึงต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลอย่างบุคคลธรรมดา ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 75 ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะเกิดเหตุพิพาทการที่โจทก์เสียภาษีในส่วนของบริษัทดังกล่าวจึงเป็นการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งเป็นคนละส่วนกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่โจทก์ถูกเจ้าพนักงานประเมินจากการที่โจทก์ให้บริษัท จ.ยืมเงินทดรองอันถือเป็นเงินได้ของโจทก์ ภาษีเงินได้สองส่วนนี้จึงไม่ซ้ำซ้อนกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3712/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบุกรุกเคหสถาน: การเข้าไปโดยมีเหตุอันสมควรและความเข้าใจร่วมในการเข้าออก
ในคืนเกิดเหตุจำเลยซึ่งไม่มีอาวุธอะไรติดตัวได้เข้ามาเรียกผู้เสียหายที่หน้าประตูบ้านของผู้เสียหาย ให้ออกมาพูดกันให้รู้เรื่อง ผู้เสียหายไม่ออกไปแต่บอกให้จำเลยกลับไป พรุ่งนี้เช้าค่อยมาพูดกันใหม่ จำเลยก็ไม่กลับ เช่นนี้ แสดงว่าจำเลยมีเจตนาจะมาปรับความเข้าใจกับผู้เสียหายเกี่ยวกับเรื่องจำเลยสอบถามจะซื้อรถเข็นที่ทราบว่าผู้เสียหายจะขาย และข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยไปมาหาสู่บ้านผู้เสียหายบ่อยครั้ง จึงถือได้ว่าผู้เสียหายได้อนุญาตให้จำเลยเข้าออกในที่ดินและบ้านเรือนของผู้เสียหายได้เสมอ ที่ผู้เสียหายบอกให้จำเลยกลับบ้านไปพรุ่งนี้ค่อยมาพูดกัน มิใช่หมายความว่าผู้เสียหายไล่จำเลยออกไปจากที่ดินและบ้านเรือนของผู้เสียหายเป็นเพียงแต่ผู้เสียหายขอให้จำเลยเลื่อนไปพูดจาปรับความเข้าใจกันในวันรุ่งขึ้นเท่านั้นจำเลยจึงมีเหตุอันสมควรที่จะเข้าไปในที่ดินและเคหสถานของผู้เสียหาย ไม่มีความผิดฐานบุกรุก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3712/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบุกรุกเคหสถาน: การอนุญาตเข้าออกและการเจตนาเพื่อปรับความเข้าใจ
ในคืนเกิดเหตุจำเลยซึ่งไม่มีอาวุธอะไรติดตัวได้เข้ามาเรียกผู้เสียหายที่หน้าประตูบ้านของผู้เสียหาย ให้ออกมาพูดกันให้รู้เรื่อง ผู้เสียหายไม่ออกไป แต่บอกให้จำเลยกลับไป พรุ่งนี้เช้าค่อยมาพูดกันใหม่ จำเลยก็ไม่กลับเช่นนี้ แสดงว่าจำเลยมีเจตนาจะมาปรับความเข้าใจกับผู้เสียหายเกี่ยวกับเรื่องจำเลยสอบถามจะซื้อรถเข็นที่ทราบว่าผู้เสียหายจะขาย และข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยไปมาหาสู่บ้านผู้เสียหายบ่อยครั้ง จึงถือได้ว่าผู้เสียหายได้อนุญาตให้จำเลยเข้าออกในที่ดินและบ้านเรือนของผู้เสียหายได้เสมอ ที่ผู้เสียหายบอกให้จำเลยกลับบ้านไปพรุ่งนี้ค่อยมาพูดกันมิใช่หมายความว่าผู้เสียหายไล่จำเลยออกไปจากที่ดินและบ้านเรือนของผู้เสียหายเป็นเพียงแต่ผู้เสียหายขอให้จำเลยเลื่อนไปพูดจาปรับความเข้าใจกันในวันรุ่งขึ้นเท่านั้น จำเลยจึงมีเหตุอันสมควรที่จะเข้าไปในที่ดินและเคหสถานของผู้เสียหาย ไม่มีความผิดฐานบุกรุก