พบผลลัพธ์ทั้งหมด 981 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1473/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของฟ้องอาญา: การระบุช่วงเวลาการกระทำความผิดและการรับรู้ของผู้เสียหาย
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยได้รับเงินไปเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์2532 ต่อมาวันเวลาใดไม่ปรากฏชัดหลังจากที่จำเลยได้รับเงินไปแล้วจำเลยได้เบียดบังเอาเงินนั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริตกล่าวคือจำเลยได้รับปากว่าจะคืนเงินที่เหลือให้แก่โจทก์ โจทก์ทวงถามหลายครั้ง แต่ต่อมาเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2532 โจทก์ทวงถามอีกครั้ง จำเลยปฏิเสธไม่ยอมคืนให้ โจทก์จึงทราบว่าจำเลยได้ยักยอกเงินของโจทก์ ถือว่าฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงจุดเริ่มต้นแห่งการกระทำความผิดของจำเลยคือวันที่จำเลยรับเงินของโจทก์ไว้ และจุดที่โจทก์ทราบถึงการกระทำความผิดของจำเลยคือวันที่จำเลยปฏิเสธการคืนเงินให้โจทก์ จึงเป็นฟ้องที่ได้บรรยายถึงรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ แล้ว ย่อมเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1438/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องเรียกค่าทดแทนเวนคืน: เริ่มนับแต่วันรับเงินค่าทดแทน แม้ยังมิยินยอม
ตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 269 ลงวันที่28 มิถุนายน 2515 ข้อ 67 วรรคสอง ให้สิทธิเจ้าของหรือผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืนที่จะฟ้องเรียกเงินส่วนที่ตนเห็นว่าควรจะได้รับภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่ตนรับเงินค่าทดแทนจากเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เกี่ยวกับอายุความ มาตรา 169ให้เริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไปโจทก์ที่ 2 มอบอำนาจให้ ส. รับเงินค่าทดแทนที่ดินที่ถูกเวนคืนตามที่จำเลยทั้งสองกำหนดเป็นค่าทดแทนให้โดยรับเช็คจากเจ้าหน้าที่ของจำเลยทั้งสองเมื่อวันที่21 มิถุนายน 2528 สั่งจ่าย วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2528ซึ่งโจทก์ที่ 2 สามารถนำเช็คไปเรียกเก็บเงินได้ทันทีเพราะสิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่ 2 เริ่มนับแต่วันที่ได้รับเช็คคือวันที่ 21 มิถุนายน 2528 แล้ว ย่อมถือได้ว่าโจทก์ที่ 2 ได้รับเงินค่าทดแทนจากเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายน 2528 อายุความ1 ปีย่อมเริ่มนับตั้งแต่วันดังกล่าว เมื่อโจทก์ที่ 2 ฟ้องเรียกเงินส่วนที่เห็นว่าควรจะได้รับเพิ่มเมื่อวันที่11 กรกฎาคม 2529 คดีของโจทก์ที่ 2 จึงขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1412/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดค่าเสียหายจากสัญญาที่ผิดนัดช้า และผลกระทบของการปล่อยเวลาให้ล่วงเลย รวมถึงการหักค่าเสียหายที่ได้รับไปแล้ว
เมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญากับจำเลยแล้ว โจทก์ก็มิได้ว่าจ้างให้ผู้ใดก่อสร้างโรงฝึกงานทันที กลับปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปจนถึงวันฟ้องเป็นเวลานานถึง 6 ปีเศษ โจทก์จึงมีส่วนผิดที่ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยดังกล่าว ศาลชอบที่จะนำมาประกอบในการกำหนดค่าเสียหายได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1373/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำร้องเพิกถอนการเลือกตั้งต้องระบุรายละเอียดการกระทำผิดกฎหมายการเลือกตั้งที่ชัดเจน
การร้องขอต่อศาลเพื่อให้มีคำสั่งเพิกถอนการเลือกตั้ง และให้มีการเลือกตั้งใหม่จะต้องปรากฏว่าเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้ง กรรมการตรวจคะแนนหรือเจ้าหน้าที่คะแนนคนใดคนหนึ่งหรือทั้งหมดกระทำการอันฝ่าฝืน พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2522 มาตรา 51,52 เมื่อคำร้องกล่าวอ้างเหตุคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแต่เพียงว่า มีการรายงานผลล่าช้า น่าเชื่อว่ามีการถ่วงเวลาและมีการทุจริตในการเลือกตั้งเท่านั้น มิได้บรรยายถึงรายละเอียดว่า ได้มีการกระทำการฝ่าฝืนข้อห้ามของกฎหมายดังกล่าวในหน่วยเลือกตั้งใด เจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้ง กรรมการตรวจคะแนน เจ้าหน้าที่คะแนนหรือเจ้าหน้าที่อื่น ๆ คนใดกระทำการดังกล่าวนี้ และมิได้มีข้อเท็จจริงว่ามีการทุจริตหรือกระทำมิชอบด้วยกฎหมายประการใด จึงเป็นคำร้องที่ไม่ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหานั้น จึงเป็นคำร้องที่เคลือบคลุมไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1373/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำร้องเพิกถอนการเลือกตั้งต้องระบุรายละเอียดการกระทำผิดของเจ้าหน้าที่ ไม่เช่นนั้นถือเป็นคำร้องที่ไม่ชัดเจน
การร้องขอต่อศาลเพื่อให้มีคำสั่งเพิกถอนการเลือกตั้งและให้มีการเลือกตั้งใหม่จะต้องปรากฏว่าเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้ง กรรมการตรวจคะแนนหรือเจ้าหน้าที่คะแนนคนใดคนหนึ่งหรือทั้งหมดกระทำการอันฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 มาตรา 51,52เมื่อคำร้องกล่าวอ้างเหตุคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแต่เพียงว่า มีการรายงานผลล่าช้าน่าเชื่อว่ามีการถ่วงเวลาและมีการทุจริตในการเลือกตั้งเท่านั้น มิได้บรรยายถึงรายละเอียดว่า ได้มีการกระทำการฝ่าฝืน ข้อห้ามของกฎหมายดังกล่าวในหน่วยเลือกตั้งใด เจ้าพนักงาน ผู้ดำเนินการเลือกตั้ง กรรมการตรวจคะแนน เจ้าหน้าที่คะแนน หรือเจ้าหน้าที่อื่น ๆ คนใดกระทำการดังกล่าวนี้และมิได้มีข้อเท็จจริงว่ามีการทุจริตหรือกระทำมิชอบ ด้วยกฎหมาย ประการใด จึงเป็นคำร้องที่ไม่ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหานั้นจึงเป็นคำร้องที่เคลือบคลุมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1357/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท กรณีผลิตและมีไว้จำหน่ายยาเสพติดโทษหนัก
จำเลยตักเฮโรอีนออกจากถุงบรรจุลงหลอดพลาสติกเบอร์ 5 จำนวน 161 หลอด ถือได้ว่าเป็นการผลิตยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 แต่เมื่อเฮโรอีนดังกล่าวเป็นจำนวนเดียวกันกับเฮโรอีนที่จำเลยกับพวกมีไว้เพื่อจำหน่ายการกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวหรือหลายกรรมเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1357/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดหลายบท: ผลิตและครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่าย ศาลแก้ไขโทษตามกฎหมายที่หนักที่สุด
จำเลยตักเฮโรอีนออกจากถุงพลาสติกบรรจุลงไปในหลอดพลาสติกจำนวน 161 หลอด คำนวณปริมาณสุทธิ 176.16 กรัม ถือได้ว่าจำเลยมีความผิดฐานผลิตยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 การที่จำเลยมีเฮโรอีนบางส่วนที่บรรจุอยู่ในหลอดพลาสติกจำนวน 161 หลอดดังกล่าวไว้ในครอบครองขณะถูกจับกุม ซึ่งอยู่ในสภาพพร้อมที่จะนำออกจำหน่ายจำเลยจึงมีความผิดฐานมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 มีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เกินกว่า 100 กรัมด้วย แต่เมื่อการกระทำผิดทั้งสองฐานเกิดจากเฮโรอีนจำนวนเดียวกันการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท ปัญหาว่าการกระทำผิดของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวหรือความผิดหลายกรรมนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1357/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดหลายบท: การผลิตยาเสพติดจากของเดิมที่มีไว้จำหน่าย
จำเลยตักเฮโรอีนออกจากถุงบรรจุลงหลอดพลาสติกเบอร์ 5จำนวน 161 หลอด ถือได้ว่าเป็นการผลิตยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 แต่เมื่อเฮโรอีนดังกล่าวเป็นจำนวนเดียวกันกับเฮโรอีนที่จำเลยกับพวกมีไว้เพื่อจำหน่ายการกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท
การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวหรือหลายกรรมเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวหรือหลายกรรมเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1339/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายโรงเรียน: ศาลฎีกาแก้ไขจำนวนเงินคืนและค่าปรับตามความเหมาะสม โดยยึดหลักการกลับคืนสู่ฐานะเดิม
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การที่จำเลยไม่สามารถโอนสิทธิการเช่ารวมทั้งเปลี่ยนชื่อเจ้าของโรงเรียนให้แก่โจทก์ไม่เป็นเหตุสุดวิสัยถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา แต่พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องใหม่ภายในอายุความ เมื่อโจทก์อุทธรณ์จำเลยมิได้โต้แย้งในประเด็นข้อนี้ การที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา จึงเป็นเรื่องที่มิได้ว่ากล่าวกันในศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาและโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้วคู่สัญญาจะต้องกลับคืนสู่ฐานะดั่งที่เป็นอยู่เดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 แต่โจทก์ได้ครอบครองและใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่ซื้อขายตลอดมา การที่จำเลยจะต้องคืนเงินทั้งหมดให้แก่โจทก์ จึงไม่เป็นธรรมแก่จำเลย ศาลมีอำนาจกำหนดจำนวนเงินที่จำเลยต้องคืนให้แก่โจทก์เมื่อเลิกสัญญาตามที่เห็นสมควรได้ และให้โจทก์คืนทรัพย์สินที่ซื้อขายให้แก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1274/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ความผิดฐานมีอาวุธปืนฯ โจทก์ต้องพิสูจน์จำเลยไม่มีใบอนุญาต
ความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ เมื่อโจทก์มิได้นำสืบให้ได้ความชัดว่าอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิด จำเลยมิได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ให้มีและใช้ได้ตามกฎหมาย ทั้งคดีไม่ได้อาวุธปืนดังกล่าวมาเป็นของกลางประกอบกับโจทก์มิได้นำสืบถึงรายละเอียดเกี่ยวกับอาวุธปืนที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิด จำเลยจึงไม่จำเป็นต้องนำสืบหักล้างดังนั้นแม้จำเลยจะไม่ได้นำสืบปฏิเสธว่าอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวจำเลยได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน ก็ไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ได้