คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ไมตรี กลั่นนุรักษ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 981 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 901/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในสินสมรสประเภทมีเอกสารสำคัญ: การขอลงชื่อร่วมในบัญชีเงินฝาก
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผู้เป็นภริยาถอนเงินฝากซึ่งเป็นสินสมรสไปฝากที่ธนาคารอื่นโดยไม่แจ้งให้โจทก์ทราบ เป็นการขัดขวางการจัดการสินสมรสของโจทก์ ขอให้แยกสินสมรสหรือขอให้โจทก์ลงชื่อร่วมในบัญชีเงินฝากนั้น แม้ตามคำฟ้องของโจทก์จะมิใช่กรณีที่โจทก์อาจร้องขอให้ศาลสั่งให้แยกสินสมรสได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1484 เพราะจำเลยมิใช่เป็นผู้มีอำนาจจัดการสินสมรสฝ่ายเดียวก็ตามแต่โจทก์ก็ขอให้ลงชื่อตนเป็นเจ้าของรวมในบัญชีเงินฝากเพื่อการเบิกถอนเงินด้วยเงินฝากในธนาคารเช่นนี้ถือได้ว่าเป็นสินสมรสจำพวกที่มีเอกสารเป็นสำคัญซึ่งตามมาตรา 1475 ให้สิทธิแก่โจทก์ที่จะร้องขอให้ลงชื่อตนเป็นเจ้าของรวมกันในเอกสารนั้นได้ เมื่อจำเลยไม่ยินยอม กรณีจึงถือได้ว่ามีข้อโต้แย้งสิทธิของโจทก์เกิดขึ้นแล้ว ชอบที่ศาลชั้นต้นจะรับฟ้องโจทก์ไว้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 862/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของนายจ้างและผู้รับประกันภัยต่อความเสียหายจากอุบัติเหตุที่เกิดจากลูกจ้าง
ข้อสัญญาในกรมธรรม์ประกันภัยได้ให้ความคุ้มครองถึงนายจ้างผู้ซึ่งมิใช่เป็นผู้เอาประกันภัยด้วย เมื่อนายจ้างจะต้องรับผิดจากการใช้รถยนต์คันที่เอาประกันภัยโดยลูกจ้างในทางการที่จ้างดังนี้ จำเลยที่ 2 ซึ่งมิใช่ผู้เอาประกันภัยแต่เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ผู้ซึ่งขับรถบรรทุกไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 โดยประมาทชนรถโจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยค้ำจุนจึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ไม่เกินวงเงินที่จำเลยที่ 3 รับประกันภัยไว้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 862/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความคุ้มครองประกันภัยนายจ้างจากอุบัติเหตุที่เกิดจากการใช้รถของลูกจ้าง
ข้อสัญญาในกรมธรรม์ประกันภัยได้ให้ความคุ้มครองถึงนายจ้างผู้ซึ่งมิใช่เป็นผู้เอาประกันภัยด้วย เมื่อนายจ้างจะต้องรับผิดจากการใช้รถยนต์คันที่เอาประกันภัยโดยลูกจ้างในทางการที่จ้าง ดังนี้ จำเลยที่ 2 ซึ่งมิใช่ผู้เอาประกันภัยแต่เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ผู้ซึ่งขับรถบรรทุกไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2โดยประมาทชนรถโจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยค้ำจุนจึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ไม่เกินวงเงินที่จำเลยที่ 3 รับประกันภัยไว้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 769/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ศาลฎีกามีอำนาจยกฟ้องจำเลยที่ 3 เมื่อพยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่ากระทำความผิด
เมื่อพยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 กระทำความผิดศาลฎีกามีอำนาจยกฟ้องโจทก์ถึงความผิดอื่นที่เป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกันและยุติแล้วได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคแรก ประกอบมาตรา215 และมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 692/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาทในการขับรถฝ่าฝืนเครื่องหมายจราจร 'หยุด' และการรับผิดของผู้เช่าซื้อรถ
เครื่องหมายจราจร "หยุด" ตามข้อกำหนดกรมตำรวจเรื่องสัญญาณจราจรฯ ข้อ 8(1) ที่ออกตามความในมาตรา 21 แห่ง พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ระบุว่าหมายความว่ารถทุกชนิดต้องหยุดให้รถและคนเดินทางเท้าในทางขวางหน้าผ่านไปก่อน เมื่อเห็นว่าปลอดภัยและไม่เป็นการกีดขวางการจราจรที่บริเวณทางแยกนั้นแล้วจึงให้เคลื่อนรถต่อไปด้วยความระมัดระวัง ดังนั้นเมื่อตรงบริเวณสี่แยกที่เกิดเหตุในทางเดินรถของจำเลยที่ 1 มีเครื่องหมายจราจร"หยุด" ปักอยู่ข้างถนนแต่จำเลยที่ 1 ไม่หยุดรถยนต์เพื่อตรวจสอบความปลอดภัยหรือหยุดรอให้ผู้ตายขับรถจักรยานยนต์มาในทางขวางหน้าที่ไม่มีเครื่องหมายจราจร "หยุด" ผ่านไปก่อน เมื่อรถยนต์คันที่จำเลยที่ 1 ขับชนกับรถจักรยานยนต์คันที่ผู้ตายขับตรงบริเวณสี่แยกดังกล่าว จำเลยที่ 1 จึงเป็นฝ่ายประมาท พยานโจทก์อยู่ในวิสัยที่จะเบิกความระบุชื่อปรักปรำจำเลยทั้งสองได้ตั้งแต่ชั้นสอบสวนหรือในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้นแต่พยานโจทก์เพียงเบิกความเป็นกลาง ๆ ว่าเห็นชาย 1 คนหญิง 1 คนลงจากรถยนต์คันเกิดเหตุหลบหนีไปย่อมบ่งชี้ให้เชื่อได้ว่าพยานโจทก์เบิกความด้วยความสัตย์จริงตามที่เห็นเหตุการณ์เมื่อนำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาพิจารณาร่วมกับข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 2เป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์คันเกิดเหตุและจำเลยที่ 2 เคยมอบเงินจำนวน 1,000 บาท ให้แก่ ศ. มาแล้ว มีเหตุให้เชื่อได้ว่าชายคนที่ลงจากรถยนต์คันเกิดเหตุคือจำเลยที่ 2

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 683/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิประทานบัตรทำเหมืองแร่ vs. สิทธิครอบครองที่ดิน: ผู้ได้รับประทานบัตรมีสิทธิใช้ที่ดินแต่เพียงผู้เดียว
โจทก์ได้รับประทานบัตรให้ทำเหมืองแร่ดีบุกในที่พิพาท จึงมีสิทธิใช้ที่พิพาทนั้นเพื่อกิจการเหมืองแร่แต่เพียงผู้เดียว แม้ต่อมาจำเลยเข้าไปปลูกบ้านอยู่อาศัยและปลูกต้นไม้ในที่พิพาท แต่เมื่อจำเลยมิใช่ผู้ถืออาชญาบัตร ประทานบัตรชั่วคราวประทานบัตรหรือผู้รับใบอนุญาตจากทางราชการ จำเลยจึงต้องห้ามมิให้เข้าไปยึดถือครอบครองที่พิพาทโดยผลของ พระราชบัญญัติ แร่ฯ จำเลยจึงไม่มีสิทธิครอบครองในที่พิพาท แม้ทางราชการจะออกทะเบียนบ้านระบุเลขที่บ้านหลังที่จำเลยเข้าไปปลูกอยู่อาศัยก็ตาม จำเลยจะนำทะเบียนบ้านมาเป็นหลักฐานอ้างสิทธิว่าจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทยันโจทก์หาได้ไม่ เนื่องจากทะเบียนบ้านมิใช่เป็นหลักฐานแห่งการครอบครองที่ดิน การที่โจทก์ได้รับประทานบัตรให้ทำเหมืองแร่ไม่ทำให้โจทก์ได้สิทธิครอบครองที่ดิน เมื่อโจทก์ฟ้องให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินประทานบัตรของโจทก์จึงไม่ใช่เรื่องฟ้องเรียกสิทธิครอบครองคืนจากผู้แย่งสิทธิครอบครองโจทก์จึงไม่ต้องฟ้องขับไล่จำเลยภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่จำเลยเข้าไปอยู่ในที่พิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 679/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่า, การลดค่าเช่า, สิทธิเลิกสัญญา, การริบเงินประกัน, การบอกเลิกสัญญา
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 568 วรรคแรก ข้อความว่าผู้เช่าจะเรียกให้ลดค่าเช่าลงตามส่วนก็ได้ มีความหมายอยู่ในตัวว่าผู้เช่าจะไม่เรียกให้ลดค่าเช่าลงก็ได้ บทบัญญัติดังกล่าวมิได้บังคับให้ต้องลดค่าเช่าลงในกรณีที่ทรัพย์สินซึ่งให้เช่าสูญหายไปแต่เพียงบางส่วน สัญญาเช่าที่มีข้อตกลงว่าจำเลยต้องชำระค่าเช่าให้แก่โจทก์เป็นรายปีไม่ว่าจำนวนรั้วที่กั้นและเนื้อที่โฆษณาจะลดลงด้วยประการใดก็ตามค่าเช่าในแต่ละรายปีจะไม่เปลี่ยนแปลงนั้นจึงไม่ขัดต่อกฎหมาย สัญญามีข้อความว่า "ในกรณีที่ผู้เช่า (จำเลย) ไม่ชำระค่าเช่าตามกำหนดเวลาที่ระบุไว้ในสัญญา ให้กรุงเทพมหานคร (โจทก์)ริบเงินค้ำประกันสัญญาตามสัญญาข้อ 3 และให้ถือเป็นการบอกเลิกสัญญาต่อกันทันที โดยไม่ต้องบอกกล่าวก่อน" นั้นเป็นการให้สิทธิเลิกสัญญาเฉพาะโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เท่านั้น มิได้ให้สิทธิแก่จำเลยผู้ไม่ชำระหนี้ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 644/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการพิจารณาพยานหลักฐานและยกฟ้องแม้จำเลยรับสารภาพ หากพยานหลักฐานไม่สอดคล้อง
ศาลมีอำนาจพิจารณาพยานหลักฐานที่ปรากฏอยู่ในสำนวนทั้งหมดการที่ศาลชั้นต้นสั่งคดีมีมูลแทนที่จะสั่งยกฟ้องโจทก์เสียในชั้นไต่สวนมูลฟ้องก็เป็นเพียงแต่ให้รับคำฟ้องไว้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปเท่านั้น แต่ในชั้นพิจารณาเมื่อปรากฏจากพยานหลักฐานชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดดังโจทก์ฟ้อง ศาลก็มีอำนาจยกฟ้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 607/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา การยกข้อต่อสู้ใหม่ในชั้นอุทธรณ์ต้องห้ามตามกฎหมาย
การพิจารณาคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. ดังนั้น คำให้การของจำเลยในคดีดังกล่าวต้องแสดงโดยแจ้งชัดในคำให้การว่าจำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้น หรือแต่บางส่วนเมื่อจำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความที่จะเรียกร้องให้จำเลยคืนราคาทรัพย์ได้แล้วที่จำเลยอุทธรณ์ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยชอบแล้ว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 607/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา จำเลยต้องยกข้อต่อสู้ในคำให้การ หากไม่ยกขึ้นว่ากันในชั้นศาลชั้นต้น จะยกขึ้นในชั้นอุทธรณ์ไม่ได้
การพิจารณาคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 40 บัญญัติให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 2 ยื่นคำให้การต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง คือแสดงโดยแจ้งชัดในคำให้การว่ายอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น การที่จำเลยที่ 2 ไม่ได้ให้การต่อสู้เรื่องอายุความและขอให้หักผลประโยชน์ไว้ และศาลชั้นต้นก็ไม่ได้พิจารณาในเรื่องนี้ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วจำเลยที่ 2 มาขอให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาย่อมต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225วรรคแรก ที่ว่าข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จะยกขึ้นอ้างอิงในการยื่นอุทธรณ์นั้น คู่ความจะต้องกล่าวไว้ชัดแจ้งในอุทธรณ์ และต้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น
of 99