พบผลลัพธ์ทั้งหมด 981 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 586/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประพฤติเนรคุณ หมิ่นประมาทบุพการี เป็นเหตุให้เพิกถอนการให้ทรัพย์สินได้ตามกฎหมาย
โจทก์เป็นมารดาของจำเลย เป็นผู้มีพระคุณต่อจำเลย ตามปกติวิสัยบุตรย่อมต้องให้ความเคารพและเทิดทูนมารดาไว้เหนือผู้อื่น การที่จำเลยพูดด่าว่าโจทก์ว่า "มึงเก่งหรืออีบัว"ก็ดี และว่ามึงอย่าเก่งมากนักก็ดี และท้าให้โจทก์ซึ่งเป็นมารดามาสู้กับตนโดยกล่าวว่า "มึงอย่าเก่งหลายอีบัว นาบ่ใช่นามึง นาของพ่อ ถ้าเก่งมาสู้กับบักลี กูจะจับขามึงวี่ลงเฮือน" ซึ่งหมายความว่าถ้าโจทก์เก่งจะจับขาเหวี่ยงลงจากบ้าน ล้วนแต่เป็นการแสดงเจตนาดูหมิ่นมารดาผู้เป็นบุพการี โดยไม่มีความเคารพยำเกรงตามวิสัยของบุตรทั่วไป ทั้งเป็นการลบหลู่บุญคุณมารดาอีกด้วย มิใช่เป็นเพียงคำกล่าวที่หยาบคายและไม่สมควรเท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง ถือได้ว่าเป็นการประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ โจทก์ถอนคืนการให้ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 586/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประพฤติเนรคุณโดยการหมิ่นประมาทบุพการีทำให้สิทธิในการรับโอนทรัพย์สินถูกถอนคืนได้
การที่จำเลยพูดด่าโจทก์ว่า "มึงเก่งหรืออีบัว มึงอย่าเก่งมากนัก" และท้าให้โจทก์ซึ่งเป็นมารดามาสู้กับตน โดยกล่าวว่า "มึงอย่าเก่งหลายอีบัว นาบ่ใช่นามึงนาของพ่อ ถ้าเก่งมาสู้กับบักลีกูจะจับขามึงวี่ลงเฮือน" ซึ่งหมายความว่า ถ้าโจทก์เก่งจะจับขาเหวี่ยงลงจากบ้าน ล้วนแต่เป็นการแสดงเจตนาดูหมิ่นมารดาผู้เป็นบุพการี โดยไม่มีความเคารพยำเกรง ตามวินัยของบุตรทั่วไปทั้งเป็นการลบหลู่คุณมารดา มิใช่เป็นเพียงคำกล่าวที่หยาบคายและไม่สมควรเท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง ถือเป็นการเนรคุณต่อโจทก์ โจทก์ถอนคืนการให้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 586/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหมิ่นประมาทมารดาและการเพิกถอนการให้ที่ดินเนื่องจากประพฤติเนรคุณ
โจทก์เป็นมารดาของจำเลย เป็นผู้มีพระคุณต่อจำเลย ตามปกติวิสัยบุตรย่อมต้องให้ความเคารพและเทิดทูนมารดาไว้เหนือผู้อื่นการที่จำเลยพูดด่าว่าโจทก์ว่า "มึงเก่งหรืออีบัว" ก็ดี และว่ามึงอย่าเก่งมากนักก็ดี และท้าให้โจทก์ซึ่งเป็นมารดามาสู้กับตนโดยกล่าวว่า "มึงอย่าเก่งหลายอีบัว นาบ่ใช่นามึง นาของพ่อ ถ้าเก่งมาสู้กับบักลีกูจะจับขามึงวี่ลงเฮือน" ซึ่งหมายความว่า ถ้าโจทก์เก่งจะจับขาเหวี่ยงลงจากบ้าน ล้วนแต่เป็นการแสดงเจตนาดูหมิ่นมารดาผู้เป็นบุพการี โดยไม่มีความเคารพยำเกรงตามวิสัยของบุตรทั่วไป ทั้งเป็นการลบหลู่บุญคุณมารดาอีกด้วย มิใช่เป็นเพียงคำกล่าวที่หยาบคายและไม่สมควรเท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง ถือได้ว่าเป็นการประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ โจทก์ถอนคืนการให้ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 531
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 564/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภูมิลำเนาพระภิกษุและทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างสมณเพศ ตกเป็นสมบัติของวัดที่เป็นภูมิลำเนา
หนังสือสุทธิสำหรับพระภิกษุ ใบมรณบัตร ใบแต่งตั้งเป็นพระครูคำขอรับมรดกของมารดาและบัญชีเงินฝากต่างระบุว่าผู้ตายอยู่วัดผู้ร้อง แสดงว่าผู้ตายถือเอาวัดผู้ร้องเป็นสถานที่อยู่เป็นแหล่งสำคัญ วัดผู้ร้องจึงเป็นภูมิลำเนาของผู้ตาย ทรัพย์สินของผู้ตายที่ได้มาในระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศ จึงตกเป็นสมบัติของวัดผู้ร้องที่เป็นภูมิลำเนาของผู้ตาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 556/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรอการลงโทษคดีอาวุธปืน พิจารณาจากลักษณะอาวุธ ประวัติผู้ต้องหา และพฤติการณ์
อาวุธปืนของกลางเป็นเพียงอาวุธปืนลูกซองสั้นที่ยิงได้คราวละนัดเมื่อเปรียบเทียบกับอาวุธปืนชนิดอื่นที่บรรดามิจฉาชีพใช้กันอยู่โดยทั่วไป ซึ่งเป็นอาวุธปืนที่สามารถบรรจุและยิงได้คราวละหลายนัดโดยมีแรงทะลุทะลวงมากแล้ว อาวุธปืนของกลางจึงมิใช่อาวุธปืนร้ายแรงนัก ทั้งขณะเกิดเหตุจำเลยมีกระสุนปืนที่พาติดตัวไปเพียงนัดเดียวและไม่ปรากฏว่าจำเลยจะพาอาวุธปืนของกลางนั้นไปประกอบอาชญากรรมหรือกระทำการอันมิชอบ กลับได้ความโดยมีหนังสือรับรองของกำนันรองผู้ว่าราชการจังหวัด และพระภิกษุเจ้าคณะตำบล ท้องที่เกิดเหตุเป็นหลักฐานยืนยันว่า จำเลยมีความประพฤติดี ชอบช่วยเหลือทางราชการและทำคุณประโยชน์ให้แก่ราชการและสังคมโดยส่วนรวมในหลาย ๆ ด้านทั้งในวันเกิดเหตุจำเลยได้พาอาวุธปืนของกลางติดตัวไปเฝ้าดูแลเครื่องสูบน้ำของสภาตำบลที่จำเลยรับหน้าที่ช่วยเหลือดูแลอยู่ดังนี้ พฤติการณ์แห่งคดีประกอบกับลักษณะอาวุธและความประพฤติของจำเลยในอดีต จำเลยควรได้รับความปรานีด้วยการรอการลงโทษ แต่เพื่อให้จำเลยหลาบ จำจึงลงโทษปรับอีกสถานหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 460/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสมรสซ้อนและการเป็นทายาทโดยธรรม: สิทธิในการจัดการมรดก
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1495 เดิมนั้นการสมรสซ้อนแม้จะไม่ถูกต้องก็ยังไม่เป็นโมฆะ จนกว่าศาลจะได้มีคำพิพากษาให้การสมรสนั้นเป็นโมฆะจึงต้องถือว่าการสมรสระหว่างผู้ตายกับผู้คัดค้านยังมีอยู่ ผู้คัดค้านจึงเป็นทายาทโดยธรรมและมีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดก จึงมีสิทธิยื่นคำร้องคัดค้านการตั้งผู้จัดการมรดกของผู้ตายได้ การที่ผู้คัดค้านมีสามีมาก่อนหรือไม่ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการจัดการมรดกหรือทำให้การจัดการมรดกไม่เหมาะสมแต่ประการใด และการที่ผู้คัดค้านอ้างว่าเด็กชาย ธ. เป็นบุตรของผู้ตายกับผู้คัดค้านนั้น แม้ไม่ถูกต้องก็เป็นการอ้างไปตามบันทึกในทะเบียนสมรสซึ่งผู้ตายกับผู้คัดค้านแจ้งไว้ ยังไม่ถึงขนาดที่ทำให้ผู้คัดค้านไม่เหมาะสมที่จะจัดการมรดกร่วมกับผู้ร้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 460/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสมรสซ้อนและการมีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดก แม้สมรสไม่สมบูรณ์ก็ยังมีสิทธิเป็นทายาท
แม้การสมรสระหว่างล. เจ้ามรดกกับผู้คัดค้านเป็นการสมรสซ้อนต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1452 เป็นโมฆะตามมาตรา 1496 ถือเท่ากับไม่มีการสมรส ผู้คัดค้านจึงไม่ใช่ภรรยาของล. ก็ตาม แต่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1495 เดิม นั้น การสมรสแม้จะไม่ถูกต้องประการใด ก็ยังไม่เป็นโมฆะ นอกจากศาลได้พิพากษาให้การสมรสเป็นโมฆะ เมื่อยังไม่มีฝ่ายใดฟ้องให้การสมรสระหว่างล. กับผู้คัดค้านเป็นโมฆะและยังไม่มีคำพิพากษาเช่นนั้น จึงต้องถือว่าการสมรสระหว่าง ล.กับผู้คัดค้านยังมีอยู่ ผู้คัดค้านจึงเป็นทายาทโดยธรรมและมีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดก การที่ผู้คัดค้านเคยมีสามีมาก่อน ไม่เกี่ยวข้องกับการจัดการมรดก ส่วนการที่ผู้คัดค้านอ้างว่าเด็กชายธ.เป็นบุตรของล.กับผู้คัดค้านนั้น แม้ไม่ถูกต้องก็เป็นการอ้างไปตามบันทึกในทะเบียนสมรส ซึ่งล.กับผู้คัดค้านแจ้งไว้ กรณีดังกล่าวยังไม่ถึงขนาดให้ผู้คัดค้านเป็นผู้ไม่เหมาะสมในการเป็นผู้จัดการมรดก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 446/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ชิงทรัพย์โดยใช้อาวุธปืน: การแบ่งหน้าที่ของพวกจำเลยเป็นตัวการร่วม
พวกของจำเลยเป็นผู้ขับรถจักรยานยนต์โดยมีจำเลยนั่งซ้อนท้ายไปจอดเยื้องหน้าบ้านผู้เสียหาย พวกของจำเลยลงจากรถเดินมาซื้อน้ำอัดลมที่บ้านของผู้เสียหายซึ่งเปิดเป็นร้ายขายของ และได้สอบถามถึงสามีผู้เสียหายกับพูดคุยอยู่ประมาณ 5-10 นาทีแล้วเดินกลับมาที่รถ จำเลยจึงได้เดินมาซื้อน้ำอัดลมและขณะที่ผู้เสียหายดึงลิ้นชักโต๊ะเก็บเงินเพื่อหยิบเงินทอนให้จำเลย จำเลยได้ใช้อาวุธปืนจี้และเอาทรัพย์ของผู้เสียหาย จากนั้นจำเลยวิ่งไปนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวหลบหนีไป ดังนี้ การกระทำของจำเลยกับพวกเป็นลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำ พวกของจำเลยจึงเป็นตัวการร่วมกระทำการชิงทรัพย์กับจำเลยไม่ใช่เป็นเพียงผู้สนับสนุน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 264/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ตัวผู้กระทำผิดจากพยานหลักฐานที่ไม่ชัดเจนและขัดแย้ง ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง
คนร้ายทั้ง 3 คน สวมหมวกไหมพรมสีดำคลุมศีรษะปิดลงมาถึงคอ เปิดแค่ ตา จมูก และคาง จึงไม่สามารถจะรู้ได้ว่าเป็นผู้ใด แม้จะเป็นคนรู้จักกันมาก่อนก็ตาม ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยมีรูปร่างลักษณะพิเศษผิดแผกไปจากบุคคลอื่น อันจะเป็นจุดเด่นเฉพาะตัว ขณะเกิดเหตุเวลากลางคืน คนร้ายที่ผู้เสียหายอ้างว่าคือจำเลยก็ไม่ได้พูดอะไรพอที่จะจดจำเสียงได้ บ้านที่เกิดเหตุมีหลอดไฟฟ้านีออนอยู่เหนือประตูด้านนอก แสงไฟส่องเข้ามาในบ้านไม่มากนัก ทำให้มองเห็นไม่ชัดเจน และขณะเกิดเหตุพยานถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนจี้หน้าอกจากนั้นถูกเตะถีบจนสลบไป ในสภาวะเช่นนั้น พยานต้องอยู่ในอาการตกใจกลัว ย่อมไม่มีโอกาสสังเกตพวกคนร้าย นอกจากนี้หลังเกิดเหตุพยานไปแจ้งความที่สถานีตำรวจก็ไม่ได้ระบุว่าใครปล้นเป็นการผิดวิสัยของการรู้ตัวคนร้าย พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่พอฟังว่าจำเลยเป็นคนร้าย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 244/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ตัวผู้กระทำผิดจากพยานผู้เสียหายและสถานการณ์ขณะเกิดเหตุ
เหตุเกิดเวลาประมาณ 18 นาฬิกาของเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นฤดูร้อน เวลากลางวันยาวกว่าเวลากลางคืน เวลาดังกล่าวยังไม่มืดมีแสงสว่างมองเห็นได้ชัดเจน ทั้งรถจักรยานยนต์คนร้ายก็สวนไปมาถึง3 ครั้ง จนผู้เสียหายสังเกตได้ก่อนลงมือกระชากสร้อยคนร้ายเดินเข้าไปหาผู้เสียหาย ผู้เสียหายยังเข้าใจว่าจะเดินมาถามทาง ผู้เสียหายจึงมีโอกาสได้เห็นหน้าคนร้ายในระยะใกล้ เมื่อคนร้ายไปถึงตัวได้ใช้อาวุธปืนจี้พร้อมทั้งห้ามผู้เสียหายมิให้ส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือแล้วกระชากสร้อยคอไป จึงมีระยะเวลาที่ผู้เสียหายเห็นคนร้ายนานพอสมควรที่จะจำคนร้ายได้ จึงเชื่อว่าผู้เสียหายจำคนร้ายได้แน่นอนไม่ผิดตัว.