พบผลลัพธ์ทั้งหมด 981 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 221/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความน่าเชื่อถือพยานหลักฐาน – คดีปล้นทรัพย์ – ความขัดแย้งผลประโยชน์ – ยกประโยชน์แห่งความสงสัย
แม้โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานมาเบิกความว่า จำเลยทั้งสามกับพวกล้อมบังคับให้ผู้เสียหายนั่งและจับผู้เสียหายนอนลงโดยมีคนใช้เท้าเหยียบขาผู้เสียหาย และมีคนหยิบเงินจำนวน 6,500 บาทไปจากผู้เสียหาย แต่ก็ได้ความจากผู้เสียหายว่า ผู้เสียหายรู้จักกับจำเลยทั้งสามมาก่อน เคยย้ายมาพักอาศัยอยู่กับทางฝ่ายจำเลยและเคยยืมเงินจำเลยที่ 2 กับวันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 บอกให้ผู้เสียหายย้ายไปจากกรุงเทพฯ ในวันรุ่งขึ้น เจือสมกับข้อนำสืบของจำเลยว่า ผู้เสียหายย้ายมาขออาศัยอยู่กับฝ่ายจำเลย ฝ่ายจำเลยให้การช่วยเหลือผู้เสียหายด้านการเงิน และยอมให้ผู้เสียขายโรตี บริเวณที่จำเลยที่ 1 เคยขายมาก่อน โดยให้ขายเพียง 1 เดือน แต่ผู้เสียหายไม่ยอมย้าย คืนเกิดเหตุจำเลยทั้งสามไปพบผู้เสียหายเพื่อขอให้ย้ายที่ขายโรตี ซึ่งผู้เสียหายไม่ยอม และจำเลยที่ 2 ทวงเงินผู้เสียหาย จึงเกิดโต้เถียงกัน ส่อแสดงว่าผู้เสียหายกับฝ่ายจำเลยมีข้อขัดแย้งผลประโยชน์กัน ทั้งผู้เสียหายยังเบิกความกลับไปกลับมาในเรื่องบริเวณที่ขายโรตีของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 และเรื่องการยืมเงินของจำเลยที่ 2 ในที่เกิดเหตุคำพยานผู้เสียหายมีพิรุธ กับหลังเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ยังคงอยู่ในที่เกิดเหตุจนเจ้าหน้าที่ตำรวจมาจับกุมได้ ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 ที่ถูกจับได้ในคืนเกิดเหตุ แต่ตรวจค้นไม่พบเงินของผู้เสียหายจากจำเลยทั้งสามพยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าวมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยทั้งสามได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 178/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานเพียงพอสนับสนุนคำเบิกความของประจักษ์พยานและคำรับสารภาพของผู้ร่วมกระทำความผิด ทำให้ฟังได้ว่าจำเลยร่วมฆ่าผู้ตาย
เหตุเกิดเวลากลางวัน แม้โจทก์มีประจักษ์พยานเพียงปากเดียวแต่ขณะเกิดเหตุพยานอยู่ห่างคนร้ายประมาณ 1 วา และน่าเชื่อว่าพยานไม่ตกใจถึงกับจะไม่รับรู้เหตุการณ์ คนร้ายปฏิบัติการอยู่นานมีการยิงซ้ำผู้ตาย พยานวิ่งไปประมาณ 10 เมตร แล้วได้หันกลับมามองเห็นจำเลยยิงผู้ตายซ้ำ ในชั้นสอบสวนพยานให้การยืนยันว่าจำคนร้ายได้ และให้การถึงรูปพรรณคนร้ายในคดีที่ จ. ถูกฟ้องว่าเป็นคนร้ายคนหนึ่ง พยานก็ได้เบิกความยืนยัน เมื่อจับตัวจำเลยได้แล้วพยานก็ชี้ตัวจำเลยได้ถูกต้องไม่ลังเลใจ และได้ลงชื่อรับรองความถูกต้องของบันทึกการชี้ตัวไว้ในชั้นจับกุมจำเลยให้การรับสารภาพโดยสมัครใจ นอกจากนี้ในคดีที่ จ. ถูกฟ้อง จ. รับสารภาพว่าร่วมกับจำเลยและ พ. กระทำผิด แม้ตามปกติคำซัดทอดระหว่างผู้ต้องหาด้วยกันจะไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟัง แต่เมื่อฟังประกอบกับคำประจักษ์พยานโจทก์แล้ว ย่อมสนับสนุนคำของประจักษ์พยานให้มีน้ำหนักยิ่งขึ้น ดังนี้พยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวแล้ว จึงมีน้ำหนักเพียงพอฟังได้โดยมั่นคงว่าจำเลยร่วมกับ จ. และพวกเป็นคนร้ายฆ่าผู้ตาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 112/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดุลพินิจศาลเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม: การลดค่าเสียหายที่ศาลกำหนดไม่ถือว่าโจทก์ดำเนินคดีไม่สุจริต
ความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียม ป.วิ.พ. มาตรา 161 บัญญัติให้เป็นดุลพินิจของศาลโดยคำนึงถึงเหตุสมควรและความสุจริตในการสู้ความหรือการดำเนินคดีการที่ศาลใช้ดุลพินิจกำหนดค่าเสียหายให้จำเลยชดใช้แก่โจทก์ต่ำกว่าที่โจทก์ขอมาในฟ้อง ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ดำเนินคดีโดยไม่สุจริต ศาลพิพากษาให้จำเลยรับผิดค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ตามทุนทรัพย์ที่ฟ้อง เป็นการใช้ดุลพินิจที่ชอบ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 100/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานหลักฐานในคดีวางเพลิง: ศาลรับฟังพยานบุคคลประกอบเหตุผลน่าเชื่อถือ แม้มีพยานเพียงปากเดียว
แม้ขณะเกิดเหตุจะเป็นเวลากลางคืน แต่เมื่อได้ความว่าคนร้ายยืนห่างจากประจักษ์พยานโจทก์เพียง 6 เมตร และคนร้ายเป็นผู้ที่ประจักษ์พยานรู้จักมาก่อน บริเวณที่คนร้ายยืนอยู่มีแสงสว่างจากไฟฟ้าที่หน้าร้าน และจากโป๊ะจอดเรือส่องถึงพอที่จะเห็นหน้าคนร้ายได้ชัดเจน และจำได้ว่าเป็นจำเลย ทั้งพยานโจทก์ปากนี้ก็ไม่ได้มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงไม่มีข้อระแวงว่าจะเบิกความปรักปรำจำเลย เชื่อได้ว่าได้เบิกความไปตามความจริง ส่วนที่จำเลยนำสืบว่า พยานโจทก์เป็นคนหลังค่อม เมื่อยืนหลังตู้เย็นย่อมไม่สามารถมองเห็นหน้าคนร้ายได้ชัดเจนนั้น ความพิการดังกล่าว ไม่ถึงกับเป็นอุปสรรคในการมองเห็นเหตุการณ์ และที่โจทก์ไม่นำ บ.ลูกจ้างผู้เสียหายอีกคนหนึ่งที่นอนอยู่กับพยานมาเบิกความ ก็เป็นเรื่องดุลยพินิจของโจทก์ที่จะนำสืบพยานของตนมากน้อยเพียงใดไม่ถือเป็นข้อพิรุธ ทั้งที่อ้างว่าการจุดไฟที่ถุงพลาสติกเปลวไฟจะลุกลามอย่างรวดเร็ว คนร้ายย่อมไม่มีเวลาพอที่จะโยนถุงเข้าไปในร้านผู้เสียหายนั้น ก็เป็นเพียงการคาดคะเนของจำเลยเท่านั้น ดังนั้น แม้โจทก์จะมีประจักษ์พยานเพียงปากเดียวแต่พยานดังกล่าวก็เบิกความมีเหตุผลน่าเชื่อถือ ศาลรับฟังประกอบพยานอื่นลงโทษจำเลยได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 43/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำเบิกความผู้ร่วมกระทำผิดมีน้ำหนักน้อย แม้มีพยานบอกเล่าประกอบก็ไม่ทำให้หลักฐานโจทก์แน่นแฟ้นขึ้น
คำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกัน เป็นคำซัดทอดของผู้ร่วมกระทำผิด มีน้ำหนักน้อย เมื่อคำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์ดังซึ่งจะต้องนำพยานบอกเล่ามาฟังประกอบมีน้ำหนักน้อยเสียแล้ว แม้จะนำคำเบิกความของพยานบอกเล่ามาฟังประกอบก็หาทำให้พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักแน่นแฟ้นขึ้นไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 43/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำเบิกความผู้ร่วมกระทำผิดมีน้ำหนักน้อย พยานหลักฐานโจทก์ไม่เพียงพอ
คำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกัน เป็นคำซัดทอดของผู้ร่วมกระทำผิด มีน้ำหนักน้อย เมื่อคำเบิกความของประจักษ์พยานโจกท์ดังซึ่งจะต้องนำพยานบอกเล่ามาฟังประกอบมีน้ำหนักน้อยเสียแล้ว แม้จะนำคำเบิกความของพยานบอกเล่ามาฟังประกอบก็หาทำให้พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักแน่นแฟ้นขึ้นไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คไม่มีวันที่ออก ผลต่อความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค และขอบเขตอำนาจศาลฎีกา
จำเลยที่ 2 ออกเช็คโดยไม่ลงวันออกเช็ค ย่อมถือว่าไม่มีวันที่จำเลยกระทำความผิด แม้ต่อมาจะมีการประทับตรายางวันที่ตามข้อตกลงกันก็มีผลทำให้เช็คนั้นสมบูรณ์มีรายการครบถ้วนตามกฎหมาย เพื่อใช้ฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ในทางแพ่งเท่านั้น หาทำให้กลับเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497มาตรา 3 ไม่ แม้จำเลยที่ 2 แต่ผู้เดียวฎีกา แต่การที่เช็คที่จำเลยร่วมกันออกไม่ลงวันที่ออกเช็คเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ที่มิได้ฎีกาให้มิต้องถูกลงโทษได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา 225.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4124/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิของสมาคมในการกำหนดระเบียบการแข่งขันและอำนาจในการพิจารณารับสมัครเข้าร่วม
จำเลยที่ 1 เป็นสมาคม การดำเนินงานมีคณะกรรมการซึ่งที่ประชุมใหญ่เลือกตั้งข้อบังคับต่าง ๆ ของสมาคมให้อำนาจจำเลยที่ 1 เป็นผู้ออกได้ และจำเลยที่ 1 ได้ออกระเบียบเกี่ยวกับกีฬาแข่งนกไว้ ซึ่งตามระเบียบดังกล่าวข้อ 2 กำหนดว่าสมาคมสงวนสิทธิที่จะไม่รับนกของผู้หนึ่งผู้ใดเข้าร่วมการแข่งขันหรือบอกเลิกรับนกกับผู้ที่เข้าร่วมการแข่งขันได้ทุกเวลา โดยไม่จำเป็นต้องบอกเหตุผลล่วงหน้า และผู้เข้าร่วมการแข่งขันไม่มีสิทธิจะเรียกร้องค่าเสียหายใด ๆ ทั้งสิ้นดังนั้นโจทก์หรือผู้ใดจะส่งนกพิราบเข้าแข่งขันกับจำเลยที่ 1 ก็ต้องปฏิบัติตามระเบียบ หาได้มีกฎหมายใดบังคับให้จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องรับนกของโจทก์เข้าแข่งขันไม่ เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ถึงทึ่ 14 ซึ่งเป็นคณะกรรมการจัดการแข่งขันได้กลั่นแกล้งโจทก์ การที่คณะกรรมการจัดการแข่งขันมีมติไม่รับนกของโจทก์เข้าร่วมแข่งขัน จะฟังว่าจำเลยทั้งสิบสี่กระทำละเมิดต่อโจทก์มิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4092/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของกองมรดกจากสัญญาค้ำประกันและมอบสิทธิในเงินฝากเพื่อประกันหนี้
โจทก์ได้บรรยายฟ้องถึงอัตราดอกเบี้ยที่จำเลยต้องชำระและกำหนดเวลาชำระกับหากผิดนัดให้ชำระกันอย่างไรไว้ให้สามารถเข้าใจได้ ส่วนดอกเบี้ยคิดตั้งแต่เมื่อใด เกินกฎหมายหรือไม่ เป็นรายละเอียดที่จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณา ฟ้องของโจทก์ในส่วนนี้จึงไม่เคลือบคลุม คดีแพ่งของศาลชั้นต้นที่จำเลยที่ 2 คดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยขอเพิกถอนสัญญาค้ำประกันที่ภริยาจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ คดีดังกล่าวจำเลยที่ 2 ฟ้องในฐานะส่วนตัว แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของภริยาจำเลยที่ 2 มิได้ฟ้องให้จำเลยที่ 2 รับผิดเป็นการส่วนตัวโจทก์ในคดีแพ่งดังกล่าวกับจำเลยที่ 2 ในคดีนี้มิได้อยู่ในฐานะเดียวกัน ถือว่าจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของภริยา มิใช่คู่ความในคดีแพ่งของศาลชั้นต้นดังกล่าว ฟ้องของโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำและไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ บันทึกการจำนำเงินฝากประจำ ระบุว่าภริยาจำเลยที่ 2 จำนำเงินฝากประจำของตนไว้แก่โจทก์เพื่อประกันหนี้ของตนและ/หรือจำเลยที่ 1 ไม่ใช่เป็นการจำนำเงินฝากเพราะเงินที่ภริยาจำเลยที่ 2ฝากประจำไว้ดังกล่าวตกแก่ผู้รับฝากไปแล้ว การที่ภริยาจำเลยที่ 2 นำสมุดคู่ฝากเงินฝากประจำดังกล่าวมอบให้ไว้แก่โจทก์จึงมิใช่การจำนำเงินฝาก แต่เป็นการตกลงมอบสิทธิที่จะได้รับเงินฝากคืนให้ไว้แก่โจทก์เพื่อประกันหนี้ของตนและของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสัญญาต่างหากจากสัญญาค้ำประกันที่ภริยาจำเลยที่ 2 ค้ำประกันหนี้กู้เบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ อันเป็นสัญญาค้ำประกันด้วยบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 680 สัญญาค้ำประกันด้วยบุคคลนี้ผูกพันตัวภริยาจำเลยที่ 2 มิได้เกี่ยวกับสินสมรส จึงมิใช่เป็นการจัดการสินสมรสตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5ที่ได้ตรวจชำระใหม่ มาตรา 1476,1477,1480 ที่จำเลยที่ 2จะต้องให้ความยินยอมร่วมกันเป็นหนังสือตามมาตรา 1479 จำเลยที่ 2ในฐานะผู้จัดการมรดกของภริยา จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4046/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาค้ำประกันของภริยาที่ผูกพันตนเอง มิใช่การจัดการสินสมรส สามีไม่มีอำนาจฟ้องเพิกถอน
การที่ น. ภริยาโจทก์ทำสัญญาค้ำประกันการกู้เบิกเงินเกินบัญชีของ ส. โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม มิใช่เป็นการจัดการสินสมรสตาม ป.พ.พ. มาตรา 1476,1477 ซึ่งจะต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอเพิกถอน ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เกิดจากข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวอ้างไว้ในฟ้อง และจากทางนำสืบของโจทก์จึงเป็นข้อเท็จจริงในกระบวนพิจารณาโดยชอบ แม้มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น จำเลยก็มีสิทธิอุทธรณ์ได้ และศาลอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคสอง.