คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ไมตรี กลั่นนุรักษ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 981 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3535/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิฟ้องคดีเวนคืนต้องอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีก่อน ตาม พ.ร.บ.เวนคืนฯ มาตรา 26
ตามพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 ได้กำหนดสิทธิฟ้องคดีต่อศาลของผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนไว้เป็นการเฉพาะคือผู้ที่จะฟ้องคดีต่อศาลได้จะต้องเป็นผู้ที่ไม่พอใจคำวินิจฉัยของรัฐมนตรี หรือเมื่อรัฐมนตรีมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสร็จสิ้นภายในเวลากำหนด เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีเสียก่อนโจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาล คำว่า "มีสิทธิอุทธรณ์" ตามมาตรา 25 นั้น หมายความเพียงว่าเป็นสิทธิของผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนที่จะอุทธรณ์หรือไม่อุทธรณ์ก็ได้ มิได้หมายความว่าโจทก์มีสิทธิเลือกอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรี หรือฟ้องคดีต่อศาล เพราะสิทธิฟ้องคดีต่อศาลได้มีบัญญัติไว้แล้วในมาตรา 26

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3535/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์: ต้องอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรี ก่อนฟ้องคดีต่อศาล
พระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 กำหนดสิทธิฟ้องคดีต่อศาลของผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนตามมาตรา 18 ไว้เป็นการเฉพาะในมาตรา 26 วรรคแรก ซึ่งแสดงว่า ผู้ที่จะฟ้องคดีต่อศาลได้นั้นจะต้องเป็นผู้ที่ไม่พอใจ คำวินิจฉัยของรัฐมนตรีตามมาตรา 25 หรือในเมื่อรัฐมนตรี มิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดเวลาตาม มาตรา 25 วรรคสอง ดังนั้น โจทก์ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินทดแทนตามมาตรา 18 จึงต้องดำเนินการตามมาตรา 25 วรรคแรก แต่เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีตามมาตรา 25 วรรคแรก เสียก่อน โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาล คำว่ามีสิทธิอุทธรณ์ตามมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 นั้น หมายความเพียงว่าเป็นสิทธิของผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนที่จะอุทธรณ์หรือไม่อุทธรณ์ก็ได้แต่มิได้หมายความว่าโจทก์มีสิทธิ เลือกอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีหรือฟ้องคดีต่อศาลก็ได้ เพราะสิทธิการฟ้องคดีต่อศาลได้มีบัญญัติไว้แล้วในมาตรา 26

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3535/2536 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิฟ้องคดีเวนคืน: ต้องอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีก่อน จึงมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาล
พ.ร.บ. เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530 ซึ่งใช้บังคับในขณะเกิดกรณีพิพาทกำหนดสิทธิฟ้องคดีต่อศาลของผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนตามมาตรา 18 ไว้เป็นการเฉพาะในมาตรา 26 ว่า ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนที่จะฟ้องคดีต่อศาลได้นั้นจะต้องเป็นผู้ที่ไม่พอใจคำวินิจฉัยของรัฐมนตรีตามมาตรา 25หรือในเมื่อรัฐมนตรีมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 25วรรคสอง ดังนั้นโจทก์ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนตามมาตรา 18 จึงต้องดำเนินการอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีภายในเวลาที่กำหนดตามมาตรา 25 วรรคแรกแต่โจทก์มิได้อุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีตามมาตรา 25 วรรคแรก เสียก่อน จึงไม่มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาล
คำว่ามีสิทธิอุทธรณ์ตามมาตรา 25 หมายความเพียงว่าเป็นสิทธิของผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนที่จะอุทธรณ์หรือไม่อุทธรณ์ก็ได้ มิได้หมายความว่าผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนมีสิทธิเลือกอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีหรือฟ้องคดีต่อศาล เพราะสิทธิการฟ้องคดีต่อศาลได้มีบัญญัติไว้แล้วในมาตรา 26

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3493/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษจำเลยฐานจัดหาผู้กระทำการค้าประเวณี แม้ฟ้องไม่ชัดเจน เพราะความผิดรวมในประมวลกฎหมายอาญา
ความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503มาตรา 8 รวมอยู่ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283ด้วย และตามคำฟ้องโจทก์ก็ได้บรรยายว่า จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันเป็นธุระจัดหาผู้เสียหายให้ทำการค้าประเวณีโดยยอมรับการกระทำชำเราเพื่อสินจ้างกับชายอื่น อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 ซึ่งมีโทษหนักกว่าความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503มาตรา 8 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นเพียงความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณีพ.ศ. 2503 มาตรา 8 ซึ่งเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเองศาลย่อมลงโทษจำเลยทั้งสามฐานจัดหาผู้กระทำการค้าประเวณีเพื่อผู้อื่นเป็นปกติธุระได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคท้าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3493/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานจัดหาผู้กระทำการค้าประเวณี: เลือกใช้บทลงโทษที่หนักกว่า
ความผิดตาม พ.ร.บ.ปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2503มาตรา 8 รวมอยู่ในความผิดตาม ป.อ.มาตรา 283 ด้วย และตามคำฟ้องโจทก์ก็ได้บรรยายว่า จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันเป็นธุระจัดหาผู้เสียหายให้ทำการค้าประเวณีโดยยอมรับการกระทำชำเราเพื่อสินจ้างกับชายอื่น อันเป็นความผิดตามป.อ.มาตรา 283 ซึ่งมีโทษหนักกว่าความผิดตาม พ.ร.บ.ปรามการค้าประเวณีพ.ศ.2503 มาตรา 8 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นเพียงความผิดตาม พ.ร.บ.ปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2503 มาตรา 8 ซึ่งเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ศาลย่อมลงโทษจำเลยทั้งสามฐานจัดหาผู้กระทำการค้าประเวณีเพื่อผู้อื่นเป็นปกติธุระได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3493/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษความผิดซ้อนซ้อน: แม้ฟ้องไม่ชัด แต่ศาลลงโทษฐานจัดหาค้าประเวณีได้ตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503มาตรา 8 รวมอยู่ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 ด้วย ตามคำฟ้องโจทก์ก็ได้บรรยายว่า จำเลยทั้งสามได้ร่วมกัน เป็นธุระจัดหาผู้เสียหายให้ทำการค้าประเวณีโดยยอมรับการกระทำชำเราเพื่อสินจ้างกับชายอื่นอันเป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 ซึ่งมีโทษหนักกว่าความผิด ตาม พระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 มาตรา 8เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นเพียงความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503มาตรา 8 ซึ่งเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง แม้โจทก์จะมิได้ขอให้ลงโทษก็ตาม ศาลก็ลงโทษจำเลยทั้งสามฐานจัดหาผู้กระทำการ ค้าประเวณีเพื่อผู้อื่นเป็นปกติธุระได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3460/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ บุกรุก, ข่มขืนใจ, หน่วงเหนี่ยว, กรณีอดีตคู่สมรสบังคับขู่เข็ญ
ขณะเกิดเหตุโจทก์ร่วมไม่ได้เป็นภรรยาน้อยของจำเลยเพราะต่างสมัครใจเลิกร้างขาดจากการอยู่กินฉันสามีภรรยากันแล้ว การที่จำเลยถืออาวุธปืนเข้าไปในบ้านของโจทก์ร่วมพูดในลักษณะขู่เข็ญว่าจำเลยจะกลับมาอยู่กินกับโจทก์ร่วมให้ได้ ใช้มือจิกผมโจทก์ร่วมโดยโจทก์ร่วมไม่ได้อนุญาตให้จำเลยเข้าไปจึงเป็นการเข้าไปในบ้านของโจทก์ร่วมโดยไม่ได้รับอนุญาต และไม่มีเหตุอันสมควรเป็นความผิดฐานบุกรุก และการที่จำเลยไม่ยอมให้โจทก์ร่วมออกไปจากห้องนอนรวมระยะเวลาประมาณ 4 ชั่วโมง เพื่อบังคับให้โจทก์ร่วมยอมให้จำเลยอยู่กินกับโจทก์ร่วมดังเดิมจนกระทั่งมีคนมาเกลี้ยกล่อม จำเลยจึงยอมปล่อยให้โจทก์ร่วมออกมาจากห้องนอนการกระทำของจำเลยเป็นการพยายามข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ๆ และหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น ซึ่งการกระทำของจำเลยดังกล่าวมานี้เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3460/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ บุกรุก, ข่มขืนใจ, หน่วงเหนี่ยวกักขัง: การกระทำผิดฐานอาญาหลายบทจากการบุกรุกบ้านและข่มขู่
ขณะเกิดเหตุโจทก์ร่วมไม่ได้เป็นภรรยาน้อยของจำเลยเพราะต่างสมัครใจเลิกร้างขาดจากการอยู่กินฉันสามีภรรยากันแล้ว การที่จำเลยถืออาวุธปืนเข้าไปในบ้านของโจทก์ร่วมพูดในลักษณะ ขู่เข็ญว่าจำเลยจะกลับมาอยู่กินกับโจทก์ร่วมให้ได้ใช้มือจิกผมโจทก์ร่วมไม่ได้อนุญาตให้จำเลยเข้าไปจึงเป็นการ เข้าไปในบ้านของโจทก์ร่วมโดยไม่ได้รับอนุญาต และไม่มีเหตุอันสมควรเป็นความผิดฐานบุกรุก และการที่จำเลยไม่ยอมให้โจทก์ร่วมออกไปจากห้องนอนรวมระยะเวลาประมาณ4 ชั่วโมง เพื่อบังคับให้โจทก์ร่วมยอมให้จำเลยอยู่กินกับโจทก์ร่วมดังเดิม จนกระทั่งมีคนมาเกลี้ยกล่อม จำเลยจึงยอมปล่อยให้โจทก์ร่วมออกมาจากห้องนอนการกระทำของจำเลย เป็นการพยายามข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ๆ และหน่วงเหนี่ยว หรือกักขังผู้อื่น ซึ่งการกระทำของจำเลยดังกล่าวมานี้ เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3448/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจัดการมรดก: ผู้คัดค้านไม่มีส่วนได้เสียในฐานะเจ้าของที่ดินที่อ้างสิทธิ จึงไม่มีสิทธิคัดค้านการตั้งผู้จัดการมรดก
คดีร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก ประเด็นแห่งคดีมีเพียงว่าสมควรจะตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกตามคำร้องขอหรือไม่เท่านั้นส่วนประเด็นที่ว่าที่ดินเป็นทรัพย์มรดกหรือไม่ เมื่อผู้คัดค้านอ้างว่าเป็นของตนก็ชอบที่จะไปดำเนินการขออายัดต่อพนักงานเจ้าหน้าที่และดำเนินการทางทะเบียนให้เรียบร้อยต่อไป ผู้คัดค้านมิได้มีส่วนได้เสียจึงไม่มีสิทธิคัดค้านในการที่ศาลจะตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3263/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัย เหตุข้อฎีกาเกินกรอบการอุทธรณ์ และปัญหาการบังคับคดี
ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะมิได้ระบุให้ชัดว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ เป็นข้อที่จำเลยที่ 1 มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วแต่ในศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 เพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ ก็ไม่ถือว่าว่าเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าสัญญาประนีประนอมยอมฉบับพิพาทไม่เป็นโมฆียะ จำเลยทั้งสองมิได้อุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในประเด็นดังกล่าว คงอุทธรณ์แต่เพียงว่าสัญญาประนีประนอมยอมความไม่สามารถบังคับจำเลยที่ 2ได้เพราะจำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นคู่สัญญา และคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่สามารถบังคับเอากับจำเลยทั้งสองได้เท่านั้นฎีกาของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวจึงไม่ใช่ข้อที่ว่ากล่าวมาแล้วแต่ในศาลอุทธรณ์ภาค 2 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ จำเลยทั้งสองสร้างรั้วและหลังคาบ้านรุกล้ำที่ดินโจทก์โจทก์จึงไปแจ้งความต่อร้อยตำรวจโท พ.ร้อยตำรวจโทพ.เรียกจำเลยทั้งสองไปไกล่เกลี่ย จำเลยที่ 1 ตกลงยินยอมทำบันทึกข้อตกลงว่าจะรื้อรั้วที่รุกล้ำและทำรางน้ำรับหลังคาบ้านที่รุกล้ำเพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 และรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 สร้างรั้งและหลังคาบ้านรุกล้ำที่ดินของโจทก์จริง ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 พร้อมที่จะรื้อถอนรั้วและหลังคาบ้านออกไปจากที่ดินโจทก์ตามคำพิพากษาแต่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในรั้วและหลังคาบ้านดังกล่าวไม่ยินยอม โดยอ้างว่าจำเลยที่ 2 ไม่จำต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล เพราะศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และคดีของจำเลยที่ 2ถึงที่สุดแล้ว จำเลยที่ 1 จึงไม่อาจปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลได้ เพราะหากขืนปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลจำเลยที่ 2 มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 ฐานละเมิดได้ เมื่อข้อฎีกาของจำเลยดังกล่าวมิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นว่าไม่ชอบด้วยข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายอย่างไร เพียงแต่อ้างว่าปฏิบัติตามคำพิพากษาไม่ได้ ซึ่งเป็นปัญหาที่จะต้องไปว่ากล่าวกันในชั้นบังคับคดี ฎีกาของจำเลยข้อนี้จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
of 99