คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ไมตรี กลั่นนุรักษ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 981 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2558/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์, ค่าปลงศพ, ค่าอุปการะเลี้ยงดู, และการคุ้มครองแรงงาน
โจทก์เป็นสามีของผู้ตาย ไม่ปรากฏว่ามีพินัยกรรมเป็นอย่างอื่นโจทก์จึงเป็นผู้ได้รับทรัพย์มรดกโดยสิทธิทายาทโดยธรรมของผู้ตายเป็นจำนวนมากที่สุด เป็นผู้มีอำนาจและมีหน้าที่ต้องจัดการทำศพผู้ตายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1649 โจทก์จึงมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้จำเลยใช้ค่าปลงศพภริยาโจทก์ได้ แม้บิดาโจทก์จะได้ออกเงินให้โจทก์ใช้จ่ายในการทำศพ จำเลยก็จะมายกเป็นข้อปัดป้องความรับผิดของจำเลยหาไม่ได้
ลูกจ้างประสบอันตรายถึงแก่ความตายเนื่องจากการทำงานและอธิบดีกรมแรงงานมีคำสั่งให้นายจ้างจ่ายค่าทดแทนให้แก่มารดาสามี และบุตร เป็นการจ่ายเงินเพื่อการคุ้มครองแรงงาน ไม่ใช่ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการละเมิด โจทก์ซึ่งเป็นสามีของลูกจ้างผู้ตาย ยังคงมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเรื่องละเมิดได้
ในตอนต้นของคำฟ้องโจทก์มีชื่อโจทก์เพียงผู้เดียว แต่โจทก์เป็นบิดาผู้ใช้อำนาจปกครองและเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กหญิง จ. และปรากฏในคำฟ้องว่าโจทก์กับนาง ส. ผู้ตายมีบุตรด้วยกันคือ เด็กหญิง จ. ทั้งโจทก์เรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูไว้เป็นจำนวนเงินชัดเจน ถือได้ว่าโจทก์ได้ฟ้องคดีในฐานะบิดาผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์ด้วยแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2441/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอสืบพยานเพิ่มเติมเกี่ยวกับอำนาจฟ้องที่ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นข้อพิพาท ศาลชอบที่จะไม่อนุญาต
ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องแม้จะเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือไม่ก็ตาม เมื่อไม่เกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี การที่จำเลยขอระบุพยานเพิ่มเติมอ้างว่าเพิ่งทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอำนาจฟ้องของโจทก์จึงเป็นการขอระบุพยานที่ไม่เกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่คู่ความจะต้องนำสืบ ศาลชอบที่จะสั่งไม่รับบัญชีระบุพยานดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2441/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอระบุพยานเพิ่มเติมต้องเกี่ยวข้องกับประเด็นข้อพิพาท แม้เป็นเรื่องความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องแม้จะเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือไม่ก็ตาม เมื่อไม่เกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีการที่จำเลยขอระบุพยานเพิ่มเติมอ้างว่าเพิ่งทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอำนาจฟ้องของโจทก์จึงเป็นการขอระบุพยานที่ไม่เกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่คู่ความจะต้องนำสืบ ศาลชอบที่จะสั่งไม่รับบัญชีระบุพยานดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2441/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอเพิ่มพยานนอกประเด็นคดี แม้เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลไม่จำเป็นต้องอนุญาต หากไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นข้อพิพาท
ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องแม้จะเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือไม่ก็ตาม เมื่อไม่เกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี การที่จำเลยขอระบุพยานเพิ่มเติมอ้างว่าเพิ่งทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอำนาจฟ้องของโจทก์จึงเป็นการขอระบุพยานที่ไม่เกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่คู่ความจะต้องนำสืบ ศาลชอบที่จะสั่งไม่รับบัญชีระบุพยานดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2405/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายและการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกายืนยกฟ้องจำเลยที่ 3 ผู้ถูกทำร้ายและปรับบทจำเลยที่ 1-2
จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 มีปากเสียงด่าโต้ตอบกันแล้วต่างหยุดไปต่อมาจำเลยที่ 3 เดินออกจากแผงร้านค้าของตนไปโทรศัพท์ที่แผงร้านค้าของ อ.และพูดคุยกับอ. เป็นเวลานานโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 มีความโกรธแค้นจำเลยที่ 1 ขั้นตอนการสมัครใจทะเลาะวิวาทจึงยุติลงแล้ว การที่จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2ผู้เป็นบุตรทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 3 หลังจากจำเลยที่ 3 กลับจากการโทรศัพท์ที่แผงร้านค้าของ อ. จนเป็นเหตุให้จำเลยที่ 3 ได้รับอันตรายสาหัส ย่อมเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297และไม่เป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุตามมาตรา 69 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันทำร้ายจำเลยที่ 3 ก่อนจนถึงขั้นบาดเจ็บสาหัส การที่จำเลยที่ 3 ตอบโต้ไปบ้างแม้ทำให้จำเลยที่ 1และที่ 2 ได้รับอันตรายแก่กายก็เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 จำเลยที่ 3 จึงไม่มีความผิด โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามมาตรา 297ประกอบด้วยมาตรา 69 จำเลยที่ 2 มีความผิดตามมาตรา 391 แม้ปัญหานี้จะยุติในศาลชั้นต้น เพราะทั้งโจทก์และจำเลยที่ 1 และที่ 2 มิได้อุทธรณ์ แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นความผิดตามมาตรา 297 ศาลฎีกามีอำนาจปรับบทลงโทษให้ถูกต้องได้โดยไม่มีการเพิ่มโทษ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2405/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกาย: การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายและการพิสูจน์ฝ่ายลงมือก่อน
จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 มีปากเสียงด่าโต้ตอบกันแล้วต่างหยุดไป ต่อมาจำเลยที่ 3 เดินออกจากแผงร้านค้าของตนไปโทรศัพท์ที่แผงร้านค้าของ อ.และพูดคุยกับอ.เป็นเวลานานโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 มีความโกรธแค้นจำเลยที่ 1 ขั้นตอนการสมัครใจทะเลาะวิวาทจึงยุติลงแล้งการที่จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 ผู้เป็นบุตรทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 3 หลังจากจำเลยที่ 3 กลับจากการโทรศัพท์ที่แผงของ อ. จนเป็นเหตุให้จำเลยที่ 3 ได้รับอันตรายสาหัส ย่อมเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 297 และไม่เป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุตามมาตรา 69.
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันทำร้ายจำเลยที่ 3 ก่อนจนถึงขั้นบาดเจ็บสาหัสการที่จำเลยที่ 3 ตอบโต้ไปบ้างแม้ทำให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้รับอันตรายแก่กายก็เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตาม ป.อ. มาตรา 68 จำเลยที่ 3 จึงไม่มีความผิด.
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตาม ป.อ.มาตรา 297 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามมาตรา 297 ประกอบด้วยมาตรา 69 จำเลยที่ 2 มีความผิดตามมาตรา 391 แม้ปัญหานี้จะยุติในศาลชั้นต้น เพราะทั้งโจทก์และจำเลยที่ 1 และที่ 2 มิได้อุทธรณ์ แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นความผิดตามมาตรา 297 ศาลฎีกามีอำนาจปรับบทลงโทษให้ถูกต้องได้โดยไม่มีการเพิ่มโทษ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2243/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความสมบูรณ์ของฟ้องอาญา: การระบุวันเวลาเกิดเหตุในคดีเช็ค
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ โดยบรรยายฟ้องว่า "...เมื่อวันที่ 20มีนาคม 2528 เวลากลางวัน ผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้ทรงเช็ค ได้นำเช็คดังกล่าวไปเข้าบัญชีเงินฝากของผู้เสียหายที่ธนาคารกรุงเทพจำกัด สาขา 129 ลาดพร้าว เพื่อเรียกเก็บเงินตามเช็คนั้นแต่ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินโดยแจ้งว่า โปรดติดต่อผู้สั่งจ่าย.."เช่นนี้ ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าวันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเป็นวันเดียวกับวันที่โจทก์นำเช็คเข้าบัญชีของโจทก์นั้นเองฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาที่เกิดการกระทำผิด คือ วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน เป็นฟ้องที่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2243/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความสมบูรณ์ของฟ้องอาญา: การระบุวันเวลาที่เกิดเหตุ และการตีความตามเจตนาของผู้ฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ โดยบรรยายฟ้องว่า "...เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2528 เวลากลางวัน ผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้ทรงเช็ค ได้นำเช็คดังกล่าวไปเข้าบัญชีเงินฝากของผู้เสียหายที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขา 129 ลาดพร้าว เพื่อเรียกเก็บเงินตามเช็คนั้น แต่ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินโดยแจ้งว่า โปรดติดต่อผู้สั่งจ่าย..." เช่นนี้ ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าวันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเป็นวันเดียวกับวันที่โจทก์นำเช็คเข้าบัญชีของโจทก์นั้นเอง ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาที่เกิดการกระทำผิดคือ วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน เป็นฟ้องที่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2243/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การระบุวันปฏิเสธการจ่ายเช็คในฟ้องอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ โดย บรรยายฟ้องว่า"...เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2528 เวลากลางวัน ผู้เสียหายซึ่ง เป็นผู้ทรงเช็ค ได้ นำเช็ค ดังกล่าวไปเข้าบัญชีเงินฝากของผู้เสียหายที่ธนาคาร กรุงเทพ จำกัด สาขา 129 ลาดพร้าว เพื่อเรียกเก็บเงินตามเช็ค นั้น แต่ ธนาคารได้ ปฏิเสธการจ่ายเงินโดย แจ้งว่า โปรดติดต่อผู้สั่งจ่าย..." เช่นนี้ ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าวันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเป็นวันเดียวกับวันที่โจทก์นำเช็ค เข้าบัญชีของโจทก์นั้นเอง ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาที่เกิดการกระทำผิด คือ วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน เป็นฟ้องที่ชอบตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้ว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2059/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประพฤติตนไม่เรียบร้อยต่อศาลโดยใช้เอกสารปลอมเพื่อประกันตัว ถือเป็นละเมิดอำนาจศาล
ผู้ถูกกล่าวหาเป็นเจ้าของที่ดินรู้ว่าหนังสือรับรองการประเมินราคาที่ดินของสำนักงานที่ดินเป็นหนังสือปลอม โดยได้ประเมินราคาที่ดินสูงกว่าความเป็นจริงมาก และผู้ถูกกล่าวหาได้นำไปยื่นต่อศาลชั้นต้นเพื่อให้ศาลชั้นต้นเชื่อว่าที่ดินมีราคาประเมินตามหนังสือรับรองดังกล่าว ซึ่งจะทำให้จำเลยได้รับการปล่อยชั่วคราว การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลอันเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ศาลล่างมิได้อ้างบทกฎหมายที่เป็นบทลงโทษผู้ถูกกล่าวหาศาลฎีกาย่อมปรับบทเสียให้ถูกต้อง
of 99