พบผลลัพธ์ทั้งหมด 800 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3153/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภูมิลำเนา, การส่งคำบังคับ, คำขอพิจารณาใหม่: การยึดทรัพย์ที่ชอบด้วยกฎหมายเมื่อผู้ถูกยึดมีภูมิลำเนาในไทยแม้จะอยู่ต่างประเทศ
จำเลยที่ 4 ไปศึกษาต่อต่างประเทศก่อนโจทก์ฟ้องหลายปี มีครอบครัวและประกอบอาชีพอยู่ต่างประเทศ แต่จำเลยที่ 4 ยังมีสัญชาติไทย มีชื่อในทะเบียนบ้านตามที่โจทก์บรรยายไว้ในคำฟ้องและเคยเดินทางกลับมาประเทศไทยหลายครั้ง ถือว่าจำเลยที่ 4 ยังมีภูมิลำเนาในประเทศไทยตามทะเบียนบ้านนั้น การส่งคำบังคับให้แก่จำเลยที่ 4 ตามภูมิลำเนาดังกล่าวโดยการปิดคำบังคับจึงเป็นการส่งโดยชอบ จำเลยที่ 4 เพิ่งยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่เมื่อพ้นกำหนด6 เดือนไปแล้ว นับแต่วันยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 4 จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคแรก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3153/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภูมิลำเนา การส่งคำบังคับ และระยะเวลาการยื่นคำขอพิจารณาใหม่หลังยึดทรัพย์
จำเลยที่ 4 ไปศึกษาต่อต่างประเทศก่อนโจทก์ฟ้องหลายปี มีครอบครัวและประกอบอาชีพอยู่ต่างประเทศ แต่จำเลยที่ 4 ยังมีสัญชาติไทย มีชื่อในทะเบียนบ้านตามที่โจทก์บรรยายไว้ในคำฟ้องและเคยเดินทางกลับมาประเทศไทยหลายครั้ง ถือว่าจำเลยที่ 4 ยังมีภูมิลำเนาในประเทศไทยตามทะเบียนบ้านนั้น การส่งคำบังคับให้แก่จำเลยที่ 4 ตามภูมิลำเนาดังกล่าวโดยการปิดคำบังคับจึงเป็นการส่งโดยชอบ จำเลยที่ 4 เพิ่งยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่เมื่อพ้นกำหนด6 เดือนไปแล้ว นับแต่วันยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 4 จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคแรก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3153/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภูมิลำเนา, การบังคับคดี, กำหนดเวลา, คำขอพิจารณาใหม่, การส่งหมาย
จำเลยที่ 4 ไปศึกษาต่อต่างประเทศก่อนโจทก์ฟ้องคดีเป็นเวลาหลายปี มีครอบครัวและประกอบอาชีพอยู่ต่างประเทศ แต่จำเลยที่ 4ยังมีสัญชาติไทย มีชื่อ ในทะเบียนบ้านตามที่โจทก์บรรยายไว้ในคำฟ้องและเคยเดินทางกลับมาประเทศไทยหลายครั้ง ดังนี้ ถือว่าจำเลยที่ 4ยังมีภูมิลำเนาในประเทศไทยตามทะเบียนบ้านนั้น พนักงานเดินหมายปิดคำบังคับ ณ ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 4 ตามคำสั่งศาลชั้นต้น เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2527 ถือได้ว่าการส่งคำบังคับให้แก่จำเลยที่ 4 ชอบแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 4 เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2530 จำเลยที่ 4เพิ่งมายื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2531ซึ่งพ้นกำหนด 6 เดือนไปแล้วนับแต่วันยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 4จึงต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 208.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3049/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอเลื่อนการสาบานตัวในคดีอนาถา: ต้องมีเหตุพิเศษตามกฎหมาย
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 156 การสาบานตัวเป็นเรื่องที่กฎหมายกำหนดระยะเวลาเอาไว้ ซึ่งศาลมีอำนาจขยายหรือย่นได้ตามมาตรา 23 แต่ให้ทำได้ต่อเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษ เมื่อคำร้องขอเลื่อนการสาบานตัวอันเป็นการขอขยายระยะเวลาของจำเลย กล่าวแต่เพียงว่าจำเลยไม่สามารถมาศาลเมื่อสาบานตัวได้ โดยมิได้กล่าวอ้างเหตุที่มาศาลไม่ได้ จึงเป็นการกล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอย แสดงว่ามิได้มีพฤติการณ์พิเศษอย่างใด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3049/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอเลื่อนสาบานตัวในคดีคนอนาถา: เหตุผลที่ไม่ชัดเจนไม่ถือเป็นพฤติการณ์พิเศษ
จำเลยที่ 1 ยื่นคำฟ้องอุทธรณ์และคำร้องขอดำเนินคดีในชั้นอุทธรณ์อย่างคนอนาถาพร้อมกับคำร้องขอเลื่อนการสาบานตัวออกไป 7 วัน อ้างว่าไม่สามารถมาศาลเพื่อสาบานตัวได้ โดยมิได้กล่าวอ้างเหตุที่มาศาลไม่ได้เพราะเหตุใดเป็นการกล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอย แสดงว่ามิได้มีพฤติการณ์พิเศษตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 ที่ศาลจะสั่งขยายระยะเวลาสาบานตัวที่จำเลยที่ 1 ต้องสาบานตัวพร้อมการยื่นคำฟ้องอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 156 ให้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3049/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอสาบานตัวพร้อมคำฟ้องอนาถาต้องกระทำพร้อมกัน หากมีเหตุจำเป็นต้องขอเลื่อน ต้องแสดงเหตุผลที่ชัดเจนและมีพฤติการณ์พิเศษ
จำเลยที่ 1 ยื่นคำฟ้องอุทธรณ์และคำร้องขอดำเนินคดีในชั้นอุทธรณ์อย่างคนอนาถาพร้อมกับคำร้องขอเลื่อนการสาบานตัวออกไป7 วัน อ้างว่าไม่สามารถมาศาลเพื่อสาบานตัวได้ โดยมิได้กล่าวอ้างเหตุที่มาศาลไม่ได้เพราะเหตุใดเป็นการกล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอย แสดงว่ามิได้มีพฤติการณ์พิเศษตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 ที่ศาลจะสั่งขยายระยะเวลาสาบานตัวที่จำเลยที่ 1 ต้องสาบานตัวพร้อมการยื่นคำฟ้องอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 156 ให้ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3038/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายที่ดินที่ไม่ได้จดทะเบียนตกเป็นโมฆะ แม้มีเจตนาซื้อขายและมีบันทึกการไกล่เกลี่ย
โจทก์และ ม. เอาที่ดินพิพาทไปขายฝากไว้กับจำเลยแล้วไม่ไถ่คืนตามกำหนดระยะเวลาในสัญญาที่ดินพิพาทตกเป็นของจำเลยโดยเด็ดขาดเป็นเรื่องการทำนิติกรรมขายฝากที่ดินโดยทั่วไป มิได้ก่อให้เกิดกรณีพิพาทระหว่างโจทก์ ม. และจำเลย การที่โจทก์ไปร้องทุกข์ต่อสำนักนายยกรัฐมนตรีขอให้ทางราชการไกล่เกลี่ยให้จำเลยขายที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์ นายอำเภอจึงทำการไกล่เกลี่ยตามคำร้องทุกข์ของโจทก์ ก็มิใช่กรณีพิพาทระหว่างโจทก์จำเลย เพราะจำเลยไม่มีเรื่องอะไรที่จะพิพาทกับโจทก์แต่เป็นเรื่องที่โจทก์ต้องการซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยโดยขอให้ทางราชการช่วย ไกล่เกลี่ยให้ ทั้งให้บันทึกคำเปรียบเทียบของนายอำเภอ ก็ไม่มีข้อความระบุว่านายอำเภอไกล่เกลี่ยเนื่องจากมีข้อพิพาทระหว่างโจทก์จำเลย และเป็นการไกล่เกลี่ยเพื่อระงับข้อพิพาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 850 ดังนี้จึงไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ แม้จำเลยจะลงลายมือชื่อในเอกสารก็ไม่มีความผูกพันที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงในเอกสารดังกล่าว เอกสารนั้นมีข้อความเพียงว่า จำเลยตกลงขายที่ดินพิพาทคืนให้โจทก์ในราคา 30,000 บาท ไม่มีข้อความตอนใดระบุว่าโจทก์จำเลยจะชำระเงิน และไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเมื่อไร ข้อตกลงของโจทก์จำเลยดังกล่าวจึงมิใช่สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาท แต่เป็นสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทเสร็จเด็ดขาด เมื่อทรัพย์ที่ซื้อขายเป็นที่ดินซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์จำเลย จึงตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคแรก จำเลยจึงไม่มีความผูกพันที่จะต้องขายที่ดินพิพาทให้โจทก์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3037/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเคลือบคลุม – ไม่แจ้งการตายทายาท – อายุความ – หลักฐานไม่ชัดเจน
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดในฐานะทายาทของ จ. ผู้ตาย ซึ่งเป็นคู่สัญญากับโจทก์ โดยบรรยายฟ้องตอนแรกว่าผู้ตายผิดสัญญาทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์ได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยมาทำงานและตกลงค่าเสียหายกับโจทก์ และบรรยายฟ้องต่อมาอีกว่าโจทก์ได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยนำค่าเสียหายมาชำระ แต่จำเลยไม่ชำระโดยโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องเลยว่า ผู้ตายถึงแก่ความตายเมื่อใด โจทก์รู้ถึงการตาย ของผู้ตายเมื่อใด จึงเป็นเหตุให้จำเลยไม่ทราบข้ออ้างของโจทก์ และไม่อาจให้การได้โดยชัดแจ้งว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ เพราะเหตุใด ถือว่าโจทก์มิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสองดังนี้ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3037/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องขาดอายุความ - การไม่แสดงสภาพแห่งข้อหาและหลักฐานสนับสนุน
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในฐานะทายาทของ จ. ผู้ตายซึ่งเป็นคู่สัญญาจ้างทำของกับโจทก์ โดยทำสัญญากันตั้งแต่วันที่17 มีนาคม 2525 โจทก์บรรยายฟ้องว่า ผู้ตายผิดสัญญาทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยมาทำงานและตกลงค่าเสียหายกับโจทก์ จำเลยได้รับหนังสือเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2529 โจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยนำค่าเสียหายมาชำระ จำเลยได้รับหนังสือเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2529 แต่จำเลยไม่ชำระ โดยโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องเลยว่า ผู้ตายถึงแก่ความตายเมื่อใด โจทก์รู้ถึงการตายของผู้ตายเมื่อใด จึงเป็นเหตุให้จำเลยไม่ทราบข้ออ้างของโจทก์ และไม่อาจให้การได้โดยชัดแจ้งว่าคดีโจทก์ขาดอายุความเพราะเหตุใด ถือว่าโจทก์มิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ฟ้องโจทก์จึงเคลือบคลุม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3037/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องขาดอายุความ - การไม่แจ้งวันตายของผู้ตายทำให้จำเลยไม่สามารถต่อสู้คดีได้อย่างชัดเจน ฟ้องเคลือบคลุม
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในฐานะทายาทของ จ. ผู้ตายซึ่งเป็นคู่สัญญาจ้างทำของกับโจทก์ โดยทำสัญญากันตั้งแต่วันที่17 มีนาคม 2525 โจทก์บรรยายฟ้องว่า ผู้ตายผิดสัญญาทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยมาทำงานและตกลงค่าเสียหายกับโจทก์ จำเลยได้รับหนังสือเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2529 โจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยนำค่าเสียหายมาชำระ จำเลยได้รับหนังสือเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2529 แต่จำเลยไม่ชำระ โดยโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องเลยว่า ผู้ตายถึงแก่ความตายเมื่อใด โจทก์รู้ถึงการตายของผู้ตายเมื่อใด จึงเป็นเหตุให้จำเลยไม่ทราบข้ออ้างของโจทก์ และไม่อาจให้การได้โดยชัดแจ้งว่าคดีโจทก์ขาดอายุความเพราะเหตุใด ถือว่าโจทก์มิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ฟ้องโจทก์จึงเคลือบคลุม.