พบผลลัพธ์ทั้งหมด 800 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3785/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานบอกเล่าที่ไม่สามารถซักค้านได้ และความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานในคดีอาญา
คำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายเป็นเพียงพยานบอกเล่าซึ่งจำเลยไม่มีโอกาสซักค้าน จึงนำมารับฟังลงโทษจำเลยไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3774/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทุจริตในการลักทรัพย์: เงินที่จำเลยเข้าใจว่าเป็นของตนเอง
จำเลยเป็นสามีของ ส. บุตรของผู้เสียหายโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน จำเลยและ ส. ทำนาขายข้าวได้เงิน7,500บาท ส.นำเงินดังกล่าวใส่ไว้ในกระเป๋าถือฝากเก็บไว้ในหีบของผู้เสียหายเช่นนี้ การที่จำเลยไขกุญแจเปิดหีบของผู้เสียหายแล้วเอาเงินดังกล่าวไปโดยเข้าใจว่าเป็นเงินของจำเลย จำเลยมีสิทธิเอาไปได้จึงเป็นการกระทำที่ขาดเจตนาทุจริต ไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3774/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทุจริตในการลักทรัพย์: เงินที่เข้าใจผิดว่าเป็นของตนเอง ไม่ถือว่ามีความผิด
จำเลยเป็นสามีของ ส. บุตรของผู้เสียหายโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน จำเลยและ ส. ทำนาขายข้าวได้เงิน 7,500บาท ส. นำเงินดังกล่าวใส่ไว้ในกระเป๋าถือฝากเก็บไว้ในหีบของผู้เสียหาย เช่นนี้ การที่จำเลยไขกุญแจเปิดหีบของผู้เสียหายแล้วเอาเงินดังกล่าวไปโดยเข้าใจว่าเป็นเงินของจำเลย จำเลยมีสิทธิเอาไปได้ จึงเป็นการกระทำที่ขาดเจตนาทุจริต ไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3774/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทุจริตในการลักทรัพย์: การหยิบเงินที่เข้าใจว่าเป็นของตนเอง
จำเลยเป็นสามีของ ส. บุตรของผู้เสียหายโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน จำเลยและ ส. ทำนาขายข้าวได้เงิน 7,500 บาท ส.นำเงินดังกล่าวใส่ไว้ในกระเป๋าถือฝากเก็บไว้ในหีบของผู้เสียหายเช่นนี้ การที่จำเลยไขกุญแจเปิดหีบของผู้เสียหายแล้วเอาเงินดังกล่าวไปโดยเข้าใจว่าเป็นเงินของจำเลย จำเลยมีสิทธิเอาไปได้จึงเป็นการกระทำที่ขาดเจตนาทุจริต ไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3674/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบพยานหลักฐานในคดีอาญา โจทก์ต้องนำสืบข้อเท็จจริงการกระทำผิดด้วยตนเอง การรับคำให้การของผู้ต้องหาไม่ถือเป็นการนำสืบ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนไว้ในความครอบครอง และพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้จะได้ความจากคำเบิกความของจำเลยตอบคำถามค้านของโจทก์ว่าจำเลยไม่เคยได้รับอนุญาตจากทางราชการให้มีและพกพาอาวุธปืน ก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์นำสืบถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวเพราะในการพิจารณาคดีอาญาโจทก์มีหน้าที่นำสืบให้ฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดทั้งโจทก์ก็ไม่ได้อาวุธปืนที่จำเลยใช้ขู่ชิงทรัพย์เป็นของกลาง และไม่มีพยานหลักฐานอื่นที่พิสูจน์ให้เห็นว่าอาวุธปืนดังกล่าวไม่มีหมายเลขทะเบียน จึงลงโทษจำเลยในความผิดทั้งสองฐานนี้ไม่ได้ ส่วนคดีที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานขับรถจักรยานยนต์โดยไม่มีใบอนุญาตขับรถ ซึ่งข้อเท็จจริงได้จากคำเบิกความของจำเลยตอบคำถามค้านของโจทก์ว่า จำเลยไม่เคยได้รับใบอนุญาตให้ขับขี่รถจักรยานยนต์ถือไม่ได้ว่าโจทก์นำสืบถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวนั้น ลงโทษจำเลยตามฟ้องไม่ได้เช่นกัน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3674/2532 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบข้อเท็จจริงในคดีอาญา โจทก์มีหน้าที่นำสืบพยานหลักฐานยืนยันความผิดของจำเลยเอง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนไว้ในความครอบครอง และพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้จะได้ความจากคำเบิกความของจำเลยตอบคำถามค้านของโจทก์ว่าจำเลยไม่เคยได้รับอนุญาตจากทางราชการให้มีและพกพาอาวุธปืน ก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์นำสืบถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวเพราะในการพิจารณาคดีอาญาโจทก์มีหน้าที่นำสืบให้ฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดทั้งโจทก์ก็ไม่ได้อาวุธปืนที่จำเลยใช้ขู่ชิงทรัพย์เป็นของกลาง และไม่มีพยานหลักฐานอื่นที่พิสูจน์ให้เห็นว่าอาวุธปืนดังกล่าวไม่มีหมายเลขทะเบียน จึงลงโทษจำเลยในความผิดทั้งสองฐานนี้ไม่ได้ ส่วนคดีที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานขับรถจักรยานยนต์โดยไม่มีใบอนุญาตขับรถ ซึ่งข้อเท็จจริงได้จากคำเบิกความของจำเลยตอบคำถามค้านของโจทก์ว่า จำเลยไม่เคยได้รับใบอนุญาตให้ขับขี่รถจักรยานยนต์ถือไม่ได้ว่าโจทก์นำสืบถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวนั้น ลงโทษจำเลยตามฟ้องไม่ได้เช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3674/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่นำสืบพยานหลักฐานในคดีอาญา โจทก์ต้องพิสูจน์การกระทำผิดของจำเลยด้วยหลักฐานอื่นนอกเหนือจากคำให้การ
ในการพิจารณา คดีอาญา โจทก์มีหน้าที่นำสืบให้ฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิด การที่โจทก์ไม่ได้อาวุธปืนที่จำเลยที่ 1 ใช้ขู่ชิงทรัพย์ผู้เสียหายมาเป็นของกลาง และไม่มีพยานหลักฐานอื่นที่พิสูจน์ให้เห็นว่าอาวุธปืนดังกล่าวไม่มีหมายเลขทะเบียน คงได้ความจากจำเลยที่ 1เพียงว่าไม่เคยได้รับอนุญาตจากราชการให้มีและพกพาอาวุธปืนเท่านั้น ดังนี้จึงลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานมีอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับใบอนุญาตไม่ได้
ความผิดฐานขับรถจักรยานยนต์โดยไม่มีใบอนุญาต คงได้ความจากคำเบิกความของจำเลยที่ 2 ตอบคำถามค้านของโจทก์เท่านั้นว่า จำเลยที่ 2 ไม่เคยได้รับใบอนุญาตให้ขับขี่รถจักรยานยนต์ จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์นำสืบถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงลงโทษจำเลยที่ 2 ไม่ได้.
ความผิดฐานขับรถจักรยานยนต์โดยไม่มีใบอนุญาต คงได้ความจากคำเบิกความของจำเลยที่ 2 ตอบคำถามค้านของโจทก์เท่านั้นว่า จำเลยที่ 2 ไม่เคยได้รับใบอนุญาตให้ขับขี่รถจักรยานยนต์ จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์นำสืบถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงลงโทษจำเลยที่ 2 ไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3674/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่นำสืบของโจทก์ในคดีอาญา: การพิสูจน์ความผิดและข้อเท็จจริงสนับสนุน
ในการพิจารณาคดีอาญาโจทก์มีหน้าที่นำสืบให้ฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิด การที่โจทก์ไม่ได้อาวุธปืนที่จำเลยที่ 1 ใช้ขู่ชิงทรัพย์ผู้เสียหายมาเป็นของกลางและไม่มีพยานหลักฐานอื่นที่พิสูจน์ให้เห็นว่าอาวุธปืนดังกล่าวไม่มีหมายเลขทะเบียน คงได้ความจากจำเลยที่ 1 ตอบคำถามค้านของโจทก์แต่เพียงว่าไม่เคยได้รับอนุญาตจากราชการให้มีและพกพาอาวุธปืนเท่านั้นดังนี้จึงลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานมีอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและพกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับใบอนุญาตไม่ได้ สำหรับความผิดฐานขับรถจักรยานยนต์โดยไม่มีใบอนุญาต คงได้ความจากคำเบิกความของจำเลยที่ 2 ตอบคำถามค้านของโจทก์เท่านั้นว่าจำเลยที่ 2 ไม่เคยได้รับใบอนุญาตขับขี่รถจักรยานยนต์ ถือไม่ได้ว่า โจทก์นำสืบถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงลงโทษจำเลยที่ 2 ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3613/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสภาพหนี้และการคิดดอกเบี้ยทบต้น ศาลยืนตามสิทธิเรียกร้องเดิมในต้นเงิน
แม้จำเลยยอมรับตามหนังสือขอผ่อนผันการชำระหนี้ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์จำนวนเงินตามเช็คทั้งสองฉบับกับดอกเบี้ยค้างชำระเป็นเงินรวมทั้งสิ้น 71,058.78 บาท ก็ตามแต่ในหนังสือดังกล่าวก็ระบุไว้ชัดว่าจำเลยตกลงจะขอชำระหนี้จำนวน 20,000 บาท ภายในสิ้นเดือนกรกฎาคม 2524และขอผ่อนชำระหนี้ที่เหลือเดือนละ 2,000 บาท ภายในสิ้นเดือนของทุกเดือนเริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2524 หากผิดนัดยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปีตามปกติ กับขอให้โจทก์งดคิดดอกเบี้ยในระหว่างผ่อนชำระและลดหย่อนให้บ้าง หาได้รับสภาพหนี้ในต้นเงิน71,058.78 บาท โดยยินยอมให้โจทก์เอาดอกเบี้ยที่ค้างชำระทบเข้ากับต้นเงินตามเช็คทั้งสองฉบับแล้วคิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ทบเข้ากันนั้นตาม ป.พ.พ. มาตรา655 ไม่ดังนั้นโจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในต้นเงิน30,000 บาท ตามเช็คทั้งสองฉบับรวมกัน ซึ่งเป็นสิทธิเรียกร้องที่โจทก์มีอยู่เดิมต่อจำเลยผู้เป็นลูกหนี้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3613/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสภาพหนี้และการคิดดอกเบี้ยจากต้นเงินเดิม แม้มีการตกลงผ่อนผันหนี้
แม้จำเลยยอมรับตามหนังสือขอผ่อนผันการชำระหนี้ว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์จำนวนเงินตามเช็คทั้งสองฉบับกับดอกเบี้ยค้างชำระเป็นเงินรวมทั้งสิ้น 71,058.78 บาท ก็ตามแต่ในหนังสือดังกล่าวก็ระบุไว้ชัดว่าจำเลยตกลงจะขอชำระหนี้จำนวน 20,000 บาท ภายในสิ้นเดือนกรกฎาคม 2524 และขอผ่อนชำระหนี้ที่เหลือเดือนละ 2,000 บาทภายในสิ้นเดือนของทุกเดือนเริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2524 หากผิดนัดยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปีตามปกติกับขอให้โจทก์งดคิดดอกเบี้ยในระหว่างผ่อนชำระและลดหย่อนให้บ้าง หาได้รับสภาพหนี้ในต้นเงิน 71,058.79 บาท โดยยินยอมให้โจทก์เอาดอกเบี้ยที่ค้างชำระทบเข้ากับต้นเงินตามเช็คทั้งสองฉบับแล้วให้คิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ทบเข้ากันนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 655 ไม่ ดังนั้น โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในต้นเงิน30,000 บาท ตามเช็คทั้งสองฉบับรวมกัน ซึ่งเป็นสิทธิเรียกร้องที่โจทก์มีอยู่เดิมต่อจำเลยผู้เป็นลูกหนี้