คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สง่า ศิลปประสิทธิ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 504 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4465/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพรากผู้เยาว์ แม้ผู้เยาว์ยินยอม ก็ถือว่าเป็นการล่วงอำนาจปกครองของบิดามารดา
ผู้เสียหายอายุ 16 ปีเศษ ยังอาศัยและอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของบิดามารดา แม้บิดามารดาจะให้อิสระแก่ผู้เสียหายโดยผู้เสียหายจะไปเที่ยวที่ไหนกลับเมื่อใดไม่เคยสนใจสอบถามหรือห้ามปราม ผู้เสียหายก็ยังอยู่ในอำนาจปกครองของบิดามารดา การที่จำเลยพบกับผู้เสียหายที่งานบวชพระแล้วพาผู้เสียหายไปกระทำชำเราด้วยความสมัครใจของผู้เสียหาย ย่อมเป็นการล่วงอำนาจปกครองของบิดามารดา จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319
การพรากผู้เยาว์กฎหมายบัญญัติเป็นความผิดไม่ว่าผู้เยาว์จะเต็มใจไปด้วยหรือไม่ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 แต่ทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 ศาลย่อมปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 ได้มิใช่เป็นเรื่องข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้อง
(วรรคแรกวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 7/2530)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4437/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของหน่วยงานต่อละเมิดของลูกจ้างที่ปฏิบัติหน้าที่ราชการ แม้ฝ่าฝืนระเบียบ
การที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้บังคับกองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนสั่งให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นพนักงานขับรถยนต์อยู่ใต้ บังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 นำรถออกนอกพื้นที่โดยมิได้ขออนุมัติก่อน แม้จะเป็นการฝ่าฝืนระเบียบที่วางไว้ก็ตาม เมื่อฟังได้ว่าเป็นการเดิน ทางไปปฏิบัติหน้าที่ราชการมิใช่เรื่องส่วนตัวของจำเลยที่ 2 ดังนั้น ต้องถือว่าการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 เกิดขึ้นในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ราชการของจำเลยที่ 2 เป็นผลให้กรมตำรวจจำเลยที่ 3 ต้องรับผิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 76 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4437/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของกรมตำรวจต่อการกระทำละเมิดของลูกน้องขณะปฏิบัติหน้าที่
การที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายตำรวจใช้จำเลยที่ 1 พนักงานขับรถยนต์ซึ่งอยู่ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 นำรถออกนอกพื้นที่โดยมิได้ขออนุมัติก่อน แม้จะเป็นการฝ่าฝืนระเบียบที่วางไว้ก็ตาม เมื่อฟังได้ว่าการที่จำเลยที่ 2 สั่งให้จำเลยที่ 1 นำรถออกนอกพื้นที่เป็นการเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ราชการมิใช่เป็นการไปทำธุระในเรื่องส่วนตัวของจำเลยที่ 2ดังนั้นเมื่อจำเลยที่ 1 ไปกระทำละเมิด ก็ต้องถือว่าการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 เกิดขึ้นในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ราชการของจำเลยที่ 2 อันเป็นผลให้กรมตำรวจจำเลยที่ 3 ต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4437/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของหน่วยงานรัฐต่อการกระทำละเมิดของลูกจ้างขณะปฏิบัติหน้าที่ แม้ฝ่าฝืนระเบียบ
การที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายตำรวจใช้จำเลยที่ 1 พนักงานขับรถยนต์ซึ่งอยู่ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 นำรถออกนอกพื้นที่โดยมิได้ขออนุมัติก่อน แม้จะเป็นการฝ่าฝืนระเบียบที่วางไว้ก็ตาม เมื่อฟังได้ว่าการที่จำเลยที่ 2 สั่งให้จำเลยที่ 1 นำรถออกนอกพื้นที่เป็นการเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ราชการมิใช่เป็นการไปทำธุระในเรื่องส่วนตัวของจำเลยที่ 2 ดังนั้นเมื่อจำเลยที่ 1 ไปกระทำละเมิด ก็ต้องถือว่าการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 เกิดขึ้นในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ราชการของจำเลยที่ 2 อันเป็นผลให้กรมตำรวจจำเลยที่ 3 ต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4406/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย: การใช้อาวุธป้องกันภริยาจากผู้บุกรุกและทำร้าย
ผู้ตายเป็นฝ่ายก่อเหตุก่อน โดยพกพาอาวุธเข้าไปในบ้านจำเลยเรียกจำเลยซึ่งอยู่ในห้องนอนให้ออกมา เมื่อจำเลยไม่ยอมออกก็ไปบังคับภริยาจำเลยให้มาเรียกให้จำเลยออกมาและท้าทายให้จำเลยออกไปต่อสู้จำเลยไม่ยอมรับคำท้าหลบเข้าไปอยู่ในห้องนอนอย่างเดิมผู้ตายจึงฉุด ภริยาจำเลยให้ไปขึ้นรถ ภริยาจำเลยไม่ยอมไป ร้องให้คนช่วย และสะบัดหลุดออกวิ่งหนี แล้วมีเสียงปืนดัง ขึ้น นัดแรกโดยผู้ตายเป็นผู้ยิง จำเลยเข้าใจว่าผู้ตายยิงภริยาจำเลย จึงเปิดหน้าต่างเพื่อจะกระโดดออกมาช่วย ผู้ตายใช้ปืนยิงไปยังจำเลยที่อยู่บนบ้าน จำเลยจึงใช้ปืนยิงโต้ตอบ กับผู้ตายกระสุนปืนถูกผู้ตายขณะที่ผู้ตายกลับไปที่รถเพื่อจะเอากระสุนปืน พฤติการณ์เช่นนี้เป็นเรื่องที่จำเลยจำต้องกระทำเพื่อป้องกันภริยาจำเลยให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง แม้ผู้ตายล้มลงแล้วจำเลยยังยิงซ้ำอีกก็เนื่องจากจำเลยต้องใช้อาวุธปืนเข้ายิงต่อสู้กับผู้ตาย ในลักษณะเช่นนั้นย่อมเป็นการยากที่จะทำให้จำเลยมีโอกาสใช้ดุลพินิจ ได้ว่าควรจะหยุดยิงเมื่อใด ถือได้ว่าเป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุการกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยไม่มีความผิด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4406/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายจากการประทุษร้ายต่อภริยา
ผู้ตายเป็นฝ่ายก่อเหตุก่อน พกพาอาวุธเข้าไปในบ้านจำเลยเรียกจำเลยซึ่งอยู่ในห้องนอนให้ออกมา เมื่อจำเลยไม่ยอมออกก็ไปบังคับภริยาจำเลยให้มาเรียกให้จำเลยออกมาและท้าทายให้จำเลยออกไปต่อสู้ จำเลยไม่ยอมรับคำท้าหลบเข้าไปอยู่ในห้องนอนอย่างเดิม ผู้ตายจึงฉุดภริยาจำเลยให้ไปขึ้นรถภริยาจำเลยไม่ยอมไปร้องให้คนช่วยและสะบัดหลุดออกวิ่งหนีแล้วมีเสียงปืนดังขึ้นนัดแรกโดยผู้ตายเป็นผู้ยิง จำเลยเข้าใจว่าผู้ตายยิงภริยาจำเลยจึงเปิดหน้าต่างเพื่อจะกระโดดออกมาช่วย ผู้ตายใช้ปืนยิงไปยังจำเลยที่อยู่บนบ้าน จำเลยจึงใช้ปืนยิงโต้ตอบกับผู้ตาย กระสุนปืนถูกผู้ตายขณะที่ผู้ตายกลับไปที่รถเพื่อจะเอากระสุนปืนพฤติการณ์เช่นนี้เป็นเรื่องที่จำเลยจำต้องกระทำเพื่อป้องกันภริยาจำเลยให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง แม้ผู้ตายล้มลงแล้วจำเลยยังยิงซ้ำอีกก็เนื่องจากจำเลยต้องใช้อาวุธปืนเข้ายิงต่อสู้กับผู้ตายในลักษณะเช่นนั้นย่อมเป็นการยากที่จะทำให้จำเลยมีโอกาสใช้ดุลพินิจได้ว่าควรจะหยุดยิงเมื่อใด ถือได้ว่าเป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุการกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยไม่มีความผิด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4402/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าแม้ระเบิดไม่ทำงาน ศาลลงโทษฐานพยายามฆ่าได้
จำเลยขว้างลูกระเบิดใส่ผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่าแต่ลูกระเบิดไม่เกิดการระเบิดเพราะยังมิได้ถอดสลักนิรภัย เมื่อปรากฏว่าลูกระเบิดดังกล่าวอยู่ในสภาพที่ใช้ทำการระเบิดได้และหากระเบิดขึ้นจะมีอำนาจทำลายสังหารชีวิตมนุษย์ ดังนี้ จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 288,81 จำเลยฝ่ายเดียวอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 295,80 โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ดังนี้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 288,80 ศาลฎีกามีอำนาจปรับบทลงโทษให้ถูกต้องได้แต่กำหนดโทษคงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4402/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดพยายามฆ่าจากการขว้างระเบิด แม้ระเบิดไม่ทำงาน ศาลฎีกาปรับบทลงโทษให้ถูกต้อง
จำเลยขว้างลูกระเบิดใส่ผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่า แต่ลูกระเบิดไม่เกิดการระเบิด เพราะยังมิได้ถอด สลักนิรภัย เมื่อปรากฏว่าลูกระเบิดดังกล่าวอยู่ในสภาพที่ใช้ทำการระเบิดได้ และหากระเบิดขึ้นจะมีอำนาจทำลายสังหาร ชีวิต มนุษย์ ดังนี้ จำเลยจึงมีความผิดตามป.อ. มาตรา 288,80 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 288,80 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามมาตรา 288,81 จำเลยฝ่ายเดียวอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามมาตรา 295,80 โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ดังนี้เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 288,80 ศาลฎีกามีอำนาจปรับบทลงโทษให้ถูกต้องได้ แต่กำหนดโทษคงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4359/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การผูกพันตามสัญญาจากการยอมรับพฤติกรรมตัวแทนที่ปรากฏ แม้ไม่ได้แต่งตั้ง
การที่ ช. ซึ่งเคยเป็นกรรมการบริษัทจำเลยและปัจจุบันยังคงเป็นผู้ถือหุ้นคนหนึ่งซึ่งเข้าประชุมผู้ถือหุ้นตลอดมา ได้สั่งซื้อสินค้าจากโจทก์โดยแสดงนามบัตรว่าทำงานกับจำเลย เมื่อโจทก์จัดส่งสินค้าแก่จำเลย จำเลยมิได้ปฏิเสธการสั่งซื้อสินค้า หรือจัดส่งสินค้าคืนโจทก์ในเวลาอันควร ทั้งผู้จัดการจำเลยก็รับรู้ตลอดว่า ช. สั่งซื้อสินค้าจากโจทก์แต่มิได้ทักท้วงพฤติการณ์เท่ากับจำเลยได้ยอมรับรู้ให้ ช. เชิดตัวเองเพื่อให้โจทก์หลงเชื่อว่า ช. เป็นตัวแทนของจำเลย จำเลยจึงต้องผูกพันรับผิดต่อโจทก์ในการกระทำของ ช..

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4359/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การผูกพันตามสัญญาซื้อขายจากพฤติการณ์ยอมรับรู้ การเชิดตัวเป็นตัวแทน และการไม่ปฏิเสธการซื้อขาย
ช. เคยเป็นกรรมการบริษัทจำเลย และยังคงเป็นผู้ถือหุ้นของจำเลย ช.ได้เข้าประชุมผู้ถือหุ้นจำเลยตลอดมาเมื่อช. ไปติดต่อและทำสัญญาซื้อสินค้ากับโจทก์ ก็แสดงนามบัตรว่าทำงานกับจำเลยทั้งจำเลยมิได้ปฏิเสธการที่ ช. สั่งซื้อสินค้าจากโจทก์เป็นเวลานานกว่าปี ดังนี้ พฤติการณ์เท่ากับจำเลยได้รับรู้ยอมให้ ช.เชิด ตัวเองเป็นตัวแทนของจำเลย.
of 51