คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สง่า ศิลปประสิทธิ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 504 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4359/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยอมรับรู้พฤติกรรมตัวแทนโดยปริยาย ทำให้จำเลยผูกพันตามสัญญา
การที่ ช. ซึ่งเคยเป็นกรรมการบริษัทจำเลยและปัจจุบันยังคงเป็นผู้ถือหุ้นคนหนึ่งซึ่งเข้าประชุมผู้ถือหุ้นตลอดมา ได้สั่งซื้อสินค้าจากโจทก์โดยแสดงนามบัตรว่าทำงานกับจำเลย เมื่อโจทก์จัดส่งสินค้าแก่จำเลย จำเลยมิได้ปฏิเสธการสั่งซื้อสินค้า หรือจัดส่งสินค้าคืนโจทก์ในเวลาอันควร ทั้งผู้จัดการจำเลยก็รับรู้ตลอดว่า ช. สั่งซื้อสินค้าจากโจทก์แต่มิได้ทักท้วงพฤติการณ์เท่ากับจำเลยได้ยอมรับรู้ให้ ช. เชิดตัวเองเพื่อให้โจทก์หลงเชื่อว่า ช. เป็นตัวแทนของจำเลย จำเลยจึงต้องผูกพันรับผิดต่อโจทก์ในการกระทำของ ช..

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4302/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานเป็นเจ้าของสถานการค้าประเวณีและดำรงชีพจากรายได้จากการค้าประเวณีเป็นกรรมเดียว ใช้บทหนักลงโทษได้
ข้อหาความผิดฐานเป็นเจ้าของและผู้จัดการสถานการค้าประเวณีและความผิดฐานดำรงชีพอยู่จากรายได้ของหญิงซึ่งค้าประเวณีในสถานการค้าประเวณีของจำเลยเองนั้นเป็นการกระทำกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทต้องใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 แม้จำเลยไม่ได้อุทธรณ์ฎีกา แต่การปรับบทลงโทษเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4302/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานค้าประเวณีและดำรงชีพจากรายได้จากการค้าประเวณี: การใช้บทหนักตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90
ข้อหาความผิดฐานเป็นเจ้าของและผู้จัดการสถานการค้าประเวณีและความผิดฐานดำรงชีพอยู่จากรายได้ของหญิงซึ่งค้าประเวณีในสถานการค้าประเวณีของจำเลยเองนั้นเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทต้องใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 แม้จำเลยไม่ได้อุทธรณ์ฎีกา แต่การปรับบทลงโทษเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4290/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยกที่ดินมีเงื่อนไข & สิทธิกรรมสิทธิ์ของผู้รับโอน - การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง
เจ้าของเดิมยกที่พิพาทให้กรมอนามัยปลูกสร้างสำนักงานผดุงครรภ์โดยมีเงื่อนไขว่าจะนำไปซื้อขาย หักโอนหรือแลกเปลี่ยนกับผู้อื่นหรือหน่วยราชการอื่นไม่ได้ และเมื่อหมดความประสงค์จะใช้ให้ส่งมอบที่พิพาทคืนทันที ดังนี้เจตนาของผู้ให้หาใช่เป็นการอุทิศที่พิพาทเพื่อใช้เป็นสาธารณประโยชน์ตลอดไปอันมีผลให้ที่ดินตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไม่ เมื่อการยกให้มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงไม่มีผลสมบูรณ์และย่อมไม่ผูกพันผู้ให้หรือโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับโอนที่พิพาทต่อมาในภายหลังตามนัยแห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525,1299 วรรคแรกแม้โจทก์จะรู้ถึงสิทธิที่จำเลยได้รับการยกให้จากเจ้าของเดิมก็ตาม ก็หาเป็นการกระทบกระเทือนต่อสิทธิของโจทก์ผู้ได้กรรมสิทธิ์มาโดยนิติกรรมซึ่งได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่ โจทก์จึงมีสิทธิให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่พิพาทได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4290/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยกที่ดินให้หน่วยงานราชการมีเงื่อนไข ไม่ถือเป็นการอุทิศเป็นสาธารณสมบัติ หากไม่ได้จดทะเบียน
เจ้าของเดิม ยกที่พิพาทให้กรมอนามัยปลูกสร้างสำนักงานผดุงครรภ์โดยมีเงื่อนไขว่า จะนำไปซื้อขาย หักโอน หรือแลกเปลี่ยนกับผู้อื่นหรือหน่วยราชการอื่นไม่ได้ และเมื่อหมดความประสงค์จะใช้ ให้ส่งมอบที่พิพาทคืนทันที ดังนี้ เจตนาของผู้ให้ หาใช่เป็นการอุทิศที่พิพาทเพื่อใช้เป็นสาธารณประโยชน์ตลอดไปอันมีผลให้ที่ดินตก เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไม่ เมื่อการยกให้มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงไม่มีผลสมบูรณ์ และย่อมไม่ผูกพันผู้ให้หรือโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับโอนที่พิพาทต่อมาในภายหลังตาม ป.พ.พ. มาตรา 525,1299 วรรคแรก แม้โจทก์จะรู้ถึงสิทธิที่จำเลยได้รับการยกให้จากเจ้าของเดิม ก็ตาม ก็หาเป็นการกระทบกระเทือนต่อสิทธิของโจทก์ผู้ได้กรรมสิทธิ์มาโดยนิติกรรมซึ่งได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่ โจทก์จึงมีสิทธิให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่พิพาทได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4276/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แม้จำเลยขาดนัด ศาลยังต้องพิจารณาพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายเพื่อพิสูจน์ความประมาทก่อนตัดสินคดี
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ขับรถยนต์ และจำเลยที่ 2 ในฐานะนายจ้างของจำเลยที่ 1 ให้ร่วมกันรับผิดในการที่จำเลยที่1 ขับรถยนต์ประมาทชนรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยเสียหายจำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ดังนี้ แม้หากฝ่ายจำเลยขาดนัดไม่มาศาล ศาลก็ยังวินิจฉัยชี้ขาดให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีไม่ได้จนกว่าจะได้พิจารณาพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบว่าคดีมีมูลตามข้ออ้างแห่งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 205 ทั้งเมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้ให้การและนำสืบต่อสู้คดี จึงเป็นกรณีที่ต้องฟังพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายในประเด็นพิพาทว่าจำเลยที่ 1 กระทำการโดยประมาทตามที่โจทก์กล่าวอ้างมาในฟ้องหรือไม่ และศาลย่อมพิพากษายกฟ้องเมื่อฟังว่า เหตุมิได้เกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่ 1

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4276/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แม้จำเลยขาดนัด ศาลยังต้องพิจารณาพยานทั้งสองฝ่ายเพื่อพิสูจน์ความประมาทตามหลักกฎหมาย
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ขับรถยนต์ และจำเลยที่ 2 ในฐานะนายจ้างของจำเลยที่ 1 ให้ร่วมกันรับผิดในการที่จำเลยที่ 1ขับรถยนต์ประมาทชนรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยเสียหายจำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ดังนี้ แม้หากฝ่ายจำเลยขาดนัดไม่มาศาล ศาลก็ยังวินิจฉัยชี้ขาดให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีไม่ได้จนกว่าจะได้พิจารณาพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบว่าคดีมีมูลตามข้ออ้างแห่งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 205 ทั้งเมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้ให้การและนำสืบต่อสู้คดี จึงเป็นกรณีที่ต้องฟังพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายในประเด็นพิพาทว่าจำเลยที่ 1 กระทำการโดยประมาทตามที่โจทก์กล่าวอ้างมาในฟ้องหรือไม่ และศาลย่อมพิพากษายกฟ้องเมื่อฟังว่า เหตุมิได้เกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่ 1

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4264/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบของกลางคดีศุลกากร: ข้อจำกัดในการฎีกาข้อเท็จจริงหลังศาลอุทธรณ์แก้ไขคำพิพากษาเล็กน้อย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะเรื่องให้ริบของกลางและจ่ายเงินสินบนกับรางวัลนำจับเท่านั้น เป็นการแก้ไขเล็กน้อย จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4264/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบของกลางในคดีศุลกากร: ศาลฎีกาห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงหากศาลอุทธรณ์แก้ไขคำพิพากษาเพียงเล็กน้อย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะเรื่องให้ริบของกลางและจ่ายเงินสินบนกับรางวัลนำจับเท่านั้น เป็นการแก้ไขเล็กน้อย จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4263/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขาดนัดพิจารณาคดีและการขอพิจารณาคดีใหม่: การยื่นคำขอหลังศาลมีคำสั่งเด็ดขาดแล้ว
จำเลยยื่นคำขอพิจารณาใหม่ ระหว่างพิจารณาคดีฝ่ายเดียวมาแล้วศาลชั้นต้นยกคำร้อง เพราะเห็นว่าจำเลยจงใจขาดนัดพิจารณา จำเลยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านและไม่ได้อุทธรณ์ คำสั่งของศาลชั้นต้นครั้นศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้ว จำเลยกลับยื่นคำขอพิจารณาคดีใหม่อีกเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา205(3) ประกอบด้วยมาตรา 207(3) จำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะร้องขอพิจารณาคดีใหม่อีกจำเลยชอบที่จะอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นเท่านั้น
of 51