คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
วีระชัย สูตรสุวรรณ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 498 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 151/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปลูกสร้างบ้านโดยเงินร่วมกันในที่ดินของบุตรผู้เยาว์: ไม่ถือเป็นส่วนควบ
ส. บิดาผู้ร้องปลูกบ้านโดยใช้เงินของ ส. และจำเลยซึ่งเป็นมารดาผู้ร้องลงในที่ดินผู้ร้องซึ่ง ขณะปลูกนั้นผู้ร้องอายุไม่เกิน 7 ปี เพื่อใช้ เป็นที่อยู่อาศัยร่วมกัน พอถือได้ว่าปลูกโดยผู้ร้องทั้งสามรู้เห็นยินยอมด้วย กรณีเข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 109 บ้านพิพาทจึงไม่ตกเป็นส่วนควบของที่ดินอันจะถือว่าเป็นของผู้ร้องทั้งสาม ผู้ร้องทั้งสามไม่มีสิทธิร้องขัดทรัพย์บ้านพิพาทที่โจทก์นำยึด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 119/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องคดีกู้ยืมเงิน, ความชัดเจนของฟ้อง, และการแนบหลักฐานสัญญา
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินกู้ จำเลยให้การว่าสัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องจะใช้สัญญากู้เงินที่จำเลยลงลายมือชื่อไว้หรือไม่จำเลยไม่อาจให้การได้โดยชัดแจ้ง และฟ้องโจทก์ขาดอายุความตามคำให้การ ของจำเลยหมายความว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความฟ้องเรียกเงินกู้ตามคำฟ้องของโจทก์นั่นเอง ปัญหาเรื่องอายุความจึงเป็นประเด็นในคดี เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นเรื่องอายุความ และได้ยื่นคำแถลงคัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องดังกล่าวไว้ก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา การที่ศาลชั้นต้นมิได้ตั้งประเด็นเรื่องอายุความ ทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยเรื่องอายุความ จึงเป็นการไม่ชอบ โจทก์บรรยายฟ้องไว้แล้วว่า จำเลยได้ทำสัญญากู้เงินและรับเงินไปจากโจทก์แต่ละครั้งเมื่อใด ถึงกำหนดชำระคืนเมื่อใด จำเลยผิดนัดไม่ชำระเงินคืน จึงฟ้องเรียกเงินกู้คืนพร้อมดอกเบี้ยคำฟ้องของโจทก์จึงแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง การที่โจทก์ไม่ได้แนบสัญญากู้หรือสำเนาสัญญากู้มาพร้อมกับฟ้อง ไม่ทำให้ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 653 วรรคแรก บังคับแต่เพียงว่าการกู้ยืมเงินกว่าห้าสิบบาทขึ้นไปถ้าไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่เท่านั้นมิได้บังคับว่าจะต้องแนบสัญญากู้หรือหลักฐานการกู้เงินมาพร้อมกับคำฟ้องด้วยจึงจะฟ้องร้องได้ ทั้งไม่มีกฎหมายบทใดบังคับไว้เช่นนั้นด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 119/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องร้อง, สัญญาเงินกู้, หลักฐานการกู้ยืม, คำฟ้องไม่เคลือบคลุม, การตั้งประเด็นวินิจฉัยของศาล
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินกู้ จำเลยให้การว่า สัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องจะใช่สัญญากู้เงินที่จำเลยลงลายมือชื่อไว้หรือไม่ จำเลยไม่อาจให้การได้โดยชัดแจ้งและฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ดังนี้ ตามคำให้การของจำเลยหมายความว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความฟ้องเรียกเงินกู้ตามคำฟ้องของโจทก์นั่นเอง ปัญหาเรื่องอายุความจึงเป็นประเด็นในคดี เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นเรื่องอายุความและได้ยื่นคำแถลงคัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องดังกล่าวไว้ก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา การที่ศาลชั้นต้นมิได้ตั้งประเด็นเรื่องอายุความ และศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยเรื่องอายุความจึงเป็นการไม่ชอบ
โจทก์บรรยายฟ้องไว้แล้วว่า จำเลยได้ทำสัญญากู้เงินและรับเงินไปจากโจทก์แต่ละครั้งเมื่อใดถึงกำหนดชำระคืนเมื่อใด จำเลยผิดนัดไม่ชำระเงินคืน จึงฟ้องเรียกเงินกู้คืนพร้อมดอกเบี้ยคำฟ้องของโจทก์จึงแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง การที่โจทก์ไม่ได้แนบสัญญากู้หรือสำเนาสัญญากู้มาพร้อมกับฟ้อง ไม่ทำให้ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653วรรคแรก บังคับแต่เพียงว่าการกู้ยืมเงินกว่าห้าสิบบาทขึ้นไปถ้าไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่เท่านั้นมิได้บังคับว่าจะต้องแนบสัญญากู้หรือหลักฐานการกู้เงินมาพร้อมกับคำฟ้องด้วยจึงจะฟ้องร้องได้ ทั้งไม่มีกฎหมายบทใดบังคับไว้เช่นนั้นด้วย.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 44/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายกำหนดเวลาส่งมอบเป็นสาระสำคัญ ผู้ซื้อไม่พร้อมรับมอบ ถือผิดสัญญา ผู้ขายริบเงินมัดจำได้
สัญญาซื้อขายเครื่องปรับอากาศที่กำหนดให้โจทก์ผู้ซื้อตระเตรียมสถานที่สำหรับการติดตั้งเดินสายไฟฟ้า และติดสวิตช์สำหรับเครื่องปรับอากาศให้แก่จำเลยผู้ขาย ย่อมเป็นสัญญาที่ถือเอากำหนดเวลาและวิธีการส่งมอบเป็นข้อสาระสำคัญ เมื่อถือกำหนดส่งมอบตามสัญญา โจทก์ไม่มีโรงแรมให้จำเลยเข้าติดตั้งส่งมอบเครื่องปรับอากาศ เป็นกรณีที่โจทก์ละเลยไม่รับชำระหนี้จากจำเลย โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้โดยมิพักต้องบอกกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 388 และมีสิทธิริบเงินมัดจำตามมาตรา 378(2).(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 44/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายมีเงื่อนไขสถานที่ติดตั้ง การไม่เตรียมสถานที่ตามกำหนดถือเป็นผิดสัญญา ผู้ขายมีสิทธิริบเงินมัดจำ
สัญญาซื้อขายเครื่องปรับอากาศที่กำหนดให้โจทก์ผู้ซื้อตระเตรียมสถานที่สำหรับการติดตั้งเดินสายไฟฟ้าและติดสวิตซ์สำหรับเครื่องปรับอากาศให้แก่จำเลยผู้ขาย ย่อมเป็นสัญญาที่ถือเอากำหนดเวลาและวิธีการส่งมอบเป็นข้อสาระสำคัญ เมื่อถึงกำหนดส่งมอบตามสัญญา โจทก์ไม่มีโรงแรมให้จำเลยเข้าติดตั้งส่งมอบเครื่องปรับอากาศ เป็นกรณีที่โจทก์ละเลยไม่รับชำระหนี้จากจำเลยโจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้โดยมิพักต้องบอกกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 388 และมีสิทธิริบเงินมัดจำตามมาตรา 378(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6682/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องหย่าจากพฤติกรรมไม่น่าให้อภัย แต่เกิดจากความเดือดร้อนจากคู่ชีวิต ศาลไม่อนุญาตให้หย่า
จำเลยด่าว่าโจทก์ไปโดยโทสะจริตเนื่องจากถูกบีบคั้นอย่างรุนแรงซึ่งโจทก์เป็นผู้ก่อ และมุ่งด่าว่าโจทก์เป็นส่วนตัวและเฉพาะตัว มิใช่เป็นการด่าประจาน ทั้งเป็นกรณีโจทก์จำเลยทะเลาะโต้แย้งด่าว่ากัน มิใช่เกิดจากความประพฤติเป็นปกติวิสัยของจำเลยจึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยประพฤติชั่วอันเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าได้
คำด่าที่ว่า "ไอ้หน้าเลียหีเมีย" เป็นเพียงคำหยาบคายเท่านั้น มิใช่ถ้อยคำหมิ่นประมาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6682/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เหตุหย่า: การด่าทอด้วยโทสะจากปัญหาครอบครัวและการแยกกันอยู่ ไม่ถือเป็นเหตุประพฤติชั่ว
จำเลยด่าว่าโจทก์ไปโดยโทสะจริต เนื่องจากถูกบีบคั้นอย่างรุนแรง ซึ่งโจทก์เป็นผู้ก่อ และมุ่งด่าว่าโจทก์เป็นส่วนตัวและเฉพาะตัวมิใช่เป็นการด่าประจาน ทั้งเป็นกรณีโจทก์จำเลยทะเลาะโต้เถียงด่าว่ากันมิใช่เกิดจากความประพฤติเป็นปกติวิสัยของจำเลยจึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยประพฤติชั่วอันเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าได้ คำด่าที่ว่า "ไอ้หน้าเลียหีเมีย" เป็นเพียงคำหยาบคายเท่านั้นมิใช่ถ้อยคำหมิ่นประมาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6659/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราและพรากผู้เยาว์ การรับฟังพยานบอกเล่าและหลักการยกประโยชน์แห่งความสงสัย
โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นว่าจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้ตายคงมีแต่คำเบิกความของมารดาผู้ตายว่า ผู้ตายเล่าให้ฟังว่าจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้ตาย กับคำเบิกความของ ส. และพนักงานสอบสวนซึ่งสอบปากคำผู้ตายที่ป่วยหนักใกล้จะตายต่อหน้า ส.ที่โรงพยาบาลว่าผู้ตายบอกว่าจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้ตาย ผู้ตายจึงดื่มยาฆ่าแมลงเข้าไปและโจทก์อ้างคำให้การชั้นสอบสวนของผู้ตาย มารดาผู้ตายและพี่สาวเป็นพยานประกอบ แต่พยานโจทก์ดังกล่าวล้วนแต่ได้รับฟังการบอกเล่ามาจากผู้ตายทั้งคำให้การชั้นสอบสวนของผู้ตายก็เพียงแต่ให้การว่าจำเลยหลอกลวงไปข่มขืนกระทำชำเราหลายครั้ง มิได้มีรายละเอียดว่าจำเลยข่มขืนกระทำชำเราเมื่อใดและอย่างไร และมิได้ให้การว่าผู้ตายดื่มยาฆ่าหญ้าเพราะถูกจำเลยข่มขืมกระทำชำเราตามที่พนักงานสอบสวนเบิกความ คำให้การของผู้ตายมีข้อน่าสงสัยและมีน้ำหนักน้อย พยานโจทก์จึงยังเป็นที่สงสัยไม่มั่นคงเพียงพอ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6659/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความน่าเชื่อถือของคำให้การผู้เสียหาย และพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ในคดีข่มขืนกระทำชำเรา
โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นว่าจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้ตายคงมีแต่คำเบิกความของมารดาผู้ตายว่า ผู้ตายเล่าให้ฟังว่าจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้ตาย กับคำเบิกความของ ล.และพนักงานสอบสวนซึ่งสอบปากคำผู้ตายที่ป่วยหนักใกล้จะตายต่อหน้า ล.ที่โรงพยาบาลว่าผู้ตายบอกว่าจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้ตายผู้ตายจึงดื่มยาฆ่าแมลงเข้าไปและโจทก์อ้างคำให้การชั้นสอบสวนของผู้ตาย มารดาผู้ตายและพี่สาวเป็นพยานประกอบ แต่พยานโจทก์ดังกล่าวล้วนแต่ได้รับฟังการบอกเล่ามาจากผู้ตายทั้งคำให้การชั้นสอบสวนของผู้ตายก็เพียงแต่ให้การว่าจำเลยหลอกลวงไปข่มขืนกระทำชำเราหลายครั้ง มิได้มีรายละเอียดว่าจำเลยข่มขืนกระทำชำเราเมื่อใดและอย่างไร และมิได้ให้การว่าผู้ตายดื่มยาฆ่าหญ้าเพราะถูกจำเลยข่มขืนกระทำชำเราตามที่พนักงานสอบสวนเบิกความ คำให้การของผู้ตายมีข้อน่าสงสัยและมีน้ำหนักน้อย พยานโจทก์จึงยังเป็นที่สงสัยไม่มั่นคงเพียงพอ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6344/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทำให้เสียทรัพย์ แม้จะอ้างคำสั่งนายอำเภอ ก็ต้องรับผิดตามกฎหมาย
นายอำเภอขอความร่วมมือจากประชาชนให้ร่วมกันพัฒนาบริเวณที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 2 ได้ตัดฟันต้นไม้ของโจทก์ในบริเวณนั้นโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของโจทก์ทั้งจำเลยที่ 2 เคยตัดฟันต้นไม้ของโจทก์มาก่อนจนถูกฟ้องมาแล้วครั้งหนึ่ง แสดงว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาทำให้ทรัพย์ของโจทก์เสียหาย การที่นายอำเภอขอความร่วมมือดังกล่าว เป็นแต่เพียงคำแนะนำ จำเลยที่ 2 จะกระทำหรือไม่กระทำตามก็ได้ มิได้มีลักษณะเป็นคำสั่งตามความหมายของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 70 อันจะทำให้จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับโทษ การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358
of 50