คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
นิเวศน์ คำผอง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,435 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4694/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลื่อนคดีเนื่องจากทนายจำเลยป่วย: ศาลต้องไต่สวนเพื่อพิสูจน์อาการป่วยก่อนวินิจฉัย
ในวันนัดสืบพยานนัดแรกซึ่งเป็นการนัดสืบพยานจำเลยทนายจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอ้างเหตุว่าไม่สามารถมาศาลได้เนื่องจากป่วยเป็นไข้หวัดมีอาการปวดศีรษะไอเจ็บคออ่อนเพลียโจทก์รับสำเนาคำร้องแล้วแถลงคัดค้านว่าทนายจำเลยไม่ป่วยจริงดังนั้นศาลชอบที่จะดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา41วรรคหนึ่งคือตั้งเจ้าพนักงานไปทำการตรวจทนายจำเลยหรือให้แพทย์ไปตรวจด้วยแล้วพิจารณาจากรายงานของผู้ที่ศาลตั้งให้ไปตรวจดังกล่าวหากเชื่อว่าทนายจำเลยป่วยจริงก็อนุญาตให้เลื่อนคดีไปตามขอแต่หากอาการป่วยไม่ร้ายแรงถึงกับจะมาศาลไม่ได้ก็ไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการขาดนัดหรือการไม่มาศาลของทนายจำเลยการที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไปในทันทีว่าไม่น่าเชื่อว่าทนายจำเลยจะป่วยถึงขนาดมาศาลไม่ได้จึงไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบโดยไม่ได้ดำเนินการไต่สวนหรือตั้งผู้ใดไปตรวจสอบจึงไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4694/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลื่อนคดีเนื่องจากทนายจำเลยป่วย: ศาลต้องตรวจสอบอาการก่อนปฏิเสธคำร้อง
ในวันนัดสืบพยานนัดแรกซึ่งเป็นการนัดสืบพยานจำเลย ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอ้างเหตุว่าไม่สามารถมาศาลได้เนื่องจากป่วยเป็นไข้หวัด มีอาการปวดศีรษะ ไอ เจ็บคอ อ่อนเพลีย โจทก์รับสำเนาคำร้องแล้วแถลงคัดค้านว่าทนายจำเลยไม่ป่วยจริง ดังนั้นศาลชอบที่จะดำเนินการตาม ป.วิ.พ.มาตรา 41 วรรคหนึ่ง คือตั้งเจ้าพนักงานไปทำการตรวจทนายจำเลยหรือให้แพทย์ไปตรวจด้วย แล้วพิจารณาจากรายงานของผู้ที่ศาลตั้งให้ไปตรวจดังกล่าวหากเชื่อว่าทนายจำเลยป่วยจริงก็อนุญาตให้เลื่อนคดีไปตามขอ แต่หากอาการป่วยไม่ร้ายแรงถึงกับจะมาศาลไม่ได้ก็ไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี และดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. ว่าด้วยการขาดนัดหรือการไม่มาศาลของทนายจำเลย การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไปในทันทีว่าไม่น่าเชื่อว่าทนายจำเลยจะป่วยถึงขนาดมาศาลไม่ได้ จึงไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบโดยไม่ได้ดำเนินการไต่สวนหรือตั้งผู้ใดไปตรวจสอบจึงไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3844/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางละเมิด: การแบ่งความรับผิดระหว่างผู้เสียหายและธนาคารจากเช็คเถื่อน
หนี้ละเมิดอันจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายมากน้อยเพียงใดต้องอาศัยพฤติการณ์เป็นประมาณข้อสำคัญคือความเสียหายเกิดขึ้นเพราะฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงไรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา442ประกอบด้วยมาตรา223แม้จำเลยจะมิได้ให้การว่าโจทก์จะต้องร่วมรับผิดด้วยก็ตามเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์และจำเลยต่างประมาทเลินเล่อด้วยกันศาลชอบที่จะกำหนดให้จำเลยรับผิดเพียงกึ่งหนึ่งของค่าเสียหายทั้งหมดได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3840/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์การประเมินภาษี: การส่งหมายแจ้งที่ไม่ถูกต้อง และสิทธิในการฟ้องบังคับให้รับอุทธรณ์
ตามคำฟ้องเป็นกรณีที่โจทก์ยืนยันว่า การส่งหมายเรียกและหนังสือแจ้งการประเมินไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะไม่ได้ส่งยังสำนักงานแห่งใหม่ของโจทก์ ผลตามกฎหมายก็คือโจทก์ยังไม่ได้รับแจ้งการประเมิน กำหนดเวลาให้อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ซึ่งประกอบด้วยอธิบดีหรือผู้แทนผู้แทนกรมอัยการ และผู้แทนกรมมหาดไทย ภายในสามสิบวันนับแต่วันได้รับแจ้งการประเมินจึงยังไม่เริ่มนับเมื่อโจทก์ได้รับทราบผลการประเมินตามหนังสือแจ้งการประเมินแล้วโจทก์ย่อมอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้ทันที เพราะถือว่ายังไม่พ้นกำหนดเวลาที่ประมวลรัษฎากรมาตรา 30(1)(ก) บัญญัติไว้ การอุทธรณ์การประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30 นั้นโจทก์ต้องยื่นต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ซึ่งประกอบด้วยอธิบดีกรมสรรพากรหรือผู้แทน ผู้แทนกรมอัยการและผู้แทนกรมมหาดไทย และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ซึ่งประกอบด้วยบุคคลดังกล่าวแล้วเป็นผู้มีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์กรมสรรพากรจำเลยที่ 1 หามีหน้าที่ในการสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์เพื่อให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ไม่ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยที่ 1 ให้รับอุทธรณ์ของโจทก์ได้ และตามคำฟ้องโจทก์หาได้ยืนยันว่าอธิบดีกรมสรรพากรจำเลยที่ 2 ในฐานะคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เป็นผู้มีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ไม่โจทก์จึงไม่มีเหตุที่จะมาฟ้องบังคับจำเลยที่ 2 ให้รับ อุทธรณ์ของโจทก์ การที่โจทก์ตีความเอาการกระทำของจำเลยที่ 1ที่แจ้งแก่โจทก์ว่าไม่ขยายเวลาอุทธรณ์แก่โจทก์มีผลเป็นการที่จำเลยที่ 1 ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ จำเลยที่ 1 กระทำในนามของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ซึ่งมีจำเลยที่ 2เป็นประธานและตัวแทนจึงต้องรับผิดร่วมกันนั้น มีผลเท่ากับโจทก์กล่าวอ้างว่า คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์เป็นการไม่ชอบนั่นเอง แม้จะเป็นดังกรณีที่โจทก์เข้าใจเอาเองดังกล่าวก็ไม่มีเหตุจำเป็นที่โจทก์จะต้องมาฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยที่ 2 ให้รับ อุทธรณ์ของโจทก์ตามคำขอท้ายฟ้องอีก เพราะหากผลการกระทำของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวเท่ากับคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์สั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์แล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินต่อศาลได้ อำนาจฟ้องของโจทก์เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้เอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3840/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์การประเมินภาษี: สิทธิในการอุทธรณ์และการฟ้องร้องบังคับรับอุทธรณ์
ตามคำฟ้องเป็นกรณีที่โจทก์ยืนยันว่า การส่งหมายเรียกและหนังสือแจ้งการประเมินไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะไม่ได้ส่งยังสำนักงานแห่งใหม่ของโจทก์ ผลตามกฎหมายก็คือโจทก์ยังไม่ได้รับแจ้งการประเมิน กำหนดเวลาให้อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ซึ่งประกอบด้วยอธิบดีหรือผู้แทน ผู้แทนกรมอัยการ และผู้แทนกรมมหาดไทย ภายในสามสิบวัน นับแต่วันได้รับแจ้งการประเมินจึงยังไม่เริ่มนับเมื่อโจทก์ได้ทราบผลการประเมินตามหนังสือแจ้งการประเมินแล้ว โจทก์ย่อมอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้ทันที เพราะถือว่ายังไม่พ้นกำหนดเวลาที่ ป.รัษฎากร มาตรา 30 (1) (ก) บัญญัติไว้
การอุทธรณ์การประเมินตาม ป.รัษฎากร มาตรา 30 นั้น โจทก์ต้องยื่นต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ซึ่งประกอบด้วย อธิบดีกรมสรรพากรหรือผู้แทนผู้แทนกรมอัยการและผู้แทนกรมมหาดไทย และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ซึ่งประกอบด้วยบุคคลดังกล่าวแล้วเป็นผู้มีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ กรมสรรพากรจำเลยที่ 1หามีหน้าที่ในการสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์เพื่อให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ไม่ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยที่ 1 ให้รับอุทธรณ์ของโจทก์ได้ และตามคำฟ้องโจทก์หาได้ยืนยันว่าอธิบดีกรมสรรพากรจำเลยที่ 2 ในฐานะคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เป็นผู้มีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ไม่ โจทก์จึงไม่มีเหตุที่จะมาฟ้องบังคับจำเลยที่ 2 ให้รับอุทธรณ์ของโจทก์ การที่โจทก์ตีความเอาการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่แจ้งแก่โจทก์ว่าไม่ขยายเวลาอุทธรณ์แก่โจทก์มีผลเป็นการที่จำเลยที่ 1 ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ จำเลยที่ 1 กระทำในนามของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ซึ่งมีจำเลยที่ 2 เป็นประธานและตัวแทนจึงต้องรับผิดร่วมกันนั้น มีผลเท่ากับโจทก์กล่าวอ้างว่า คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์เป็นการไม่ชอบนั่นเอง แม้จะเป็นดังกรณีที่โจทก์เข้าใจเอาเองดังกล่าวก็ไม่มีเหตุจำเป็นที่โจทก์จะต้องมาฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยที่ 2 ให้รับอุทธรณ์ของโจทก์ตามคำขอท้ายฟ้องอีก เพราะหากผลการกระทำของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวเท่ากับคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์สั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์แล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินต่อศาลได้ อำนาจฟ้องของโจทก์เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้เอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3840/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องอุทธรณ์ภาษี: การยื่นอุทธรณ์ต้องยื่นต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ไม่ใช่เจ้าพนักงานประเมิน
ตามมาตรา30แห่งประมวลรัษฎากรกำหนดว่าในกรณีเจ้าพนักงานประเมินผู้ทำการประเมินมีสำนักงานอยู่ในเขตจังหวัดพระนครให้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์กรมสรรพากรไม่มีหน้าที่ในการสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์เพื่อให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์และตามฟ้องโจทก์มิได้ยืนยันว่าอธิบดีกรมสรรพากรในฐานะคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เป็นผู้มีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องและเนื่องจากเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์นี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนจึงชอบที่ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3834/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การตีความประกาศกรมศุลกากรเกี่ยวกับยาและอัตราอากร: ยาใช้นอก/ใช้เฉพาะที่แยกจากกันได้
ความมุ่งหมายของประกาศกรมศุลกากรที่46/2531ลำดับที่60มีความหมายว่าเป็นยาน้ำสำหรับใช้ภายนอกชนิดหนึ่งและเป็นยาน้ำสำหรับใช้เฉพาะที่อีกชนิดหนึ่งหาได้มีความหมายว่าต้องเป็นทั้งยาน้ำสำหรับใช้ภายนอกและใช้เฉพาะที่ในขณะเดียวกันไม่เมื่อยาน้ำมัน กวางลุ้งของโจทก์เป็นยาน้ำสำหรับใช้ภายนอกจึงต้องตามประกาศกรมศุลกากรดังกล่าวอันเป็นเหตุให้โจทก์ไม่ได้รับลดอัตราอากรตามประกาศกระทรวงการคลังโจทก์ชำระอากรอัตราร้อยละ30ถูกต้องแล้วจำเลยจึงไม่จำต้องคืนเงินภาษีอากรให้โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3834/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การตีความประกาศกรมศุลกากรเกี่ยวกับยาใช้ภายนอกและยาใช้เฉพาะที่ และผลต่อการลดอัตราอากร
ตามพระราชบัญญัติยา(ฉบับที่5)พ.ศ.2530ให้คำนิยามคำว่ายาใช้ภายนอกและยาใช้เฉพาะที่แบ่งแยกกันไว้โดยเฉพาะโดยยาใช้ภายนอกจะไม่รวมถึงยาใช้เฉพาะที่ซึ่งแตกต่างไปจากคำนิยามตามพระราชบัญญัติ ยาพ.ศ.2510ซึ่งจะมียาที่เป็นทั้งสำหรับใช้ภายนอกและใช้เฉพาะที่ในขณะเดียวกันได้ฉะนั้นภายหลังใช้พระราชบัญญัติยา(ฉบับที่5)พ.ศ.2530แล้วจะไม่มียาที่เป็นทั้งสำหรับใช้ภายนอกและใช้เฉพาะที่ในขณะเดียวกันได้เลยดังนั้นหากจะแปลความหมายของประกาศกรมศุลกากรที่46/2531ลำดับที่60ที่กำหนดว่าจะต้องเป็นยาที่มีสารออกฤทธิ์4ตัวคือ แคมเฟอร์ น้ำมัน ยูคาลิปตัส เมนทอลและ เมทิลซาลิซิเลต ชนิดครีมชนิดขี้ผึ้งชนิดน้ำสำหรับใช้ภายนอกและเฉพาะที่ซึ่งประกาศใช้ภายหลังพระราชบัญญัติยา(ฉบับที่5)พ.ศ.2530ว่าเป็นยาน้ำสำหรับใช้ภายนอกและใช้เฉพาะที่ด้วยก็จะไม่มียาชนิดใดตรงตามประกาศข้อนี้จะทำให้ประกาศข้อนี้ไม่มีผลใช้บังคับเลยความมุ่งหมายของประกาศกรมศุลกากรดังกล่าวมีความหมายว่าเป็นยาน้ำสำหรับใช้ภายนอกชนิดหนึ่งและเป็นยาน้ำสำหรับใช้เฉพาะที่อีกชนิดหนึ่งหาได้มีความหมายว่าต้องเป็นทั้งยาน้ำสำหรับใช้ภายนอกและใช้เฉพาะที่ในขณะเดียวกันไม่เมื่อยาน้ำมัน กวางลุ้งของโจทก์เป็นยาน้ำสำหรับใช้ภายนอกจึงต้องตามประกาศกรมศุลกากรดังกล่าวอันเป็นเหตุให้โจทก์ไม่ได้รับลดอัตราอากรตามประกาศกระทรวงการคลังที่ศก.1/2528,ศก.1/2531และศก.7/2531

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3834/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาที่ ศก.1/2531 และ ศก.7/2531 - ประเด็นการพิจารณาคดีและการวินิจฉัยของศาล
ศก.1/2531 และ ศก.7/2531

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3818/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เขตอำนาจศาล: การกำหนดมูลคดีจากการซื้อขายและการออกเช็ค
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ค่าตุ๊กตาและยืนยันในตอนท้ายคำฟ้องว่าคดีนี้มีมูลหนี้แห่งการซื้อขายตุ๊กตาเกิดที่ต.บ้านสิงห์อ.โพธาราม จ.ราชบุรีแสดงว่าโจทก์ยืนยันว่ามูลคดีเกิดขึ้นที่จ.ราชบุรีจึงต้องฟังว่ามูลคดีนี้เกิดขึ้นในเขตศาลแขวงราชบุรีโจทก์จึงมีสิทธิฟ้องคดีนี้ที่ศาลแขวงราชบุรีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา4(1)
of 144