คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
นิเวศน์ คำผอง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,435 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2727/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของผู้เช่าซื้อและนายจ้างต่อการกระทำของลูกจ้างในการใช้รถยนต์
จำเลยที่ 2 เป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์มอบให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างเป็นผู้ใช้สอยรถยนต์คันดังกล่าวก็เพื่อให้จำเลยที่ 1 ติดต่อการงานให้แก่จำเลยที่ 2จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ครอบครองใช้และได้รับประโยชน์ในรถยนต์คันดังกล่าวอยู่ในขณะเกิดเหตุ ดังนั้นจำเลยที่ 2 จะอ้างว่ารถยนต์คันดังกล่าวเป็นของผู้ให้เช่าซื้อและจำเลยที่ 2 เช่าซื้อมาให้จำเลยที่ 1 ใช้ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดหาได้ไม่
พนักงานขายของจำเลยที่ 2 สามารถใช้รถของจำเลยที่ 2จนกว่าจะปฏิบัติงานเสร็จสิ้นแล้วจึงจะนำมาคืน โดยอาจจะปฏิบัติงานในในเวลากลางวันหรือกลางคืนก็ได้ เมื่อปรากฏว่าในวันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์คันเกิดเหตุไปปฏิบัติงานให้แก่จำเลยที่ 2 จึงถือได้ว่า จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์คันดังกล่าวไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จะอ้างว่าเกิดเหตุนอกเวลาทำการงาน และจำเลยที่ 1 มิได้หมายเหตุไว้ในบัตรตอกเวลาทำงานว่าจำเลยที่ 1ต้องปฏิบัติงานนอกเวลาเพื่อให้จำเลยที่ 2 ทราบ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดหาได้ไม่ เพราะเป็นเรื่องภายในระหว่างพนักงานของจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 2

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2727/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้เช่าซื้อรถยนต์มอบให้ลูกจ้างใช้ แล้วเกิดอุบัติเหตุ ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดร่วมกับลูกจ้าง
จำเลยที่2เป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์มอบให้จำเลยที่1ซึ่งเป็นลูกจ้างเป็นผู้ใช้สอยรถยนต์คันดังกล่าวก็เพื่อให้จำเลยที่1ติดต่อการงานให้แก่จำเลยที่2จึงต้องถือว่าจำเลยที่2เป็นผู้ครอบครองใช้และได้รับประโยชน์ในรถยนต์ค้นดังกล่าวอยู่ในขณะเกิดเหตุดังนั้นจำเลยที่2จะอ้างว่ารถยนต์คันดังกล่าวเป็นของผู้ให้เช่าซื้อและจำเลยที่2เช่าซื้อมาให้จำเลยที่1ใช้จำเลยที่2จึงไม่ต้องรับผิดหาได้ไม่ พนักงานขายของจำเลยที่2สามารถใช้รถของจำเลยที่2จนกว่าจะปฏิบัติงานเสร็จสิ้นแล้วจึงจะนำมาคืนโดยอาจจะปฏิบัติงานในในเวลากลางวันหรือกลางคืนก็ได้เมื่อปรากฎว่าในวันเกิดเหตุจำเลยที่1ได้ขับรถยนต์คันเกิดเหตุไปปฏิบัติงานให้แก่จำเลยที่2จึงถือได้ว่าจำเลยที่1ขับรถยนต์คันดังกล่าวไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่2จำเลยที่2จะอ้างว่าเกิดเหตุนอกเวลาทำการงานและจำเลยที่1มิได้หมายเหตุไว้ในบัตรตอกเวลาทำงานว่าจำเลยที่1ต้องปฏิบัติงานนอกเวลาเพื่อให้จำเลยที่2ทราบจำเลยที่2จึงไม่ต้องรับผิดหาได้ไม่เพราะเป็นเรื่องภายในระหว่างพนักงานของจำเลยที่2กับจำเลยที่2

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2712/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แก้ไขคำฟ้องเล็กน้อย & ประเด็นใหม่ในฎีกา: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำขอท้ายฟ้องเป็นคำขอบังคับที่สืบเนื่องมาจากคำฟ้องโจทก์ที่บรรยายมาในตอนต้น เมื่อคำฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงสาเหตุความรับผิดของจำเลยทั้งสาม รวมทั้งได้บรรยาจำนวนเงินที่จำเลยแต่ละคนต้องรับผิด ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่แตกต่างกันมาด้วย การขอแก้ไขคำฟ้องตามคำขอท้ายฟ้องที่ขอให้บังคับจำเลยที่ 2เป็นขอให้บังคับจำเลยที่ 3 ให้ตรงกับที่บรรยายฟ้องมาในตอนต้น จึงเป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดบกพร่องในคำฟ้องเพียงเล็กน้อย ไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องปฏิบัติตาม ป.วิ.พ.มาตรา 180 ที่จะต้องขอแก้ไขก่อนวันชี้สองสถานหรือก่อนวันสืบพยาน
แม้จำเลยจะให้การเป็นประเด็นต่อสู้ในเรื่องฟ้องโจทก์เคลือบคลุมมาตั้งแต่ศาลชั้นต้น แต่เหตุที่จำเลยอ้างว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมในฎีกาเป็นคนละเรื่องแตกต่างจากที่อ้างในศาลชั้นต้น และในศาลอุทธรณ์ ถือว่าฎีกาของจำเลยเรื่องฟ้องโจทก์เคลือบคลุม มิได้เป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2712/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำขอท้ายฟ้องที่พิมพ์ผิดพลาดไม่เข้าข่ายต้องห้ามตามมาตรา 180 และประเด็นฟ้องเคลือบคลุมที่มิได้ยกขึ้นต่อสู้ตั้งแต่ต้น
การ ขอแก้ไขคำขอท้ายฟ้องซึ่ง พิมพ์ผิดพลาดให้ตรงกับที่ บรรยายฟ้องมาในตอนต้นเป็นการ แก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อย ไม่อยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา180ที่ต้องขอแก้ไขก่อนวันชี้สองสถานหรือก่อนวันสืบพยาน ปัญหาว่า ฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนเมื่อจำเลยที่2และที่3มิได้ยกขึ้นต่อสู้ตั้งแต่ศาลชั้นต้นโดยยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาค2วินิจฉัยให้ก็ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ส่วนจำเลยที่1ให้การว่าฟ้องเคลือบคลุมเนื่องจาก เอกสารท้ายฟ้องมีข้อความขัดกันกับคำฟ้องแต่อุทธรณ์และฎีกาว่าฟ้องเคลือบคลุมโดยเหตุอื่นจึงถือว่ามิได้เป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เช่นกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2712/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แก้ไขคำฟ้องหลังชี้สองสถานชอบธรรมหากเป็นแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อย และประเด็นฟ้องเคลือบคลุมต้องยกขึ้นว่ากันในศาลชั้นต้น
คำขอท้ายฟ้องเป็นคำขอบังคับที่สืบเนื่องมาจากคำฟ้องโจทก์ที่บรรยายมาในตอนต้นเมื่อคำฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงสาเหตุความรับผิดของจำเลยทั้งสามรวมทั้งได้บรรยายจำนวนเงินที่จำเลยแต่ละคนต้องรับผิดซึ่งเป็นจำนวนเงินที่แตกต่างกันมาด้วยการขอแก้ไขคำฟ้องตามคำขอท้ายฟ้องที่ขอให้บังคับจำเลยที่2เป็นขอให้บังคับจำเลยที่3ให้ตรงกับที่บรรยายฟ้องมาในตอนต้นจึงเป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดบกพร่องในคำฟ้องเพียงเล็กน้อยไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา180ที่จะต้องขอแก้ไขก่อนวันชี้สองสถานหรือก่อนวันสืบพยาน แม้จำเลยจะให้การเป็นประเด็นต่อสู้ในเรื่องฟ้องโจทก์เคลือบคลุมมาตั้งแต่ศาลชั้นต้นแต่เหตุที่จำเลยอ้างว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมในฎีกาเป็นคนละเรื่องแตกต่างจากที่อ้างในศาลชั้นต้นและในศาลอุทธรณ์ถือว่าฎีกาของจำเลยเรื่องฟ้องโจทก์เคลือบคลุมมิได้เป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2672/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฎีกาในข้อเท็จจริงต้องมีทุนทรัพย์เกินสองแสนบาทตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก ศาลฎีกายกคำร้อง
โจทก์ทั้งสองฟ้องว่าโจทก์ทั้งสองได้นำเจ้าหน้าที่รังวัดที่ดินพิพาทของโจทก์ซึ่งมีเพียง หนังสือรับรองการทำประโยชน์เพื่อขอออกโฉนดที่ดินจำเลยคัดค้านการขอออกโฉนดที่ดินขอให้เพิกถอนคำคัดค้านจำเลยให้การและ ฟ้องแย้งว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ทั้งสองออกทับที่ดินมีโฉนดของจำเลยขอให้ยกฟ้องและเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ทั้งสองดังนี้คดีจึงมีประเด็นพิพาทว่าที่ดินพิพาทเป็นของใครเป็น คดีมีทุนทรัพย์ เมื่อที่ดินพิพาทมีราคา150,000บาทจึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2672/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พิพาทสิทธิในที่ดิน: การทับซ้อนระหว่าง น.ส.3 กับโฉนดที่ดิน และการขอออกโฉนดใหม่
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เนื้อที่ 1 ไร่ 32 ตารางวา โจทก์ได้นำเจ้าหน้าที่รังวัดที่ดินพิพาทเพื่อขอออกโฉนดที่ดิน จำเลยได้คัดค้านการขอออกโฉนดที่ดิน ขอให้เพิกถอนคำคัดค้านการขอออกโฉนดที่ดิน จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า หนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ทั้งสองออกทับที่ดินโฉนดที่ 972 ของจำเลยขอให้ยกฟ้องและให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ทั้งสองคดีจึงมีประเด็นว่า หนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ออกทับโฉนดที่ดินของจำเลยหรือไม่ ซึ่งเป็นกรณีพิพาทกันว่าที่ดินพิพาทเป็นของใคร จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามราคาที่ดินพิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2672/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยข้อเท็จจริง เนื่องจากเป็นการโต้เถียงดุลพินิจศาลอุทธรณ์ในการรับฟังพยานหลักฐาน
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เนื้อที่ 1 ไร่ 32 ตารางวาโจทก์ได้นำเจ้าหน้าที่รังวัดที่ดินพิพาทเพื่อขอออกโฉนดที่ดินจำเลยได้คัดค้านการขอออกโฉนดที่ดิน ขอให้เพิกถอนคำคัดค้านการขอออกโฉนดที่ดิน จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ทั้งสองออกทับที่ดินโฉนดเลขที่ 972 ของจำเลยขอให้ยกฟ้องและให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ทั้งสองคดีจึงมีประเด็นว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ออกทับโฉนดที่ดินของจำเลยหรือไม่ ซึ่งเป็นกรณีพิพาทกันว่าที่ดินพิพาทเป็นของใคร จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามราคาที่ดินพิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2662/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาข้อเท็จจริงเกินกำหนด – คำสั่งไม่รับฎีกา & การยื่นคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย เพราะเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 จำเลยยื่นคำร้องต่ออธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ขอให้มีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริง อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ยกคำร้องเนื่องจากยื่นมาเกินเจ็ดวัน คำสั่งดังกล่าวนี้ย่อมเป็นที่สุดตามป.วิ.พ. มาตรา 230 วรรคสาม หากจำเลยจะกลับมาฎีกาคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาของจำเลย จำเลยก็ต้องยื่นภายใน 15 วัน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 247 ประกอบมาตรา 234 เมื่อล่วงเลยกำหนดเวลาดังกล่าวแล้ว ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2662/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฎีกาไม่ชอบเนื่องจากไม่ทำตามขั้นตอนการอุทธรณ์คำสั่งศาล และฎีกาพ้นกรอบเวลาที่กำหนด
จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเท่ากับจำเลยมิได้อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาของจำเลยเมื่ออธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตจึงยังมีผลเท่ากับศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยจำเลยต้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นไปยังศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา247ประกอบมาตรา234จำเลยจะฎีกาคำสั่งที่อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้ฎีกาไม่ได้เพราะได้ถึงที่สุดแล้วตามมาตรา230วรรคสามและจะแปลความในฎีกาของจำเลยเป็นอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาก็ไม่ได้เพราะมิได้ทำเป็นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับฎีกาตามมาตรา252
of 144