คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
นิเวศน์ คำผอง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,435 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1603/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยกเว้นภาษีเงินได้จากการขายอ้อย: พิจารณาตามช่วงเวลาที่ขายอ้อย ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ได้รับเงิน
กฎกระทรวงฉบับที่173(พ.ศ.2530)ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากรมีข้อความระบุว่าเงินได้ของชาวไร่อ้อยที่จะได้รับยกเว้นไม่ต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีต้องเป็นเงินได้ที่เกิดจากการขายอ้อยให้แก่โรงงานในระหว่างวันที่22พฤศจิกายน2529ถึงวันที่30กันยายน2530ไม่ได้ระบุให้ถือเอาวันเวลาที่ได้รับเงินจากการขายอ้อยมาเป็นข้อพิจารณาเพื่อยกเว้นภาษีด้วยดังนั้นจำนวนเงินที่โจทก์จ่ายให้แก่ชาวไร่อ้อยระหว่างเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม2530ซึ่งเป็นค่าอ้อยที่โจทก์ซื้อมาจากชาวไร่อ้อยในระหว่างวันที่1กุมภาพันธ์2530ถึงวันที่3มีนาคม2530จึงได้รับยกเว้นไม่ต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1603/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยกเว้นภาษีเงินได้จากการขายอ้อย และการจ่ายดอกเบี้ยคืนภาษีอากร
กฎกระทรวงฉบับที่ 173 (พ.ศ.2530) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ให้กำหนดเงินได้ของชาวไร่อ้อยตามกฎหมายว่าด้วยอ้อยและน้ำตาลทรายที่ได้รับจากการขายอ้อยอันเกิดจากกสิกรรมที่ตนเองและหรือครอบครัวได้ทำเอง เป็นเงินได้ตาม (17) ของมาตรา42 แห่งประมวลรัษฎากร เฉพาะที่ขายให้แก่โรงงานตามกฎหมายว่าด้วยอ้อยและน้ำตาลทราย ระหว่างวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ.2529 ถึงวันที่ 30 กันยายนพ.ศ. 2530 ซึ่งมีผลให้จำนวนเงินที่ได้จากการขายอ้อยดังกล่าวได้รับยกเว้นไม่ต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นั้นเอง
การที่จะพิจารณาว่าเงินได้ของชาวไร่อ้อยจะได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาถึงแหล่งที่มาของรายได้เป็นสำคัญ กล่าวคือถ้าเป็นเงินได้ที่ได้จากการขายอ้อยให้แก่โรงงานตามวันเวลาที่กำหนดในกฎกระทรวงแล้ว ก็ย่อมได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ทั้งสิ้น ทั้งนี้โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าชาวไร่อ้อยจะได้รับเงินดังกล่าวมาในเวลาใด
การคืนเงินภาษีอากร มาตรา 4 ทศ แห่งประมวลรัษฎากรกำหนดให้ผู้ที่ได้รับคืนเงินภาษีอากรได้รับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีอากรที่ได้รับคืนโดยไม่คิดทบต้น ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดโดยกฎกระทรวง แต่มิให้เกินกว่าจำนวนเงินภาษีอากรที่ได้รับคืน ซึ่งตามกฎกระทรวงฉบับที่ 161 (พ.ศ.2526) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการให้ดอกเบี้ยแก่ผู้ได้รับคืนเงินภาษีอากร ข้อ 1 (3) ก็มีข้อความชัดเจนว่า กรณีคืนเงินภาษีอากรที่ชำระตามการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินหรือตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือคืนเงินภาษีการค้าที่ชำระสำหรับสินค้าที่นำเข้าในหรือส่งออกนอกราชอาณาจักร ให้เริ่มคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันชำระภาษีอากร การที่ศาลภาษี-อากรกลางให้จำเลยที่ 1 รับผิดชำระดอกเบี้ยจากจำนวนเงินภาษีที่จะต้องคืนให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จโดยโจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้าน จึงนับว่าเป็นผลดีแก่จำเลยที่ 1 มากแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1603/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยกเว้นภาษีเงินได้ชาวไร่อ้อย: พิจารณาจากช่วงเวลาขายอ้อย ไม่ใช่ช่วงเวลาได้รับเงิน
กฎกระทรวงฉบับที่ 173(พ.ศ. 2530) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร มีข้อความระบุว่า เงินได้ของชาวไร่อ้อยที่จะได้รับยกเว้นไม่ต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษี ต้องเป็นเงินได้ที่เกิดจากการขายอ้อยให้แก่โรงงานในระหว่างวันที่ 22 พฤศจิกายน 2529 ถึงวันที่ 30กันยายน 2530 ไม่ได้ระบุให้ถือเอาวันเวลาที่ได้รับเงินจากการขายอ้อยมาเป็นข้อพิจารณาเพื่อยกเว้นภาษีด้วยดังนั้นจำนวนเงินที่โจทก์จ่ายให้แก่ชาวไร่อ้อยระหว่างเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม 2530 ซึ่งเป็นค่าอ้อยที่โจทก์ซื้อมาจากชาวไร่อ้อยในระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2530 ถึงวันที่ 3 มีนาคม2530 จึงได้รับยกเว้นไม่ต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1602/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินภาษีล่วงหน้าก่อนกำหนดเวลายื่นรายการ การประเมินภาษีย้อนหลังขัดต่อมาตรา 18 ทวิ
ตามประมวลรัษฎากรมาตรา18ทวิวรรคแรกกำหนดให้อำนาจเจ้าพนักงานประเมินทำการประเมินภาษีอากรก่อนถึงกำหนดสำหรับภาษีการค้าที่ใช้บังคับอยู่ขณะนั้นมาตรา85ทวิและมาตรา86กำหนดให้ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการชำระภาษีและยื่นแบบแสดงรายการภายในวันที่15ของเดือนถัดไปเว้นแต่อธิบดีจะกำหนดเป็นอย่างอื่นโดยกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการสามารถขยายหรือเลื่อนกำหนดออกไปได้อีกถ้าอธิบดีหรือรัฐมนตรีเห็นเป็นการสมควรตามความจำเป็นแก่กรณีตามมาตรา3อัฏฐเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในช่วงปี2527ถึง2529ไม่มีประกาศให้ขยายหรือเลื่อนกำหนดเวลาออกไปการที่เจ้าพนักงานประเมินประเมินภาษีการค้าดอกเบี้ยค้างรับเมื่อวันที่27กรกฎาคม2531โดยประเมินเป็นภาษีการค้าสำหรับเดือนภาษีในปี2527ถึง2529จึงเป็นการประเมินภายหลังจากพ้นกำหนดเวลายื่นรายการการค้าสำหรับเดือนภาษีในปี2527ถึง2529ไปแล้วซึ่งเป็นการประเมินย้อนหลังมิใช่ประเมินล่วงหน้าก่อนถึงกำหนดเวลายื่นรายการจึงเป็นการประเมินที่ขัดต่อมาตรา18ทวิ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1601/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องเท็จและเบิกความเท็จเกี่ยวกับเช็ค โดยรู้อยู่แล้วว่าไม่มีมูลความผิดทางอาญา
โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับข้อหาความผิดฐานเบิกความเท็จว่าโจทก์ทั้งสองร่วมกันออกเช็คร่วมกับผู้มีชื่อให้แก่จำเลยเพื่อชำระหนี้ค่าซื้อที่ดินธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คดังกล่าวจำเลยจึงฟ้องขอให้ลงโทษโจทก์ทั้งสองตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2497มาตรา3จำเลยได้เบิกความอันเป็นเท็จในชั้นไต่สวนมูลฟ้องและในชั้นพิจารณาในคดีดังกล่าวว่าจำเลยได้รับเช็คจากโจทก์ทั้งสองเป็นการชำระหนี้ค่าซื้อที่ดินความจริงเช็คดังกล่าวมิได้ลงวันที่สั่งจ่ายเป็นเช็คที่โจทก์ทั้งสองสั่งจ่ายให้จำเลยเป็นประกันหนี้ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินที่โจทก์ที่1จะซื้อจากจำเลยไม่ใช่เช็คที่ออกให้จำเลยเพื่อชำระหนี้ซึ่งข้อความที่จำเลยเบิกความต่อศาลนั้นเป็นข้อสำคัญในคดีศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องของจำเลยโดยเห็นว่าเช็คฉบับดังกล่าวเป็นเช็คที่ไม่ได้ลงวันที่สั่งจ่ายโจทก์ทั้งสองไม่ได้กระทำผิดตามที่จำเลยกล่าวหาดังนี้แม้คดีนี้โจทก์ได้รับบรรยายฟ้องเพียงว่าข้อความที่จำเลยเบิกความต่อศาลนั้นเป็นข้อสำคัญในคดีโดยมิได้บรรยายรายละเอียดว่าข้อความอันเป็นเท็จที่จำเลยเบิกความเป็นข้อสำคัญในคดีก่อนอย่างไรก็ตามแต่ฟ้องของโจทก์ย่อมมีความหมายอยู่ในตัวว่าข้อความเท็จที่จำเลยเบิกความดังกล่าวเป็นข้อสำคัญในคดีที่จำเลยฟ้องขอให้ลงโทษโจทก์ทั้งสองในข้อหาออกเช็คโดยเจตนาเพื่อไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คเพราะหากเป็นความจริงดังที่จำเลยเบิกความว่าโจทก์ทั้งสองออกเช็คเพื่อชำระหนี้ค่าซื้อที่ดินมิใช่การออกเช็คโดยมิได้ลงวันที่สั่งจ่ายให้แก่จำเลยเพื่อประกันหนี้ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแล้วการกระทำของโจทก์ทั้งสองอาจเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2497มาตรา3และศาลก็อาจพิพากษาลงโทษโจทก์ทั้งสองตามฟ้องของจำเลยได้ข้อความที่จำเลยเบิกความจึงเป็นข้อแพ้ชนะในคดีดังกล่าวถือได้ว่าเป็นข้อสำคัญในคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ทั้งสองดังกล่าวคำเบิกความของจำเลยตามที่โจทก์บรรยายฟ้องย่อมเป็นข้อสำคัญในคดีที่เข้าใจได้อยู่ในตัวเองฟ้องของโจทก์จึงมีข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วเป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา158(5) เมื่อขณะที่มอบเช็คให้จำเลยยังไม่มีวันที่สั่งจ่ายและรอยตราประทับของโจทก์ที่1การที่จำเลยนำเช็คฉบับดังกล่าวไปฟ้องกล่าวหาว่าโจทก์ทั้งสองร่วมกันออกเช็คโดยเจตนาไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2497มาตรา3และเบิกความตามคำฟ้องดังกล่าวเป็นการกระทำที่จำเลยรู้อยู่แล้วว่าการออกเช็คดังกล่าวของโจทก์ทั้งสองไม่มีมูลความผิดทางอาญาตามพระราชบัญญัติดังกล่าวการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1601/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานเบิกความเท็จและฟ้องเท็จจากเช็คที่ยังมิได้ลงวันที่ การเบิกความเท็จเป็นข้อสำคัญในคดี
โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับข้อหาความผิดฐานเบิกความเท็จว่าโจทก์ทั้งสองร่วมกันออกเช็คร่วมกับผู้มีชื่อให้แก่จำเลยเพื่อชำระหนี้ค่าซื้อที่ดิน ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คดังกล่าว จำเลยจึงฟ้องขอให้ลงโทษโจทก์ทั้งสองตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 มาตรา 3 จำเลยได้เบิกความอันเป็นเท็จในชั้นไต่สวนมูลฟ้องและในชั้นพิจารณาในคดีดังกล่าวว่า จำเลยได้รับเช็คจากโจทก์ทั้งสองเป็นการชำระหนี้ค่าซื้อที่ดิน ความจริงเช็คดังกล่าวมิได้ลงวันที่สั่งจ่าย เป็นเช็คที่โจทก์ทั้งสองสั่งจ่ายให้จำเลยเป็นประกันหนี้ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินที่โจทก์ที่ 1 จะซื้อจากจำเลย ไม่ใช่เช็คที่ออกให้จำเลยเพื่อชำระหนี้ซึ่งข้อความที่จำเลยเบิกความต่อศาลนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องของจำเลยโดยเห็นว่าเช็คฉบับดังกล่าวเป็นเช็คที่ไม่ได้ลงวันที่สั่งจ่าย โจทก์ทั้งสองไม่ได้กระทำผิดตามที่จำเลยกล่าวหา ดังนี้ แม้คดีนี้โจทก์ได้บรรยายฟ้องเพียงว่าข้อความที่จำเลยเบิกความต่อศาลนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี โดยมิได้บรรยายรายละเอียดว่าข้อความอันเป็นเท็จที่จำเลยเบิกความเป็นข้อสำคัญในคดีก่อนอย่างไรก็ตาม แต่ฟ้องของโจทก์ย่อมมีความหมายอยู่ในตัวว่าข้อความเท็จที่จำเลยเบิกความดังกล่าวเป็นข้อสำคัญในคดีที่จำเลยฟ้องขอให้ลงโทษโจทก์ทั้งสองในข้อหาออกเช็คโดยเจตนาเพื่อไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค เพราะหากเป็นความจริงดังที่จำเลยเบิกความว่าโจทก์ทั้งสองออกเช็คเพื่อชำระหนี้ค่าซื้อที่ดิน มิใช่การออกเช็คโดยมิได้ลงวันที่สั่งจ่ายให้แก่จำเลยเพื่อประกันหนี้ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแล้ว การกระทำของโจทก์ทั้งสองอาจเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2497 มาตรา 3 และศาลก็อาจพิพากษาลงโทษโจทก์ทั้งสองตามฟ้องของจำเลยได้ ข้อความที่จำเลยเบิกความจึงเป็นข้อแพ้ชนะในคดีดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นข้อสำคัญในคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ทั้งสองดังกล่าว คำเบิกความของจำเลยตามที่โจทก์บรรยายฟ้องย่อมเป็นข้อสำคัญในคดีที่เข้าใจได้อยู่ในตัวเอง ฟ้องของโจทก์จึงมีข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว เป็นฟ้องที่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5)
เมื่อขณะที่มอบเช็คให้จำเลยยังไม่มีวันที่สั่งจ่ายและรอยตราประทับของโจทก์ที่ 1 การที่จำเลยนำเช็คฉบับดังกล่าวไปฟ้องกล่าวหาว่าโจทก์ทั้งสองร่วมกันออกเช็คโดยเจตนาไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 มาตรา 3 และเบิกความตามคำฟ้องดังกล่าวเป็นการกระทำที่จำเลยรู้อยู่แล้วว่าการออกเช็คดังกล่าวของโจทกก์ทั้งสองไม่มีมูลความผิดทางอาญาตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1564/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตความคุ้มครองประกันภัย และอำนาจฟ้องของบุคคลภายนอก
แม้กรมธรรม์ประกันภัยจะคุ้มครองผู้ขับขี่รถยนต์ที่ได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยเสมือนหนึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยเอง ก็หมายความเพียงว่านอกจากผู้รับประกันภัยต้องรับผิดในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยกระทำละเมิดต่อผู้อื่นแล้ว ยังยอมรับผิดในกรณีที่ผู้อื่นเป็นผู้กระทำละเมิดโดยผู้นั้นได้ขับรถยนต์คันที่เอาประกันภัยด้วยความยินยอมของผู้เอาประกันภัยเท่านั้น หาได้หมายความถึงว่าให้สิทธิแก่ผู้นั้นเข้าสวมสิทธิของผู้เอาประกันภัยไม่ เมื่อโจทก์ไม่ได้เป็นคู่สัญญากับจำเลย และไม่มีนิติสัมพันธ์กับผู้เอาประกันภัยในอันที่ผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดในการทำละเมิดของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลย ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรับผิดชดใช้เงินที่โจทก์จ่ายเป็นค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายคืนได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1564/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องในสัญญาประกันภัยค้ำจุน: โจทก์ผู้กระทำละเมิดไม่มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลยผู้รับประกันภัยโดยตรง
สัญญาประกันภัยค้ำจุนคือสัญญาซึ่งผู้รับประกันภัยจะต้องรับผิดในความวินาศภัยที่เกิดขึ้นต่อบุคคลภายนอกต่อเมื่อผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดชอบเมื่อโจทก์ไม่ได้เป็นคู่สัญญากับจำเลยและไม่ปรากฏว่าโจทก์มีนิติสัมพันธ์อันใดกับผู้เอาประกันภัยในอันที่ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดในการกระทำละเมิดของโจทก์ต่อบุคคลภายนอกโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยชดใช้เงินที่โจทก์จ่ายเป็นค่าเสียหายให้แก่บุคคลภายนอกคืนได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1527/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเรียกเก็บอากรขาเข้าเพิ่มตามมาตรา 112 ตรี ไม่ครอบคลุมกรณีผิดเงื่อนไขการค้ำประกันตามมาตรา 19 ทวิ/19 ตรี
การที่จะเรียกอากรขาเข้าเพิ่มอีกร้อยละยี่สิบตามพระราชบัญญัติศุลกากรฯมาตรา112ตรีนั้นมีได้2กรณีคือกรณีที่มิได้ชำระเงินอากรครบถ้วนตามมาตรา112ทวิกับกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามระเบียบหรือเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนดตามมาตรา40เท่านั้นไม่รวมถึงกรณีที่ปฏิบัติผิดเงื่อนไขตามมาตรา19ตรีทั้งสาระสำคัญของมาตรา40กับมาตรา19ตรีก็แตกต่างกันกล่าวคือตามมาตรา40นั้นกำหนดเงื่อนไขในการที่ผู้นำเข้าจะนำของออกจากอารักขาของศุลกากรทั่วๆไปแต่มาตรา19ตรีเป็นเรื่องการค้ำประกันการนำเข้าที่เกี่ยวเนื่องกับมาตรา19ทวิที่เกี่ยวกับสิทธิในการขอคืนอากรขาเข้าและเป็นกรณีสำหรับเฉพาะสินค้าหรือสิ่งของบางประการหรือบางกรณีดังนั้นบทบัญญัติตามมาตรา40จึงมิได้ใช้บังคับกรณีตามมาตรา19ทวิและ19ตรีเมื่อการจะเรียกอากรขาเข้าเพิ่มตามมาตรา112ตรีมิได้ระบุถึงกรณีตามมาตรา19ทวิและ19ตรีจึงไม่อยู่ในข่ายที่จะเรียกอากรขาเข้าเพิ่มตามมาตรา112ตรีได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1527/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการเรียกเก็บอากรเพิ่มเติมตาม พ.ร.บ.ศุลกากร: เงื่อนไขและข้อแตกต่างของมาตรา
การเรียกอากรขาเข้าเพิ่มเอีกร้อยละยี่สิบตาม พ.ร.บ.ศุลกากรพ.ศ.2469 มาตรา 112 ตรี นั้น มีได้เฉพาะสองกรณีคือ กรณีมิได้ชำระอากรครบถ้วนตามมาตรา 112 ทวิ ประการหนึ่ง กับกรณีมิได้ปฏิบัติตามระเบียบหรือเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนดตามมาตรา 40 อีกประการหนึ่ง มิได้มีกรณีที่ปฏิบัติผิดเงื่อนไขตามมาตรา19 ตรีแต่อย่างใด และสาระสำคัญของมาตรา 40 กับมาตรา 19 ตรี ก็แตกต่างกันกล่าวคือ มาตรา 40 เป็นเรื่องกำหนดเงื่อนไขในการที่ผู้นำเข้าจะนำของออกจากอารักขาของศุลกากรทั่ว ๆ ไป แต่มาตรา 19 ตรีเป็นเรื่องค้ำประกันการนำเข้าที่เกี่ยวเนื่องกับมาตรา 19 ทวิ ที่เกี่ยวกับสิทธิในการจะขอคืนอากรขาเข้าและเป็นกรณีสำหรับเฉพาะสินค้าหรือสิ่งของบางประเภทหรือบางกรณีเท่านั้น บทบัญญัติมาตรา40 จึงมิได้ใช้บังคับกับกรณีมาตรา 19 ทวิ และ 19 ตรี และเป็นคนละเรื่องกัน
of 144