คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
นิเวศน์ คำผอง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,435 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 165/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินภาษีล่วงหน้าตามมาตรา 18 ทวิ ต้องทำก่อนถึงกำหนดเวลายื่นแบบฯ หากเกินกำหนดการประเมินนั้นไม่ชอบ
การออกหมายเรียกเพื่อประเมินภาษีการค้าล่วงหน้าตามมาตรา18ทวิแห่งประมวลรัษฎากรเจ้าพนักงานประเมินไม่จำต้องระบุเลขมาตราเนื่องจากประมวลรัษฎากรไม่ได้กำหนดไว้ว่าในการออกหมายเรียกเพื่อตรวจสอบภาษีอากรจะต้องระบุมาตราที่จะใช้ในการประเมินภาษีอากรแต่อย่างใด การประเมินเรียกเก็บภาษีล่วงหน้าตามมาตรา18ทวินั้นกำหนดให้เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจเรียกเก็บได้ก่อนถึงกำหนดเวลายื่นรายการเมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าได้มีการขยายหรือเลื่อนกำหนดระยะเวลาสำหรับการยื่นแบบแสดงรายการการค้าของโจทก์สำหรับเดือนภาษีในรอบระยะเวลาบัญชีปี2528และ2529การที่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยประเมินภาษีการค้าของโจทก์สำหรับเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมีนาคม2528และของเดือนเมษายนถึงมีนาคม2529ล่วงหน้าตามมาตรา18ทวิเมื่อวันที่27มิถุนายน2531จึงเป็นการประเมินหลังจากพ้นกำหนดเวลายื่นรายการการค้าสำหรับเดือนภาษีในรอบระยะเวลาบัญชีปี2528และ2529แล้วการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินจึงไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 149/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย: ผู้ถูกทำร้ายมีสิทธิป้องกันตนเองเมื่อถูกทำร้ายก่อน
ฝ่ายผู้เสียหายเป็นฝ่ายหาเหตุ และเป็นฝ่ายเข้าตีทำร้ายร่างกายฝ่ายจำเลยทั้งสี่ก่อน เมื่อผู้เสียหายกับพวกเข้าทำร้ายก่อนโดยละเมิดต่อกฎหมายเช่นนี้ จำเลยทั้งสี่ย่อมมีสิทธิที่จะป้องกันตัวให้พ้นภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายอันเป็นภัยที่ใกล้จะถึงเช่นนั้นได้ เมื่อฝ่ายจำเลยทั้งสี่มีจำนวนคนน้อยกว่าฝ่ายผู้เสียหาย ประกอบกับอาวุธที่ใช้กันก็เป็นพลั่ว จอบเสียม และมีด อันมีสภาพเป็นเครื่องมือสำหรับชาวนาใช้ในการทำนา ซึ่งปกติมีติดตัวอยู่ และบาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับก็ไม่ร้ายแรงมากนัก จึงถือได้ว่าจำเลยทั้งสี่กระทำไปพอสมควรแก่เหตุ จำเลยทั้งสี่จึงไม่มีความผิดตาม ป.อ.มาตรา 295และ 297
ปรากฎตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นว่าจำเลยทั้งสี่แถลงหมดพยานบุคคล คงติดใจที่จะขอให้นำสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่2558-2559/2533 ของศาลชั้นต้นมาผูกรวมติดเข้ากับสำนวนคดีนี้ ศาลชั้นต้นอนุญาต ดังนี้ เมื่อจำเลยทั้งสี่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานไว้แล้วและยังสืบพยานจำเลยทั้งสี่ไม่เสร็จ จำเลยทั้งสี่ย่อมมีสิทธิต่อสู้คดีอย่างเต็มที่โดยอ้างพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้อีกแม้จำเลยทั้งสี่จะมิได้ระบุอ้างสำนวนคดีอาญาดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานโดยยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมไว้ แต่การที่จำเลยทั้งสี่แถลงดังกล่าวย่อมแสดงให้เห็นถึงเจตนาของจำเลยทั้งสี่อย่างแจ้งชัดว่าประสงค์จะอ้างสำนวนคดีอาญานั้นทั้งสำนวนเป็นพยานหลักฐานของจำเลยในคดีนี้ด้วย เมื่อศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้นำสำนวนคดีอาญาดังกล่าวมาผูกติดกับสำนวนคดีนี้ สำนวนคดีอาญานั้นจึงเป็นพยานหลักฐานในคดีนี้แล้ว เมื่อคำเบิกความของ พ. อยู่ในสำนวนคดีอาญานั้นด้วย คำเบิกความของ พ.คดีดังกล่าวจึงเป็นพยานหลักฐานในคดีนี้ ชอบที่ศาลจะนำมาฟังประกอบการวินิจฉัยคดีนี้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 149/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ เมื่อฝ่ายผู้เสียหายเป็นผู้เริ่มทำร้ายและมีจำนวนมากกว่า
ผู้เสียหายกับพวกมีเครื่องหมายแสดงให้เห็นว่าเป็นพวกเดียวกันร้องรำทำเพลงอันมีลักษณะเตรียมการล่วงหน้ากันมาก่อนแล้วปลูกต้นกล้วยในทางที่รู้ว่าจำเลยกับพวกจะต้องผ่านเมื่อจำเลยกับพวกขอผ่านเพื่อกลับบ้านผู้เสียหายกับพวกไม่ยอมหลีกทางให้และเข้าทำร้ายจำเลยกับพวกซึ่งมีจำนวนน้อยกว่าก่อนจึงเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงจำเลยย่อมมีสิทธิที่จะป้องกันตัวให้พ้นภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายได้ทั้งอาวุธที่จำเลยกับพวกใช้ก็เป็นเพียงเครื่องใช้ปกติในการประกอบอาชีพและบาดแผลที่ผู้เสียหายกับพวกได้รับไม่ร้ายแรงมากนักถือว่าจำเลยป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุจำเลยจึงไม่มีความผิด จำเลยได้ยื่นบัญชีระบุพยานไว้แล้วและยังสืบพยานไม่เสร็จได้ขอให้นำสำนวนคดีอาญาอื่นมาผูกรวมกับสำนวนโดยจำเลยมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานส่วนนี้เพิ่มเติมศาลอนุญาตดังนี้สำนวนคดีอาญาดังกล่าวจึงเป็นพยานหลักฐานในคดีนี้แล้วศาลชอบที่จะนำคำเบิกความของพยานบุคคลในสำนวนนั้นมาฟังประกอบวินิจฉัยคดีนี้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 127/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงชดใช้ค่าเสียหายหลังอุบัติเหตุ ไม่ถือเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ
หลังเกิดเหตุรถยนต์ชนกัน โจทก์ที่ 2 เจ้าของรถยนต์ฝ่ายหนึ่งได้เจรจากับ พ. คนขับรถยนต์คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นฝ่ายประมาท พ.ยินยอมชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมดโดยการซ่อมรถยนต์ให้อยู่ในสภาพดี ใช้การได้ดีเหมือนเดิมและยินดีชดใช้ค่าสินค้าที่บรรทุกมาซึ่งได้รับความเสียหายด้วย และทั้งสองฝ่ายตกลงกันอีกว่าจะไม่เรียกร้องหรือฟ้องเรียกค่าเสียหายในทางแพ่งอีกต่อไป เอกสารข้อตกลงดังกล่าวเป็นเพียงหนังสือที่ พ.ยอมรับสภาพต่อโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องโดยไม่มีรายละเอียดหรือข้อตกลงที่แน่นอนเกี่ยวกับจำนวนเงินที่จะต้องชำระ วิธีการชำระอันจะทำให้ปราศจากการโต้แย้งกันอีก จึงมิใช่เป็นการระงับข้อพิพาทในมูลละเมิด กรณีมิใช่สัญญาประนีประนอมยอมความอันจะทำให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายจ้างของ พ. และจำเลยที่ 2 ผู้รับประกันภัยรถยนต์ของจำเลยที่ 1 หลุดพ้นความรับผิดในมูลละเมิดนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 127/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงซ่อมรถยนต์และชดใช้ค่าเสียหายในรายงานประจำวัน ไม่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ
ข้อความในสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีที่พนักงานสอบสวนบันทึกไว้เป็นเรื่องที่โจทก์ที่2ผู้เป็นเจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องให้ พ. ผู้ทำละเมิดชดใช้ค่าเสียหายในการซ่อมรถยนต์ให้อยู่ในสภาพใช้การได้ดีและชดใช้ค่าสินค้าที่บรรทุกมาได้รับความเสียหายด้วยแต่เมื่อไม่มีรายละเอียดหรือข้อตกลงที่แน่นอนเกี่ยวกับจำนวนเงินที่จะต้องชำระวิธีการชำระอันจะทำให้ปราศจากการโต้แย้งกันอีกมิใช่เป็นการระงับข้อพิพาทในมูลละเมิดจึงมิใช่สัญญาประนีประนอมยอมความอันจะทำให้จำเลยที่1ซึ่งเป็นนายจ้างของ พ.และจำเลยที่2ผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์ของจำเลยที่1หลุดพ้นความรับผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 127/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความต้องมีรายละเอียดชัดเจน การตกลงชดใช้ค่าเสียหายเบื้องต้นยังไม่ถือเป็นสัญญาประนีประนอม
หลังเกิดเหตุรถยนต์ชนกันโจทก์ที่2เจ้าของรถยนต์ฝ่ายหนึ่งได้เจรจากับ พ. คนขับรถยนต์คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นฝ่ายประมาท พ. ยินยอมชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมดโดยการซ่อมรถยนต์ให้อยู่ในสภาพดีใช้การได้ดีเหมือนเดิมและยินดีชดใช้ค่าสินค้าที่บรรทุกมาซึ่งได้รับความเสียหายด้วยและทั้งสองฝ่ายตกลงกันอีกว่าจะไม่เรียกร้องหรือฟ้องเรียกค่าเสียหายในทางแพ่งอีกต่อไปเอกสารข้อตกลงดังกล่าวเป็นเพียงหนังสือที่ พ. ยอมรับสภาพต่อโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องโดยไม่มีรายละเอียดหรือข้อตกลงที่แน่นอนเกี่ยวกับจำนวนเงินที่จะต้องชำระวิธีการชำระอันจะทำให้ปราศจากการโต้แย้งกันอีกจึงมิใช่เป็นการระงับข้อพิพาทในมูลละเมิดกรณีมิใช่สัญญาประนีประนอมยอมความอันจะทำให้จำเลยที่1ซึ่งเป็นนายจ้างของพ. และจำเลยที่2ผู้รับประกันภัยรถยนต์ของจำเลยที่1หลุดพ้นความรับผิดในมูลละเมิดนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 77/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับโอนสิทธิเรียกร้องในตั๋วสัญญาใช้เงิน ความผูกพันของผู้สลักหลัง และอายุความ
จำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสลักหลังลอยตั๋วสัญญาใช้เงินทั้ง9ฉบับจำเลยจึงมีความผูกพันร่วมกับบริษัทจ.ผู้ออกตั๋วรับผิดตามตั๋วสัญญาใช้เงินทั้ง9ฉบับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา919,967และ985 โจทก์แจ้งการรับโอนสิทธิเรียกร้องและทวงถามหนี้จากจำเลยเมื่อวันที่24พฤศจิกายน2530จำเลยได้รับการแจ้งการโอนสิทธิเรียกร้องและทวงถามเมื่อวันที่26พฤศจิกายน2530กรณีเช่นนี้ถือว่าสิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่มีต่อจำเลยมีผลตามกฎหมายเมื่อวันที่26พฤศจิกายน2530ซึ่งเป็นวันที่โจทก์ทวงถามจำเลยให้ใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินเป็นวันเริ่มต้นถึงกำหนดใช้เงินเพราะก่อนหน้านั้นจำเลยยังไม่มีหน้าที่ต้องรับผิดในการใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาทเพียงแต่ว่าโจทก์มีสิทธิจะเรียกร้องทวงถามให้ใช้เงินได้ทันทีเท่านั้นเมื่อจำเลยทราบแล้วเพิกเฉยไม่ชำระจึงตกเป็นผู้ผิดนัดอายุความแห่งสิทธิเรียกร้องของโจทก์ต้องเริ่มนับแต่วันที่26พฤศจิกายน2530โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่23ธันวาคม2530ยังไม่เกิน1ปีนับแต่โจทก์มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลยคดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 77/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความสิทธิเรียกร้องตามตั๋วสัญญาใช้เงิน เริ่มนับแต่วันทวงถามหนี้หลังการโอนสิทธิ
จำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสลักหลังลอยตั๋วสัญญาใช้เงินทั้ง 9ฉบับ จำเลยจึงมีความผูกพันร่วมกับบริษัท จ. ผู้ออกตั๋วรับผิดตามตั๋วสัญญาใช้เงินทั้ง 9 ฉบับ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 919, 967 และ 985
โจทก์แจ้งการรับโอนสิทธิเรียกร้อง และทวงถามหนี้จากจำเลยเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2530 จำเลยได้รับการแจ้งการโอนสิทธิเรียกร้องและทวงถามเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2530 กรณีเช่นนี้ถือว่าสิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่มีต่อจำเลยมีผลตามกฎหมายเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2530 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์ทวงถามจำเลยให้ใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินเป็นวันเริ่มต้นถึงกำหนดใช้เงิน เพราะก่อนหน้านั้นจำเลยยังไม่มีหน้าที่ต้องรับผิดในการใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาทเพียงแต่ว่าโจทก์มีสิทธิจะเรียกร้องทวงถามให้ใช้เงินได้ทันทีเท่านั้น เมื่อจำเลยทราบแล้วเพิกเฉยไม่ชำระจึงตกเป็นผู้ผิดนัด อายุความแห่งสิทธิเรียกร้องของโจทก์ต้องเริ่มนับแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน 2530 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม2530 ยังไม่เกิน 1 ปี นับแต่โจทก์มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลย คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 72/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซื้อขายไม่อาจถือเป็นฟ้องซ้อนคดีอาญาฉ้อโกง แม้คำขอท้ายฟ้องคล้ายกัน หากมูลเหตุต่างกัน
โจทก์ได้ผลิตกระเป๋าส่งมอบให้แก่จำเลยรับไปครบถ้วนตามสัญญาซื้อขายแล้วแต่จำเลยยังค้างชำระค่ากระเป๋าอยู่อีกร้อยละ75โจทก์จึงชอบที่จะฟ้องบังคับให้จำเลยชำระราคาทรัพย์สินของโจทก์ซึ่งจำเลยซื้อไปและยังไม่ได้ชำระราคาได้แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องด้วยว่าจำเลยเจตนาฉ้อโกงก็เป็นการบรรยายฟ้องในลักษณะเล่าเรื่องตามความเข้าใจของโจทก์เองว่าถูกจำเลยหลอกลวงให้ทำกระเป๋าโดยจ่ายเงินเพียงร้อยละ25ของราคาทั้งหมดการจะปรับข้อเท็จจริงตามคำฟ้องว่าเข้าลักษณะสัญญาหรือละเมิดเป็นข้อหารือบทเป็นหน้าที่ของศาลที่จะปรับกฎหมายเองแม้โจทก์จะกล่าวในฟ้องว่าเป็นเรื่องเรียกทรัพย์คืนหรือใช้ราคาก็หาเป็นเรื่องละเมิดเสมอไปไม่ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมายศาลมีอำนาจวินิจฉัยไปตามฟ้องได้ว่าเป็นเรื่องซื้อขายไม่เป็นการนอกฟ้อง ในคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยฐานร่วมกันฉ้อโกงและขอให้คืนหรือใช้ราคาเงินค่ากระเป๋าที่ฉ้อโกงซึ่งเป็นผู้เสียหายไปศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้องแต่การขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ให้ผู้เสียหายที่พนักงานอัยการขอมาแม้จะถือว่าเป็นการขอแทนโจทก์ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา43ก็ตามแต่ก็เป็นกรณีที่ความเสียหายนั้นเนื่องจากการกระทำผิดอาญาเท่านั้นส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาซื้อขายที่เป็นบ่อเกิดแห่งหนี้ที่จะใช้สิทธิเรียกร้องในมูลแห่งสัญญาซื้อขายที่มีต่อกันอยู่ในคดีอาญาดังกล่าวกับคดีนี้ถึงแม้คำขอบังคับจะมีการขอคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นอย่างเดียวกันก็ตามแต่ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาก็มิได้เป็นอย่างเดียวกันซึ่งในคดีอาญาข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อที่พนักงานอัยการขอบังคับในส่วนแพ่งมาจากการกระทำผิดอาญาอันเป็นการเรียกร้องในมูลหนี้ละเมิดอันเกิดจากข้อกล่าวหาว่าฉ้อโกงแต่คดีนี้มีที่มาจากมูลหนี้แห่งสัญญาซื้อขายโดยโจทก์เรียกร้องเอามูลค่าทรัพย์สินของโจทก์ที่จำเลยยังค้างชำระอยู่มิใช่ฟ้องคดีในเรื่องเดียวกันฟ้องของโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา173วรรคสอง(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 72/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความแตกต่างระหว่างมูลหนี้สัญญาซื้อขายกับมูลหนี้ละเมิด: การฟ้องเรียกราคาซื้อขายไม่เป็นการฟ้องซ้อน
ตามคำฟ้องบรรยายว่า โจทก์ประกอบธุรกิจรับผลิตกระเป๋าหนังเมื่อมีลูกค้าสั่งทำสั่งซื้อ โจทก์ก็จะทำการผลิตตามที่ลูกค้ากำหนดแล้วส่งมอบให้แก่ลูกค้าเมื่อจำเลยในฐานะลูกค้าสั่งให้โจทก์ผลิตกระเป๋าส่งให้ ความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยต่างมีเจตนาให้มีการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์คือกระเป๋าหนังโดยโจทก์ในฐานะผู้ขายโอนกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินให้แก่จำเลยในฐานะผู้ซื้อและผู้ซื้อตอบแทนด้วยการใช้ราคา อันมีลักษณะเป็นสัญญาซื้อขาย มิใช่เป็นสัญญาจ้างทำของ
โจทก์ได้ผลิตกระเป๋าส่งมอบให้แก่จำเลยรับไปครบถ้วนตามข้อตกลงแล้ว แต่จำเลยยังค้างชำระค่ากระเป๋าอยู่อีกร้อยละ 75 โจทก์จึงชอบที่จะฟ้องบังคับให้จำเลยชำระราคาทรัพย์สินของโจทก์ซึ่งจำเลยซื้อไปและยังไม่ได้ชำระราคาได้ แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องด้วยว่าจำเลยเจตนาฉ้อโกงโจทก์ก็เป็นการบรรยายฟ้องในลักษณะเล่าเรื่องตามความเข้าใจของโจทก์เองว่าถูกจำเลยหลอกลวงให้ทำกระเป๋าโดยจ่ายเงินเพียงร้อยละ 25 ของราคาทั้งหมด การจะปรับข้อเท็จจริงตามคำฟ้องว่าเข้าลักษณะสัญญาหรือละเมิดนั้นเป็นข้อหารือบทเป็นหน้าที่ของศาลที่จะปรับบทกฎหมายเอง แม้จะกล่าวในฟ้องว่าเป็นเรื่องเรียกทรัพย์คืนหรือใช้ราคาก็หาเป็นเรื่องละเมิดเสมอไปไม่ ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมาย และศาลมีอำนาจวินิจฉัยไปตามฟ้องได้ ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นและไม่เกินคำขอ
ในคดีอาญาเรื่องก่อน พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในฐานความผิดร่วมกันฉ้อโกง และขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ฉ้อโกงไป ซึ่งศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้อง แต่การขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ให้ผู้เสียหายที่พนักงานอัยการขอมาในคำฟ้องคดีอาญานั้น แม้จะถือว่าเป็นการขอแทนผู้เสียหาย ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.อ.มาตรา 43 ก็ตาม แต่ก็เป็นกรณีที่ความเสียหายนั้นเนื่องมาจากการกระทำผิดอาญาเท่านั้น ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาซื้อขายที่ทำให้เป็นบ่อเกิดแห่งหนี้ที่จะใช้สิทธิเรียกร้องในมูลแห่งสัญญาซื้อขายที่มีต่อกันอยู่ ในคดีอาญาดังกล่าวกับคดีนี้ถึงแม้คำขอบังคับจะมีการขอคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นอย่างเดียวกันคือขอให้จำเลยใช้ราคาทรัพย์กระเป๋าหนังที่จำเลยรับไป แต่ยังค้างชำระราคาแก่โจทก์อยู่ แต่ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหามิได้เป็นอย่างเดียวกัน เพราะในคดีอาญานั้นข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาที่พนักงานอัยการขอบังคับในส่วนแพ่งเป็นที่เห็นได้ว่ามาจากข้ออ้างเนื่องจากการกระทำผิดอาญาอันเป็นการเรียกร้องในมูลหนี้ละเมิดอันเกิดจากข้อกล่าวหาว่าฉ้อโกง ส่วนคดีนี้มีที่มาจากมูลหนี้แห่งสัญญาซื้อขาย โดยโจทก์เรียกร้องเอามูลค่าทรัพย์สินของโจทก์ที่จำเลยยังค้างชำระราคาอยู่ มิใช่ฟ้องคดีในเรื่องเดียวกันฟ้องของโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนตาม ป.วิ.พ.มาตรา 173 วรรคสอง (1) ทั้งกรณีไม่ใช่เป็นการฟ้องซ้ำ เพราะขณะโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ คดีอาญาเรื่องก่อนดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลและยังมิได้มีคำพิพากษาถึงที่สุด
of 144