คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
นิเวศน์ คำผอง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,435 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6187/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คไม่มีมูลหนี้ ทายาทไม่ต้องรับผิด แม้ฟ้องร่วมกัน ศาลฎีกามีอำนาจตัดสินถึงจำเลยอื่น
โจทก์ฟ้องอ้างว่า โจทก์เป็นผู้ทรงคนแรก ได้สลักหลังโอนขายเช็คแก่ผู้อื่น เมื่อเช็ครับเงินไม่ได้จึงได้ใช้เงินตามเช็คไป และรับเช็คคืนมา โจทก์จึงกลับคืนสู่ฐานะผู้ทรงตามเดิม มิใช่ผู้สลักหลัง ฟ้องโจทก์จึงต้องใช้อายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1002 ผู้ตายได้ออกเช็คให้แก่โจทก์ไว้ ต่อมาผู้ตายได้ออกเช็คฉบับใหม่ให้แก่โจทก์ไว้แทนเช็คฉบับเก่าแล้ว เช็คฉบับเก่าจึงเป็นเช็คที่ไม่มีมูลหนี้ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องให้จำเลยที่ 5 ในฐานะทายาทของผู้ตายให้รับผิดใช้เงินตามเช็คดังกล่าว คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 5 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 6 รับผิดในฐานะทายาทของผู้ตายใช้เงินตามเช็คดังกล่าวแก่โจทก์ ซึ่งเป็นหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ จำเลยที่ 5 ฎีกาแต่ผู้เดียว เมื่อเช็คตามฟ้องไม่มีมูลหนี้ จำเลยที่ 5 ไม่ต้องรับผิด ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยอื่นที่ไม่ได้ฎีกาด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1) ประกอบมาตรา 247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6187/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คไม่มีมูลหนี้ ทายาทไม่ต้องรับผิด ผู้ทรงคนแรกสลักหลังแล้วกลับคืนสู่ฐานะเดิม
โจทก์ฟ้องอ้างว่า โจทก์เป็นผู้ทรงคนแรก ได้สลักหลังโอนขายเช็คแก่ผู้อื่น เมื่อเช็ครับเงินไม่ได้จึงได้ใช้เงินตามเช็คไป และรับเช็คคืนมาโจทก์จึงกลับคืนสู่ฐานะผู้ทรงตามเดิม มิใช่ผู้สลักหลัง ฟ้องโจทก์จึงต้องใช้อายุความ 1 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1002
ผู้ตายได้ออกเช็คให้แก่โจทก์ไว้ ต่อมาผู้ตายได้ออกเช็คฉบับใหม่ให้แก่โจทก์ไว้แทนเช็คฉบับเก่าแล้ว เช็คฉบับเก่าจึงเป็นเช็คที่ไม่มีมูลหนี้โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องให้จำเลยที่ 5 ในฐานะทายาทของผู้ตายให้รับผิดใช้เงินตามเช็คดังกล่าว คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 5 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 6รับผิดในฐานะทายาทของผู้ตายใช้เงินตามเช็คดังกล่าวแก่โจทก์ ซึ่งเป็นหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ จำเลยที่ 5 ฎีกาแต่ผู้เดียว เมื่อเช็คตามฟ้องไม่มีมูลหนี้จำเลยที่ 5 ไม่ต้องรับผิด ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยอื่นที่ไม่ได้ฎีกาด้วยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 245 (1) ประกอบมาตรา 247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6163/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองที่ดินตาม พ.ร.บ.จัดที่ดินเพื่อการครองชีพ: สิทธิยังไม่สมบูรณ์แม้มีการส่งมอบการครอบครอง
ที่ดินพิพาทโจทก์ได้รับมาตาม พ.ร.บ. จัดที่ดินเพื่อการครองชีพพ.ศ.2511 ซึ่งอยู่ระหว่างกำหนดห้ามโอนภายในห้าปี เป็นที่ดินที่รัฐยังไม่มอบสิทธิครอบครองให้แก่โจทก์ โจทก์ซึ่งยึดถือที่ดินพิพาทที่มีเงื่อนไขดังกล่าวจึงยังไม่มีสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และตามประมวลกฎหมายที่ดิน โจทก์ไม่อาจโอนหรือสละสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 1377 หรือ1378 ให้แก่ผู้อื่นได้ ด้วยเหตุนี้แม้จะฟังว่าสัญญาจำนองที่ดินพิพาทเป็นนิติกรรมอำพรางการซื้อขาย และจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยโจทก์ได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้นับแต่วันที่โจทก์ทำหนังสือสัญญาจำนองแก่จำเลยก็ตาม จำเลยก็ไม่อาจยกเรื่องสิทธิครอบครองโดยอ้างว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อตนขึ้นต่อสู้โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6163/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ที่ดิน พ.ร.บ.จัดที่ดินเพื่อการครองชีพ: โจทก์ยังไม่มีสิทธิครอบครอง แม้ทำสัญญาจำนองเป็นการซื้อขายอำพราง
ที่ดินพิพาทโจทก์ได้รับมาตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 ซึ่งอยู่ระหว่างกำหนดห้ามโอนภายในห้าปี เป็นที่ดินที่รัฐยังไม่มอบสิทธิครอบครองให้แก่โจทก์โจทก์ซึ่งยึดถือที่ดินพิพาทที่มีเงื่อนไขดังกล่าวจึงยังไม่มีสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และตามประมวลกฎหมายที่ดินโจทก์ไม่อาจโอนหรือสละสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377 หรือ 1378 ให้แก่ผู้อื่นได้ด้วยเหตุนี้แม้จะฟังว่าสัญญาจำนองที่ดินพิพาทเป็นนิติกรรมอำพรางการซื้อขาย และจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยโจทก์ได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้นับแต่วันที่โจทก์ทำหนังสือสัญญาจำนองแก่จำเลยก็ตาม จำเลยก็ไม่อาจยกเรื่องสิทธิครอบครองโดยอ้างว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อตนขึ้นต่อสู้โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6163/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ที่ดินแปลงโอนภายใต้ พ.ร.บ.จัดที่ดินเพื่อการครองชีพฯ ยังไม่เกิดสิทธิครอบครอง โอน/สละสิทธิไม่ได้
ที่ดินพิพาทที่โจทก์ได้รับมาตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพฯ ซึ่งอยู่ระหว่างกำหนดห้ามโอนภายในห้าปีเป็นที่ดินที่รัฐยังไม่มอบสิทธิครอบครองให้โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือตามประมวลกฎหมายที่ดินฯไม่อาจโอนหรือสละสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่ผู้อื่นได้ ฉะนั้นแม้สัญญาจำนองที่ดินพิพาทจะเป็นนิติกรรมอำพรางการซื้อขาย และจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยโจทก์ส่งมอบการครอบครองให้นับแต่วันที่โจทก์ทำสัญญาจำนองไว้ก็ตาม จำเลยก็ไม่อาจอ้างว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อตนขึ้นต่อสู้โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6110/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาต้องบังคับชำระหนี้ตามกฎหมายล้มละลาย แม้ทรัพย์สินยังอยู่กับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
การที่โจทก์ซึ่งแม้จะเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของลูกหนี้ผู้ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดก็ตามจะได้รับชำระหนี้นั้น จะต้องบังคับตาม พ.ร.บ.ล้มละลายพ.ศ.2483 โจทก์จะขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีนำเงินประกันการขอทุเลาการบังคับที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์วางไว้ต่อศาลซึ่งยังเป็นทรัพย์สินของลูกหนี้อยู่มาชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่โจทก์ โดยไม่ปฏิบัติตามกฎหมายล้มละลายดังกล่าวหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6110/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีและการชำระหนี้หลังการล้มละลาย: เจ้าหนี้ต้องปฏิบัติตามกฎหมายล้มละลายเพื่อรับชำระหนี้
การที่โจทก์ซึ่งแม้จะเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของลูกหนี้ผู้ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดก็ตามจะได้รับชำระหนี้นั้น จะต้องบังคับตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 โจทก์จะขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีนำเงินประกันการขอทุเลาการบังคับที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์วางไว้ต่อศาลซึ่งยังเป็นทรัพย์สินของลูกหนี้อยู่มาชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่โจทก์ โดยไม่ปฏิบัติตามกฎหมายล้มละลายดังกล่าวหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6110/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีและการชำระหนี้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีล้มละลาย ต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย
การที่โจทก์ซึ่งแม้จะเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของลูกหนี้ผู้ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดก็ตาม จะได้รับชำระหนี้นั้น จะต้องบังคับตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 โจทก์จะขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีนำเงินประกันการขอทุเลาการบังคับที่จำเลยวางไว้ต่อศาลซึ่งยังเป็นทรัพย์สินของลูกหนี้อยู่มาชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่โจทก์โดยไม่ปฏิบัติตามกฎหมายล้มละลายดังกล่าวหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6106/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดี, หนังสือค้ำประกัน, และความรับผิดของผู้บริหารบริษัทเงินทุน
จำเลยที่ 3 ไม่ได้อ้างเหตุในคำให้การว่า ช. และ ก.ผู้มอบอำนาจไม่มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคลเพราะเหตุใด ดังนี้คำให้การปฏิเสธของจำเลยที่ 3 ไม่มีเหตุแห่งการนั้นจำเลยที่ 3 จึงไม่มีประเด็นที่จะนำสืบตามคำให้การดังกล่าวเมื่อโจทก์นำสืบโดยมีหนังสือรับรองของนายทะเบียนสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครมาแสดงว่าขณะที่โจทก์ฟ้อง ช. และก. เป็นกรรมการของโจทก์ผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของโจทก์ดำเนินการแทนโจทก์ได้ และมีหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีของโจทก์ ซึ่ง ช. และ ก. ลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของโจทก์มอบอำนาจให้ ธ.ฟ้องจำเลยทั้งเจ็ดคดีนี้รวมทั้งแต่งตั้งทนายความได้ด้วย ทั้ง ธ. ผู้รับมอบอำนาจเบิกความประกอบหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวยืนยันว่า ช. และก.เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ ดังนี้ ธ.ย่อมเป็นผู้รับมอบอำนาจโจทก์ผู้มีอำนาจแต่งตั้ง ส. เป็นทนายความฟ้องคดีนี้แทนโจทก์ได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ประเด็นข้อที่จำเลยฎีกา จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้ แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวให้ ก็ถือไมไ่ด้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย การที่จำเลยที่ 3 ทำหนังสือค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1เกิดจากความรับผิดชอบของจำเลยที่ 3 ในฐานะผู้บริหารงานของบริษัทเงินทุนโจทก์เพื่อมิให้เกิดผลเสียหายแก่ประชาชนที่นำเงินมาฝากโจทก์ และเพราะเกรงว่าโจทก์จะถูกเพิกถอนใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเงินทุนจากกระทรวงการคลัง เป็นการเข้าค้ำประกันด้วยความสมัครใจ จึงเป็นการยอมตนเข้าผูกพันต่อโจทก์เพื่อชำระหนี้ในเมื่อจำเลยที่ 1 ลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ จำเลยที่ 3 จึงต้องรับผิดตามหนังสือค้ำประกันนั้น การที่จำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อในหนังสือค้ำประกันเพราะได้รับแจ้งจากกระทรวงการคลังโดยเจ้าหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทยว่าจำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อในหนังสือค้ำประกันแล้วจะไม่ดำเนินคดีอาญา ถ้าไม่ลงลายมือชื่อจะดำเนินคดีอาญา เป็นเรื่องที่กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยจะกระทำการตามกฎหมายเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชนถือได้ว่าเป็นการใช้สิทธิตามปกตินิยม ไม่เป็นการข่มขู่ที่จะทำให้สัญญาค้ำประกันตกเป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 126 และ 127 เดิม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6084/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการฎีกาในข้อเท็จจริงเมื่อจำเลยยอมรับหนี้บางส่วน และประเด็นทุนทรัพย์ที่พิพาท
โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็คจำนวนเงิน 326,470 บาทจำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า สินค้าโจทก์ชำรุดทำให้จำเลยเสียหายคิดเป็นเงิน 81,307 บาท จำเลยมีสิทธิหักกลบลบหนี้จำนวน 81,307 บาทเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามเช็คแล้ว จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยต้องรับผิดเพียง 245,163 บาท โดยมีสิทธิหักเงินจำนวน 81,307บาท และในชั้นฎีกาจำเลยก็ฎีกาทำนองเดียวกัน แสดงว่าจำเลยยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์ 245,163 บาท เท่านั้น การที่จำเลยยังคงฎีกาโต้เถียงว่า จำเลยมีสิทธิหักกลบลบหนี้จำนวน 81,307 บาท ตามฟ้องแย้ง เช่นนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงมีเพียง 81,307 บาทต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง
of 144