คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
นิเวศน์ คำผอง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,435 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5844/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หุ้นส่วนจำกัดความรับผิดสอดเข้าไปจัดการกิจการ: ความรับผิดต่อหนี้ของห้างหุ้นส่วน
โจทก์ฟ้องคดีโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาสองข้อคือข้อแรก โจทก์จำเลยได้ตกลงกันประกอบกิจการและจดทะเบียนเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดโดยโจทก์เป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดและเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ข้อที่สองจำเลยซึ่งเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดได้สอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของห้างหุ้นส่วนขอให้บังคับให้จำเลยร่วมรับผิดต่อเจ้าหนี้ของห้างหุ้นส่วนโดยไม่จำกัดจำนวน จำเลยให้การรับว่าเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดแต่ปฏิเสธว่าไม่เคยสอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของห้างหุ้นส่วนศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า หนี้ของห้างหุ้นส่วนตามฟ้องผูกพันจำเลยหรือไม่เพียงใด ซึ่งศาลล่างทั้งสองเห็นว่า แม้จำเลยจะสอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของห้างหุ้นส่วนจำเลยก็ไม่ต้องรับผิดอย่างไม่จำกัดจำนวน เพราะกรณีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1088 วรรคหนึ่ง เป็นกรณีที่ผู้เป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอก แต่คดีนี้ไม่ใช่กรณีบุคคลภายนอกเรียกร้องให้จำเลยรับผิด เป็นเรื่องระหว่างหุ้นส่วนด้วยกันเอง จึงต้องบังคับตามสัญญาหุ้นส่วนซึ่งเป็นข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์ข้อแรก ฉะนั้น การที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยดังกล่าว จึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้อง กรณีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1088 วรรคหนึ่งซึ่งบัญญัติว่า ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดผู้ใดสอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของห้างหุ้นส่วน ท่านว่าผู้นั้นจะต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ทั้งหลายของห้างหุ้นส่วนนั้นโดยไม่จำกัดจำนวนนั้น เป็นบทบัญญัติเพื่อคุ้มครองบุคคลภายนอกเนื่องจากบุคคลภายนอกอาจไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการหรือผู้ใดเป็นหุ้นส่วนจำพวกใด ส่วนระหว่างหุ้นส่วนด้วยกันเองผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนทราบดีอยู่แล้วว่าผู้ใดเป็นหุ้นส่วนจำพวกใดและมีหน้าที่อย่างใด หากยินยอมให้มีการกระทำผิดหน้าที่ ผู้ที่ให้ความยินยอมไม่มีสิทธิจะอ้างกฎหมายมาตราดังกล่าวขึ้นบังคับผู้เป็นหุ้นส่วนด้วยกันอย่างบุคคลภายนอกได้ กรณีของผู้เป็นหุ้นส่วนด้วยกันต้องบังคับตามสัญญาห้างหุ้นส่วน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5791/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแปลงหนี้ต้องมีสัญญาชัดเจน หนี้เดิมไม่ระงับหากไม่มีการตกลงเปลี่ยนตัวลูกหนี้ใหม่
การแปลงหนี้เป็นสัญญาระหว่างคู่กรณีเพื่อระงับหนี้เดิมแล้วก่อให้เกิดหนี้ใหม่ขึ้นผูกพันกันแทน หนี้เดิมเป็นอันระงับไปเมื่อหนังสือรับสภาพหนี้ไม่มีลักษณะเป็นการแปลงหนี้เพราะไม่มีการตกลงทำสัญญาแปลงหนี้กันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 349อีกทั้งไม่มีข้อความตอนใดบ่งไว้เลยว่ามีการแปลงหนี้ และมิได้เป็นการแปลงหนี้ด้วยวิธีเปลี่ยนตัวลูกหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 350 เพราะไม่ปรากฏว่าลูกหนี้ใหม่ได้เข้ามาให้ความยินยอมทำสัญญาแปลงหนี้ด้วย กรณีจึงไม่ใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5791/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแปลงหนี้ต้องมีการตกลงทำสัญญาใหม่ หากไม่มี ถือว่าหนี้เดิมยังคงอยู่
การแปลงหนี้เป็นสัญญาระหว่างคู่กรณีเพื่อระงับหนี้เดิมแล้วก่อให้เกิดหนี้ใหม่ขึ้นผูกพันกันแทน หนี้เดิมเป็นอันระงับไป เมื่อหนังสือรับสภาพหนี้ไม่มีลักษณะเป็นการแปลงหนี้เพราะไม่มีการตกลงทำสัญญาแปลงหนี้กันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 349 อีกทั้งไม่มีข้อความตอนใดบ่งไว้เลยว่ามีการแปลงหนี้ และมิได้เป็นการแปลงหนี้ด้วยวิธีเปลี่ยนตัวลูกหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 350 เพราะไม่ปรากฏว่าลูกหนี้ใหม่ได้เข้ามาให้ความยินยอมทำสัญญาแปลงหนี้ด้วย กรณีจึงไม่ใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5766/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดในเช็คพิพาท: ผู้สั่งจ่าย, ผู้สลักหลัง, ผู้รับอาวัล แม้ปฏิเสธการจ่ายเงินก็ยังคงรับผิด
เมื่อเช็คพิพาทมีรายการครบถ้วนตาม ป.พ.พ.มาตรา 988 แม้ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินแล้วก็ยังคงเป็นเช็คตามมาตรา 987 จำเลยที่ 1 ผู้สั่งจ่ายและจำเลยที่ 2 ที่ 3 ผู้สลักหลังยังคงต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คพิพาทตาม มาตรา900 เช็คพิพาทเป็นเช็คสั่งจ่ายให้แก่โจทก์หรือผู้ถือ จำเลยที่ 4 สลักหลังเช็คพิพาทย่อมเป็นประกัน (อาวัล) สำหรับจำเลยที่ 1 และมีความรับผิดอย่างเดียวกับจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 921, 940 ประกอบด้วยมาตรา 989 ทั้งต้องร่วมกับจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายและจำเลยที่ 2 และที่ 3 ผู้รับอาวัลรับผิดตามเช็คพิพาทต่อโจทก์ตามมาตรา 967 ประกอบด้วยมาตรา 989 แม้จำเลยที่ 4 สลักหลังเช็คพิพาทหลังจากธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินก็ไม่ทำให้จำเลยที่ 4 หลุดพ้นจากความรับผิดตามเช็คพิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5766/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของผู้สั่งจ่าย, ผู้สลักหลัง, และผู้รับอาวัลเช็ค แม้ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน
เมื่อเช็คพิพาทมีรายการครบถ้วนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 988 แม้ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินแล้วก็ยังคงเป็นเช็คตามมาตรา 987 จำเลยที่ 1 ผู้สั่งจ่ายและจำเลยที่ 2 ที่ 3 ผู้สลักหลังยังคงต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คพิพาทตาม มาตรา 900 เช็คพิพาทเป็นเช็คสั่งจ่ายให้แก่โจทก์หรือผู้ถือ จำเลยที่ 4 สลักหลังเช็คพิพาทย่อมเป็นประกัน (อาวัล) สำหรับจำเลยที่ 1 และมีความรับผิดอย่างเดียวกับจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 921,940 ประกอบด้วยมาตรา 989ทั้งต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายและจำเลยที่ 2 และที่ 3 ผู้รับอาวัลรับผิดตามเช็คพิพาทต่อโจทก์ตามมาตรา 967ประกอบด้วยมาตรา 989 แม้จำเลยที่ 4 สลักหลังเช็คพิพาทหลังจากธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินก็ไม่ทำให้จำเลยที่ 4 หลุดพ้นจากความรับผิดตามเช็คพิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5752/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องไม่ชัดเจน ขาดรายละเอียดสำคัญของหนี้และดอกเบี้ย ทำให้ไม่เป็นไปตามหลัก ป.วิ.พ. มาตรา 172
คำฟ้องของโจทก์ไม่ได้บรรยายให้ชัดแจ้งว่าจำเลยคนไหนเป็นผู้เบิกเงินไปจากบัญชี เริ่มเบิกเงินเมื่อใด ครั้งสุดท้ายวันใด จำนวนเงินที่เบิกไปจากบัญชีเบิกไปตามสัญญาฉบับไหน แต่ละสัญญาและรวมทั้งสองสัญญาเป็นเงินจำนวนเท่าใดโจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราใด เมื่อครบกำหนดตามสัญญามีจำนวนหนี้แต่ละสัญญาอย่างไรเงินฝากของจำเลยที่โจทก์นำมาหักชำระหนี้เป็นเงินฝากของจำเลยคนไหน มีจำนวนเท่าใดและนำไปหักหนี้ตามสัญญาฉบับไหน ยอดหนี้ที่ยังเหลืออยู่เป็นหนี้ตามสัญญาฉบับไหน โจทก์กล่าวในฟ้องว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 จะต้องรับผิดในหนี้จำนวน378,397.80 บาท แต่คำขอท้ายฟ้องขอให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมรับผิดในวงเงิน 200,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่14 พฤษภาคม 2529 จนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากนี้ตามคำฟ้องไม่ได้กล่าวไว้ว่ามีการเบิกเงินไปจากบัญชีครบวงเงินจำนวน 200,000 บาท เมื่อใด เพราะตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้ตั้งแต่วันที่มีการเบิกเงินเกินบัญชี มิใช่คิดจากวันทำสัญญา คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นคำฟ้องที่ไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5752/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องไม่ชัดเจนเกี่ยวกับรายละเอียดหนี้และผู้รับผิดชอบ ทำให้ศาลยกฟ้อง
คำฟ้องของโจทก์ไม่ได้บรรยายให้ชัดแจ้งว่าจำเลยคนไหนเป็นผู้เบิกเงินไปจากบัญชี เริ่มเบิกเงินเมื่อใด ครั้งสุดท้ายวันใดจำนวนเงินที่เบิกไปจากบัญชีเบิกไปตามสัญญาฉบับไหน แต่ละสัญญาและรวมทั้งสองสัญญาเป็นเงินจำนวนเท่าใดโจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราใดเมื่อครบกำหนดตามสัญญามีจำนวนหนี้แต่ละสัญญาอย่างไร เงินฝากของจำเลยที่โจทก์นำมาหักชำระหนี้เป็นเงินฝากของจำเลยคนไหน มีจำนวนเท่าใดและนำไปหักหนี้ตามสัญญาฉบับไหน ยอดหนี้ที่ยังเหลืออยู่เป็นหนี้ตามสัญญาฉบับไหน โจทก์กล่าวในฟ้องว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3จะต้องรับผิดในหนี้จำนวน 378,397.80 บาท แต่คำขอท้ายฟ้องขอให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมรับผิดในวงเงิน 200,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2529จนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากนี้ตามคำฟ้องไม่ได้กล่าวไว้ว่ามีการเบิกเงินไปจากบัญชีครบวงเงินจำนวน 200,000 บาท เมื่อใดเพราะตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้ตั้งแต่วันที่มีการเบิกเงินเกินบัญชี มิใช่คิดจากวันทำสัญญา คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นคำฟ้องที่ไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5743/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตความรับผิดของผู้รับประกันภัยตามกรมธรรม์ ประเมินค่าเสียหายต้องไม่เกินวงเงินที่ระบุ
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 8 รับผิดชดใช้ค่าเสียหายในฐานะที่จำเลยที่ 8 รับประกันภัยรถยนต์ ซึ่งการรับประกันภัยทุกรายต้องมีกรมธรรม์และมีจำนวนเงินที่เอาประกันภัยอันเป็นวงเงินรับประกันภัยที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 877 วรรคท้าย ก็บัญญัติว่า ท่านห้ามมิให้คิดค่าสินไหมทดแทนเกินไปกว่าจำนวนเงินซึ่งเอาประกันภัยไว้ ทั้งศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยคนใดต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์หรือไม่เพียงใด ฉะนั้นที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 8 รับผิดต่อโจทก์ 250,000 บาท ซึ่งเป็นวงเงินที่จำเลยที่ 8 รับประกันภัยเท่าที่โจทก์มีสิทธิตามกรมธรรม์ประกันภัยซึ่งจำเลยที่ 8 ส่งต่อศาลจึงไม่เป็นการนอกประเด็น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5743/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตความรับผิดของบริษัทประกันภัยตามกรมธรรม์และจำนวนเงินที่เอาประกันภัย
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 8 รับผิดชดใช้ค่าเสียหายในฐานะที่จำเลยที่ 8 รับประกันภัยรถยนต์ ซึ่งการรับประกันภัยทุกรายต้องมีกรมธรรม์และมีจำนวนเงินที่เอาประกันภัยอันเป็นวงเงินรับประกันภัยที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์และ ป.พ.พ. มาตรา 877 วรรคท้าย ก็บัญญัติว่า ท่านห้ามมิให้คิดค่าสินไหมทดแทนเกินไปกว่าจำนวนเงินซึ่งเอาประกันภัยไว้ ทั้งศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยคนใดต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์หรือไม่เพียงใด ฉะนั้นที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 8 รับผิดต่อโจทก์ 250,000 บาท ซึ่งเป็นวงเงินที่จำเลยที่ 8 รับประกันภัยเท่าที่โจทก์มีสิทธิตามกรมธรรม์ประกันภัยซึ่งจำเลยที่ 8 ส่งต่อศาลจึงไม่เป็นการนอกประเด็น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5703/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีขายทอดตลาดเสร็จสมบูรณ์แล้ว ผู้ซื้อได้กรรมสิทธิ์ แม้จำเลยไม่ทราบการยึดและไม่ได้คัดค้าน
ในการขายทอดตลาดโจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินได้โดยชำระเงินมัดจำค่าซื้อทรัพย์ในวันขายทอดตลาด ส่วนที่เหลือจะชำระภายใน 15 วัน การที่เจ้าพนักงาน-บังคับคดีรายงานต่อศาลชั้นต้นว่า ค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่เหลือนั้นโจทก์ขอหักชำระหนี้โจทก์และทำบัญชีแสดงการรับ-จ่ายว่า เมื่อนำค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่เหลือมาหักชำระหนี้โจทก์แล้วจำเลยยังคงเป็นหนี้โจทก์อยู่อีกจำนวนหนึ่ง ศาลชั้นต้นอนุญาตและมีหนังสือถึงเจ้าพนักงาน-ที่ดินให้จดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์ ต่อมาเจ้าพนักงานที่ดินมีหนังสือถึงศาลชั้นต้นว่าจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์แล้ว ถือได้ว่าการบังคับคดีเกี่ยวกับที่ดินเสร็จลงแล้ว
การร้องคัดค้านการขายทอดตลาดนั้น จะต้องร้องคัดค้านก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลง แต่ต้องไม่ช้ากว่า 8 วัน นับแต่วันทราบการฝ่าฝืนนั้น ตามป.วิ.พ. มาตรา 296 วรรคสอง ดังนั้น แม้จำเลยจะไม่ทราบการยึดและการประกาศขายทอดตลาดมาก่อนการขายทอดตลาดก็ตาม เมื่อจำเลยมิได้ยื่นคำร้องคัดค้านก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลง จำเลยย่อมไม่มีสิทธิร้องขอให้ศาลเพิกถอนการขายทอดตลาดได้
of 144